เปิดผลลงมติคู่ขนาน ประชาชน 5.2 แสนคน 97% ไม่ไว้วางใจ 11 รัฐมนตรี
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_3468879
เจตนารมณ์การโหวต ‘เสียงประชาชน’ ลงมติไว้วางใจ-ไม่ไว้วางใจคู่ขนานสภาผู้แทนราษฎร
เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ภายหลังการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นาย
ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาลงมติในญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล จำนวน 11 คน หลังผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลมาแล้ว 4 วัน โดย สภาผู้แทนราษฎร ได้โหวตไว้วางใจ 11 รัฐมนตรี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โครงการเสียงประชาชน จากนักวิชาการ 4 มหาวิทยาลัย และองค์กรภาคประชาชน 30 ปีพฤษภาประชาธรรม ได้เปิดเผยผลการลงมติไม่ไว้วางใจ 11 รัฐมนตรี
โดยมีรายละเอียดดังนี้
มีผู้ร่วมลงมติ 524,806 ราย จากประเทศไทย 511,807 ราย, สหรัฐอเมริกา 897 ราย, สิงคโปร์ 817 ราย, ญี่ปุ่น 653 ราย ฯลฯ
สำหรับผลโหวตรัฐมนตรีทั้ง 11 ราย ได้แก่
1. พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีคะแนนไม่ไว้วางใจ 97: 3
2. นาย
จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีคะแนนไม่ไว้วางใจ 97: 3
3. นาย
อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีคะแนนไม่ไว้วางใจ 97: 3
4. พล.อ.
ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีคะแนนไม่ไว้วางใจ 97: 3
5. พล.อ.
อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีคะแนนไม่ไว้วางใจ 96: 4
6. นาย
ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีคะแนนไม่ไว้วางใจ 97: 3
7. นาย
ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มีคะแนนไม่ไว้วางใจ 97: 3
8. นาย
จุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีคะแนนไม่ไว้วางใจ 96: 4
9. นาย
สันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง มีคะแนนไม่ไว้วางใจ 97: 3
10. นาย
นิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย มีคะแนนไม่ไว้วางใจ 97: 3
11. นาย
สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มีคะแนนไม่ไว้วางใจ 96: 4
ขณะที่ นาย
ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ผู้ประสานงานโครงการเสียงประชาชน ได้เปิดเผยว่า ตามที่โครงการ
“เสียงประชาชน” อันประกอบด้วยนักวิชาการจาก 4 มหาวิทยาลัย และองค์กรภาคประชาชน 30 ปีพฤษภาประชาธรรม โดยความร่วมมือของสถานีโทรทัศน์ดิจิทัล 4 ช่อง ได้จัดทำโครงการ
“เสียงประชาชน” เพื่อให้ประชาชนสามารถลงมติไว้วางใจ-หรือไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจทั้ง 11 คน คู่ขนานกับสภาผู้แทนราษฏรนั้น โครงการ
“เสียงประชาชน” มีประเด็นที่ขอแถลงก่อนปิดการโหวตในเวลา 11.00 น. ดังต่อไปนี้
1. วัตถุประสงค์ของโครงการ
“เสียงประชาชน” คือการสร้างแพลตฟอร์มหรือช่องทางให้ประชาชนในฐานะที่เป็น
“เจ้าของอำนาจอธิปไตย” ตามรัฐธรรมนูญ สามารถแสดงออกว่าจะไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายทั้ง 11 คน เพื่อให้
“เสียงประชาชน” เจ้าของประเทศสามารถส่งออกมาได้
“โดยตรง” ซึ่งจะเหมือนหรือจะต่างไปจากการลงมติของ ส.ส. ซึ่งเป็น
“ตัวแทนของประชาชน” ก็เป็นเรื่องของประชาชนที่เข้ามาโหวต แม้จะไม่มีผลทางกฎหมาย แต่คือ
“เสียงประชาชน” ที่ฝ่ายการเมืองพึงต้องรับฟัง
2. กติกาในการโหวตคือ
“หนึ่งเครื่องหนึ่งเสียง” โดยการโหวตจะแยกลงมติรัฐมนตรีทั้ง 11 คนเป็นรายบุคคลเช่นเดียวกับการลงมติของสภาผู้แทนราษฏร การโหวตได้เริ่มในวันสุดท้ายของการอภิปรายคือเมื่อวานนี้ เวลา 18.00 น. เพื่อให้ประชาชนมีโอกาสได้ฟังการอภิปรายและการชี้แจงจากรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายก่อนที่จะมีการโหวต โดยจะปิดการโหวตในวันนี้ ซึ่งเป็นวันลงมติของสภาผู้แทนราษฎรลงมติ โดยปิดเวลา 11.00 น. ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับการปิดโหวตของสภาผู้แทนราษฎร
3. ผลการโหวต
“เสียงประชาชน” สถานีโทรทัศน์ดิจิทัลทั้ง 4 ช่อง จะประกาศหลังจากสภาผู้แทนราษฏรได้ลงมติเสร็จสิ้นแล้ว ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้ผลการลงมติ
“เสียงประชาชน” มีผลต่อการลงมติของ ส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎร จนอาจถูกครหา หรือเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนต่อเจตนารมณ์ของการดำเนินโครงการได้ว่าไปเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในสภาผู้แทนราษฎร
4. อย่างไรก็ตาม แม้ว่าประชาชนทุกคนจะมีสิทธิโหวต และในปัจจุบันการใช้โทรศัพท์มือถือที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับประชาชนโดยทั่วไปแล้ว แต่เนื่องจากยังอาจจะมีประชาชนจำนวนหนึ่งที่ยังเข้าไม่ถึงอินเตอร์เน็ต
“เสียงประชาชน” ที่โหวตในครั้งนี้ ผลที่ออกมาจึงเป็น
“เสียงประชาชนที่มาโหวต” ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นเสียงของประชาชนทั้งหมด การนำ
“ผล” การโหวตไปใช้ไม่ว่าในทางใด จึงต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงนี้ด้วย
แต่ทั้งนี้ ข้อเท็จจริงอีกประการที่ต้องไม่ลืมคือ ทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด จะไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทั้ง 11 คน ทุกคนและทุกฝ่ายก็มีโอกาสเสมอกันในการโหวตหรือชวนคนมาโหวต ดังนั้น ผลที่ออกมาไม่ว่าเราจะเห็นด้วยหรือไม่ หรือจะให้ประโยชน์หรือให้โทษกับฝ่ายใด ผลที่ออกมาคือเสียงประชาชนที่มาโหวต ที่ทุกฝ่ายมีโอกาสโหวตและชักชวนคนให้มาโหวตได้อย่างเสมอกัน
4. ในขณะที่แถลง (09.00 น.) มีประชาชนมาร่วมลงมติแล้วกว่า 400,000 คน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่การดำเนินการเป็นครั้งแรกของประเทศไทยมีประชาชนเข้าร่วมมากเช่นนี้ ทั้งนี้ ไม่ว่าผลการโหวตจะออกมาอย่างไร การให้ประชาชนได้โหวตออนไลน์โดยใช้โทรศัพท์มือถือเป็นช่องทางที่สะดวกสำหรับประชาชน จัดการง่าย ค่าใช้จ่ายน้อย จึงควรใช้เป็นช่องทางในการรับฟัง
“เสียงประชาชน” ให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการให้ประชาชนได้ตัดสินใจในเรื่องสาธารณะต่างๆ และใช้เป็นเครื่องมือแก้ไขความขัดแย้งของฝักฝ่ายที่เห็นต่างอย่างสันติโดยไม่มีการเผชิญหน้า เพื่อให้
“เสียงประชาชน” ได้ดังขึ้น และนำไปสู่
“ประชาธิปไตยโดยตรง” ให้มากยิ่งขึ้นต่อไป
‘กอบศักดิ์’ ชี้ไทยเผชิญวิกฤตซ้อนวิกฤตยาว 2 ปี คาดกนง.จ่อขึ้นดอกเบี้ยปีนี้อีก 0.75%
https://www.matichon.co.th/economy/news_3469233
‘กอบศักดิ์’ ชี้ไทยเผชิญวิกฤตซ้อนวิกฤตยาว 2 ปี คาดกนง.จ่อขึ้นดอกเบี้ยปีนี้อีก 0.75% มองน้ำมันดิบลดลงลดแรงกดดันเงินเฟ้อ
เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ดร.
กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวในหัวข้อ “
Economic Turbulence 2022 เศรษฐกิจ วิกฤตซ้อนวิกฤตต้องรับมืออย่างไร” ระหว่างการอบรมโครงการพัฒนาศักยภาพผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจระดับสูง(พศส.) ปี 2565 Next chapter for wealth : เปิดโลกสร้างความมั่งคั่งสู่ความมั่นคง จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงเทพ และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ว่าในปัจจุบันแม้ว่าสถานการณ์โควิด-19 จะคลี่คลายลงแต่เศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญความเสี่ยงในหลายด้าน ถือเป็นวิกฤตซ้อนวิกฤตที่แต่ละประเทศต้องเตรียมการรับมือ ได้แก่ วิกฤตความขัดแย้งระหว่างประเทศ วิกฤตราคาพลังงานและอาหารโลก ความปั่นป่วนของตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลก
ขณะที่การเร่งการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เพื่อต้อสู้กับเงินเฟ้อส่งผลให้ธนาคารกลางหลายประเทศต้องขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้นจนเป็นความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ตามมาทั้งในสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ รวมถึงความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตในประเทศกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) และปัญหาของเศรษฐกิจจีนที่มีสัญญาณการชะลอตัว โดยวิกฤตเศรษฐกิจในระดับโลกที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจนในช่วง 1 – 2 ปีข้างหน้าโดยเฉพาะภาคการส่งออกที่จะชะลอตัวลงจากเดิมที่เคยขยายตัวได้ในระดับ 20% ในปี 2564
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ได้อานิสงค์จากการฟื้นตัวในส่วนของภาคการท่องเที่ยว โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงที่เหลือของปีนี้ไปจนถึงต้นปี 2566 จะเพิ่มมากขึ้น โดยจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศไทยเดือนละประมาณ 1 ล้านคน โดยรวมจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามายังประเทศไทยในปีนี้ประมาณ 10 ล้านคน ซึ่งการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยภาพรวมเนื่องจากมีสัดส่วนประมาณ 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)
ทั้งนี้เมื่อการท่องเที่ยวฟื้นตัวและส่งผลดีต่อเศรษฐกิจภาพรวมจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ที่คาดว่าภายในปีนี้จะมีการทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% เป็นจำนวน 3 ครั้ง รวมแล้วคาดว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้น 0.75% ภายในสิ้นปีนี้ ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะปรับเพิ่มขึ้นจาก 0.5% ในปัจจุบันเป็น 1.25% โดยการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อช่วยแก้ปัญหาเงินเฟ้อ และช่วยชะลอการลดลงของเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่ลดลงจากระดับ 2.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มาสู่ระดับ 2.15 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือลดลงประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาทในช่วงที่ผ่านมา
“ตัวเลขเงินเฟ้อเป็นตัวเลขที่แบงก์ชาติต้องจับตาดูเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจเรื่องการปรับอัตราดอกเบี้ย โดยเงินเฟ้อในส่วนที่เป็นเงินเฟ้อรวมในเดือนที่ผ่านมาของไทยอยู่ที่ 7.66% แต่ในส่วนที่เป็นเงินเฟ้อทั่วไป (Core Inflation) ของไทยอยู่ที่ 2.58% ถือว่าไม่ได้อยู่ในระดับที่สูงนัก ดังนั้นการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของแบงก์ชาติอีก 0.75% เพื่อให้ดอกเบี้ยนโยบายไปอยู่ที่ระดับ 1.25% ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 คาดว่าเป็นแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ จากนั้นก็จะต้องดูปัจจัยอื่นๆทั้งในและต่างประเทศแต่คาดว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยคงเกิดขึ้นต่อไปอีกระยะ” ดร.
กอบศักดิ์ กล่าว
ในส่วนของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงจากระดับสูงสุดที่เคยขึ้นไปถึง 130 – 140 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรลมาอยู่ในระดับ 90 – 100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากขณะนี้บางประเทศได้มีการนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซีย รวมทั้งมีความกังวลในเรื่องของเศรษฐกิจถดถอยและการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่ทำให้ราคาน้ำมันลดลง การปรับเพิ่มขึ้นจากปัจจัยการเก็งกำไรลดลงไป ซึ่งราคาน้ำมันที่ลดลงก็ส่งผลดีต่อระดับเงินเฟ้อที่ลดลง และช่วยให้การต่อสู้กับเงินเฟ้อของเฟดและธนาคารกลางทั่วโลกง่ายขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้
กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพยังกล่าวด้วยว่าในช่วงเวลาที่มีวิกฤตซ้อนวิกฤตเกิดขึ้นในรอบนี้จะกินระยะเวลาประมาณ 2 ปี และมีช่วงเวลาในการเผชิญกับวิกฤตรวมทั้งต่อสู้กับวิกฤตเศรษฐกิจแบ่งเป็น 4 ช่วงด้วยกัน ได้แก่ช่วงแรกเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงมีการปรับฐานที่รุนแรง ช่วงที่สองคือการที่เฟดขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสู้กับเงินเฟ้อ ช่วงที่สามเป็นช่วงที่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย และเกิดวิกฤตในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่หลายประเทศ และช่วงที่สี่เป็นช่วงสุดท้ายที่กำลังจะผ่านวิกฤตเศรษฐกิจคือเป็นช่วงที่เฟด และธนาคารกลางประเทศต่างๆออกมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่
JJNY : 5in1 ผลลงมติคู่ขนาน│ชี้ไทยวิกฤตยาว2ปี│ครูแพร่เมินมังสวิรัติ│สั่งตั้งกก.สอบ5นายตร.กองบิน│รัสเซียถล่มเมืองท่ายูเครน
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_3468879
เจตนารมณ์การโหวต ‘เสียงประชาชน’ ลงมติไว้วางใจ-ไม่ไว้วางใจคู่ขนานสภาผู้แทนราษฎร
เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ภายหลังการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาลงมติในญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล จำนวน 11 คน หลังผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลมาแล้ว 4 วัน โดย สภาผู้แทนราษฎร ได้โหวตไว้วางใจ 11 รัฐมนตรี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โครงการเสียงประชาชน จากนักวิชาการ 4 มหาวิทยาลัย และองค์กรภาคประชาชน 30 ปีพฤษภาประชาธรรม ได้เปิดเผยผลการลงมติไม่ไว้วางใจ 11 รัฐมนตรี
โดยมีรายละเอียดดังนี้
มีผู้ร่วมลงมติ 524,806 ราย จากประเทศไทย 511,807 ราย, สหรัฐอเมริกา 897 ราย, สิงคโปร์ 817 ราย, ญี่ปุ่น 653 ราย ฯลฯ
สำหรับผลโหวตรัฐมนตรีทั้ง 11 ราย ได้แก่
1. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีคะแนนไม่ไว้วางใจ 97: 3
2. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีคะแนนไม่ไว้วางใจ 97: 3
3. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีคะแนนไม่ไว้วางใจ 97: 3
4. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีคะแนนไม่ไว้วางใจ 97: 3
5. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีคะแนนไม่ไว้วางใจ 96: 4
6. นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีคะแนนไม่ไว้วางใจ 97: 3
7. นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มีคะแนนไม่ไว้วางใจ 97: 3
8. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีคะแนนไม่ไว้วางใจ 96: 4
9. นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง มีคะแนนไม่ไว้วางใจ 97: 3
10. นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย มีคะแนนไม่ไว้วางใจ 97: 3
11. นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มีคะแนนไม่ไว้วางใจ 96: 4
ขณะที่ นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล ผู้ประสานงานโครงการเสียงประชาชน ได้เปิดเผยว่า ตามที่โครงการ “เสียงประชาชน” อันประกอบด้วยนักวิชาการจาก 4 มหาวิทยาลัย และองค์กรภาคประชาชน 30 ปีพฤษภาประชาธรรม โดยความร่วมมือของสถานีโทรทัศน์ดิจิทัล 4 ช่อง ได้จัดทำโครงการ “เสียงประชาชน” เพื่อให้ประชาชนสามารถลงมติไว้วางใจ-หรือไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจทั้ง 11 คน คู่ขนานกับสภาผู้แทนราษฏรนั้น โครงการ “เสียงประชาชน” มีประเด็นที่ขอแถลงก่อนปิดการโหวตในเวลา 11.00 น. ดังต่อไปนี้
1. วัตถุประสงค์ของโครงการ “เสียงประชาชน” คือการสร้างแพลตฟอร์มหรือช่องทางให้ประชาชนในฐานะที่เป็น “เจ้าของอำนาจอธิปไตย” ตามรัฐธรรมนูญ สามารถแสดงออกว่าจะไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายทั้ง 11 คน เพื่อให้ “เสียงประชาชน” เจ้าของประเทศสามารถส่งออกมาได้ “โดยตรง” ซึ่งจะเหมือนหรือจะต่างไปจากการลงมติของ ส.ส. ซึ่งเป็น “ตัวแทนของประชาชน” ก็เป็นเรื่องของประชาชนที่เข้ามาโหวต แม้จะไม่มีผลทางกฎหมาย แต่คือ “เสียงประชาชน” ที่ฝ่ายการเมืองพึงต้องรับฟัง
2. กติกาในการโหวตคือ “หนึ่งเครื่องหนึ่งเสียง” โดยการโหวตจะแยกลงมติรัฐมนตรีทั้ง 11 คนเป็นรายบุคคลเช่นเดียวกับการลงมติของสภาผู้แทนราษฏร การโหวตได้เริ่มในวันสุดท้ายของการอภิปรายคือเมื่อวานนี้ เวลา 18.00 น. เพื่อให้ประชาชนมีโอกาสได้ฟังการอภิปรายและการชี้แจงจากรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายก่อนที่จะมีการโหวต โดยจะปิดการโหวตในวันนี้ ซึ่งเป็นวันลงมติของสภาผู้แทนราษฎรลงมติ โดยปิดเวลา 11.00 น. ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับการปิดโหวตของสภาผู้แทนราษฎร
3. ผลการโหวต “เสียงประชาชน” สถานีโทรทัศน์ดิจิทัลทั้ง 4 ช่อง จะประกาศหลังจากสภาผู้แทนราษฏรได้ลงมติเสร็จสิ้นแล้ว ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้ผลการลงมติ “เสียงประชาชน” มีผลต่อการลงมติของ ส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎร จนอาจถูกครหา หรือเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนต่อเจตนารมณ์ของการดำเนินโครงการได้ว่าไปเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในสภาผู้แทนราษฎร
4. อย่างไรก็ตาม แม้ว่าประชาชนทุกคนจะมีสิทธิโหวต และในปัจจุบันการใช้โทรศัพท์มือถือที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับประชาชนโดยทั่วไปแล้ว แต่เนื่องจากยังอาจจะมีประชาชนจำนวนหนึ่งที่ยังเข้าไม่ถึงอินเตอร์เน็ต “เสียงประชาชน” ที่โหวตในครั้งนี้ ผลที่ออกมาจึงเป็น “เสียงประชาชนที่มาโหวต” ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นเสียงของประชาชนทั้งหมด การนำ “ผล” การโหวตไปใช้ไม่ว่าในทางใด จึงต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงนี้ด้วย
แต่ทั้งนี้ ข้อเท็จจริงอีกประการที่ต้องไม่ลืมคือ ทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด จะไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทั้ง 11 คน ทุกคนและทุกฝ่ายก็มีโอกาสเสมอกันในการโหวตหรือชวนคนมาโหวต ดังนั้น ผลที่ออกมาไม่ว่าเราจะเห็นด้วยหรือไม่ หรือจะให้ประโยชน์หรือให้โทษกับฝ่ายใด ผลที่ออกมาคือเสียงประชาชนที่มาโหวต ที่ทุกฝ่ายมีโอกาสโหวตและชักชวนคนให้มาโหวตได้อย่างเสมอกัน
4. ในขณะที่แถลง (09.00 น.) มีประชาชนมาร่วมลงมติแล้วกว่า 400,000 คน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่การดำเนินการเป็นครั้งแรกของประเทศไทยมีประชาชนเข้าร่วมมากเช่นนี้ ทั้งนี้ ไม่ว่าผลการโหวตจะออกมาอย่างไร การให้ประชาชนได้โหวตออนไลน์โดยใช้โทรศัพท์มือถือเป็นช่องทางที่สะดวกสำหรับประชาชน จัดการง่าย ค่าใช้จ่ายน้อย จึงควรใช้เป็นช่องทางในการรับฟัง “เสียงประชาชน” ให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการให้ประชาชนได้ตัดสินใจในเรื่องสาธารณะต่างๆ และใช้เป็นเครื่องมือแก้ไขความขัดแย้งของฝักฝ่ายที่เห็นต่างอย่างสันติโดยไม่มีการเผชิญหน้า เพื่อให้ “เสียงประชาชน” ได้ดังขึ้น และนำไปสู่ “ประชาธิปไตยโดยตรง” ให้มากยิ่งขึ้นต่อไป
‘กอบศักดิ์’ ชี้ไทยเผชิญวิกฤตซ้อนวิกฤตยาว 2 ปี คาดกนง.จ่อขึ้นดอกเบี้ยปีนี้อีก 0.75%
https://www.matichon.co.th/economy/news_3469233
‘กอบศักดิ์’ ชี้ไทยเผชิญวิกฤตซ้อนวิกฤตยาว 2 ปี คาดกนง.จ่อขึ้นดอกเบี้ยปีนี้อีก 0.75% มองน้ำมันดิบลดลงลดแรงกดดันเงินเฟ้อ
เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวในหัวข้อ “Economic Turbulence 2022 เศรษฐกิจ วิกฤตซ้อนวิกฤตต้องรับมืออย่างไร” ระหว่างการอบรมโครงการพัฒนาศักยภาพผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจระดับสูง(พศส.) ปี 2565 Next chapter for wealth : เปิดโลกสร้างความมั่งคั่งสู่ความมั่นคง จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงเทพ และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ว่าในปัจจุบันแม้ว่าสถานการณ์โควิด-19 จะคลี่คลายลงแต่เศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญความเสี่ยงในหลายด้าน ถือเป็นวิกฤตซ้อนวิกฤตที่แต่ละประเทศต้องเตรียมการรับมือ ได้แก่ วิกฤตความขัดแย้งระหว่างประเทศ วิกฤตราคาพลังงานและอาหารโลก ความปั่นป่วนของตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลก
ขณะที่การเร่งการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เพื่อต้อสู้กับเงินเฟ้อส่งผลให้ธนาคารกลางหลายประเทศต้องขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้นจนเป็นความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ตามมาทั้งในสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ รวมถึงความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตในประเทศกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) และปัญหาของเศรษฐกิจจีนที่มีสัญญาณการชะลอตัว โดยวิกฤตเศรษฐกิจในระดับโลกที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจนในช่วง 1 – 2 ปีข้างหน้าโดยเฉพาะภาคการส่งออกที่จะชะลอตัวลงจากเดิมที่เคยขยายตัวได้ในระดับ 20% ในปี 2564
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ได้อานิสงค์จากการฟื้นตัวในส่วนของภาคการท่องเที่ยว โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงที่เหลือของปีนี้ไปจนถึงต้นปี 2566 จะเพิ่มมากขึ้น โดยจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศไทยเดือนละประมาณ 1 ล้านคน โดยรวมจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามายังประเทศไทยในปีนี้ประมาณ 10 ล้านคน ซึ่งการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยภาพรวมเนื่องจากมีสัดส่วนประมาณ 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)
ทั้งนี้เมื่อการท่องเที่ยวฟื้นตัวและส่งผลดีต่อเศรษฐกิจภาพรวมจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ที่คาดว่าภายในปีนี้จะมีการทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% เป็นจำนวน 3 ครั้ง รวมแล้วคาดว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้น 0.75% ภายในสิ้นปีนี้ ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะปรับเพิ่มขึ้นจาก 0.5% ในปัจจุบันเป็น 1.25% โดยการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อช่วยแก้ปัญหาเงินเฟ้อ และช่วยชะลอการลดลงของเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่ลดลงจากระดับ 2.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มาสู่ระดับ 2.15 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือลดลงประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาทในช่วงที่ผ่านมา
“ตัวเลขเงินเฟ้อเป็นตัวเลขที่แบงก์ชาติต้องจับตาดูเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจเรื่องการปรับอัตราดอกเบี้ย โดยเงินเฟ้อในส่วนที่เป็นเงินเฟ้อรวมในเดือนที่ผ่านมาของไทยอยู่ที่ 7.66% แต่ในส่วนที่เป็นเงินเฟ้อทั่วไป (Core Inflation) ของไทยอยู่ที่ 2.58% ถือว่าไม่ได้อยู่ในระดับที่สูงนัก ดังนั้นการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของแบงก์ชาติอีก 0.75% เพื่อให้ดอกเบี้ยนโยบายไปอยู่ที่ระดับ 1.25% ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 คาดว่าเป็นแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ จากนั้นก็จะต้องดูปัจจัยอื่นๆทั้งในและต่างประเทศแต่คาดว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยคงเกิดขึ้นต่อไปอีกระยะ” ดร.กอบศักดิ์ กล่าว
ในส่วนของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงจากระดับสูงสุดที่เคยขึ้นไปถึง 130 – 140 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรลมาอยู่ในระดับ 90 – 100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากขณะนี้บางประเทศได้มีการนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซีย รวมทั้งมีความกังวลในเรื่องของเศรษฐกิจถดถอยและการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่ทำให้ราคาน้ำมันลดลง การปรับเพิ่มขึ้นจากปัจจัยการเก็งกำไรลดลงไป ซึ่งราคาน้ำมันที่ลดลงก็ส่งผลดีต่อระดับเงินเฟ้อที่ลดลง และช่วยให้การต่อสู้กับเงินเฟ้อของเฟดและธนาคารกลางทั่วโลกง่ายขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้
กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพยังกล่าวด้วยว่าในช่วงเวลาที่มีวิกฤตซ้อนวิกฤตเกิดขึ้นในรอบนี้จะกินระยะเวลาประมาณ 2 ปี และมีช่วงเวลาในการเผชิญกับวิกฤตรวมทั้งต่อสู้กับวิกฤตเศรษฐกิจแบ่งเป็น 4 ช่วงด้วยกัน ได้แก่ช่วงแรกเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงมีการปรับฐานที่รุนแรง ช่วงที่สองคือการที่เฟดขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสู้กับเงินเฟ้อ ช่วงที่สามเป็นช่วงที่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย และเกิดวิกฤตในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่หลายประเทศ และช่วงที่สี่เป็นช่วงสุดท้ายที่กำลังจะผ่านวิกฤตเศรษฐกิจคือเป็นช่วงที่เฟด และธนาคารกลางประเทศต่างๆออกมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่