สวัสดีค่ะ
ขอเกริ่นต้นเรื่องๆนิดนึงนะคะ เราอายุ 29 ตอนนี้ทำงานอยู่ตปท. ตอนยังเรียนที่ไทยนั้นครอบครัวเราเข้มงวดมาก เช่น เราทำงานกลุ่มหลังเลิกเรียนได้ถึงแค่หกโมงเย็น เราไม่สามารถไปกินอาหารเย็นกับเพื่อนหลังเลิกเรียนได้ยกเว้นกรณีพิเศษ คุณพ่อคุณแม่ต้องมารับกลับบ้าน เดินทางคนเดียวไม่ได้ และอื่นๆ อารมณ์ลูกสาวคนเดียวที่คุณพ่อคุณแม่ค่อนข้างหวงและห่วงค่ะ แต่เราก็รับรู้และเข้าใจว่ามาจากที่เค้ารักเรามาก ตอนเด็กๆเลยไม่ได้ขัดอะไรเค้าค่ะ
จุดเปลี่ยนเริ่มต้นจากตอนที่เราได้ทุนไปเรียนตปท. ตอนอายุ 18 ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ก็ยอมให้ไปเพราะว่าเป็นโอกาสทางการศึกษา ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเหมือนโลกมันเปลี่ยนมาก เราเติบโตขึ้นและมีความตัวของตัวเองมากขึ้น ทำอะไรด้วยตัวเอง พึ่งพาตัวเองมากขึ้น และอื่นๆ แต่เราก็ยังมีความเกรงใจคุณพ่อคุณแม่อยู่ทำให้หลายๆเรื่องๆเลือกที่จะทำตามที่เค้าสบายใจ (เช่น เค้าอยากให้หาหอที่อยู่ใกล้มหาลัยมากกว่า ซึ่งแพงมาก แต่เราก็ยอม ทำให้ไม่มีเงินเก็บเป็นต้น) แต่การตัดสินใจเหล่านี้มันก็ยังมีข้อดีอยู่ เราเลยไม่ได้คิดอะไรมาก (เช่นเรื่องหอ ทำให้เราแค่เดินแปปเดียวก็ถึงมหาลัย ประหยัดเวลาเป็นต้น)
แต่สักเริ่มอายุ 27-28 มานี้ เรารู้สึกว่า เอะ มันไม่เป็นธรรมกับตัวเองเลยนะที่เราไม่จริงใจกับความคิดตัวเองแต่แค่จะทำอะไรตามที่แค่คุณพ่อคุณแม่สบายใจ โดยสิ่งที่เราอยากทำเรารู้อยู่แน่ๆว่ามันไม่ได้ผิดกฏหมายและไม่ได้ทำให้ใครเสียหาย มันเลยเริ่มช่วง "กบฏ" ของเราใ่นช่วงนี้ค่ะ ล่าสุดที่เป็นประเด็นที่ทำมาสู่กระทู้นี้คือ เราอยากจะเดินทางโดยรถไฟไปหาแฟนที่เมืองใกล้เคียงอาทิตย์หน้า แต่ที่มาเป็นประเด็นเลยคือ ประมาณ 3 อาทิตย์ที่แล้วเราโดนขโมยกระเป๋าบนรถไฟตอนที่กำลังจะเดินทางไปหาแฟนค่ะ คุณพ่อเห็นเราเสียใจมากเพราะของหายเยอะมากเลยคงกลัวว่าลูกสาวจะเป็นอันตรายอีก คุณแม่เห็นคุณพ่อเป็นห่วงเลยแอบโทรมาคุยกับเราสองคนเรื่องประเด็นนี้ ซึ่งเราก็บอกไปว่าเราเข้าใจว่าเป็นห่วง แต่เราก็จะดูแลตัวเองให้ดีขึ้น อีกอย่างคือเราไม่อยากอยู่ด้วยความกลัวเพราะไม่งั้นแปลว่าเราจะทำอะไรไม่ได้เลย เรายกตัวอย่างไปว่า เหมือนคุณพ่อคุณแม่เคยขับเราเชี่ยวกันมาบ้าง แต่สุดท้ายก็ยังขับรถถูกไหม ชีวิตต้องไปต่อ แม่เราก็ดูจะอ่อนๆไปแต่ก็บอกให้ไปคุยกับคุณพ่อเอาเอง
แต่ยังไม่ทันต้องไปคุยกับคุณพ่อ หลังจากที่วางสายกับคุณแม่ไปไม่เท่าไหร่ พ่อก็ส่งข้อความมาเลยว่า ถ้ายืนยันจะทำ (เดินทางคนเดียว) ก็ไม่ต้องมาคุยกัน โตแล้วเลือกเอาเอง ชีวิตใครชีวิตมัน เราเลยสรุปได้ว่าคุณพ่อได้ยินว่าเรากับคุณแม่คุยอะไรกันและไม่พอใจมาก เราก็อึ้งๆไปเหมือนกันที่แค่การจะเดินทางไปหาแฟนมันบานปลายไปถึงขั้นนี้
สำหรับเรา เรารู้สึกว่าคุณพ่อไม่เคารพการตัดสินใจของเราและไม่ไว้ใจเรา ซึ่งเราไม่โอเคมากๆ เหมือนกับว่า ถ้าเค้ามองว่าอะไรไม่เหมาะแล้วเรายังทำคือเราผิด เราก็เข้าใจนะคะว่าเค้ารักและเป็นห่วง แต่ความรักไม่ควรจะเป็นบ่วงแบบนี้หรือเปล่า อีกอย่างที่สัมผัสได้คือเหมือนเราต้องเลือกระหว่างพ่อกับแฟน ซึ่งเราไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเลือก เรารักทั้งคู่อยู่ดีแค่คนละแบบ
เราอยากทราบว่าถ้าคนอื่นอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเราจะรู้สึกและทำอย่างไรต่อดีคะ
ขอบคุณมากค่ะ
หากคุณพ่อคุณบอกคุณว่า ถ้าเลือกจะเดินทางคนเดียวอีกไม่ต้องมาคุยกัน (เราโดนขโมยกระเป๋าก่อนหน้านี้) คุณจะว่าอย่างไร
ขอเกริ่นต้นเรื่องๆนิดนึงนะคะ เราอายุ 29 ตอนนี้ทำงานอยู่ตปท. ตอนยังเรียนที่ไทยนั้นครอบครัวเราเข้มงวดมาก เช่น เราทำงานกลุ่มหลังเลิกเรียนได้ถึงแค่หกโมงเย็น เราไม่สามารถไปกินอาหารเย็นกับเพื่อนหลังเลิกเรียนได้ยกเว้นกรณีพิเศษ คุณพ่อคุณแม่ต้องมารับกลับบ้าน เดินทางคนเดียวไม่ได้ และอื่นๆ อารมณ์ลูกสาวคนเดียวที่คุณพ่อคุณแม่ค่อนข้างหวงและห่วงค่ะ แต่เราก็รับรู้และเข้าใจว่ามาจากที่เค้ารักเรามาก ตอนเด็กๆเลยไม่ได้ขัดอะไรเค้าค่ะ
จุดเปลี่ยนเริ่มต้นจากตอนที่เราได้ทุนไปเรียนตปท. ตอนอายุ 18 ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ก็ยอมให้ไปเพราะว่าเป็นโอกาสทางการศึกษา ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเหมือนโลกมันเปลี่ยนมาก เราเติบโตขึ้นและมีความตัวของตัวเองมากขึ้น ทำอะไรด้วยตัวเอง พึ่งพาตัวเองมากขึ้น และอื่นๆ แต่เราก็ยังมีความเกรงใจคุณพ่อคุณแม่อยู่ทำให้หลายๆเรื่องๆเลือกที่จะทำตามที่เค้าสบายใจ (เช่น เค้าอยากให้หาหอที่อยู่ใกล้มหาลัยมากกว่า ซึ่งแพงมาก แต่เราก็ยอม ทำให้ไม่มีเงินเก็บเป็นต้น) แต่การตัดสินใจเหล่านี้มันก็ยังมีข้อดีอยู่ เราเลยไม่ได้คิดอะไรมาก (เช่นเรื่องหอ ทำให้เราแค่เดินแปปเดียวก็ถึงมหาลัย ประหยัดเวลาเป็นต้น)
แต่สักเริ่มอายุ 27-28 มานี้ เรารู้สึกว่า เอะ มันไม่เป็นธรรมกับตัวเองเลยนะที่เราไม่จริงใจกับความคิดตัวเองแต่แค่จะทำอะไรตามที่แค่คุณพ่อคุณแม่สบายใจ โดยสิ่งที่เราอยากทำเรารู้อยู่แน่ๆว่ามันไม่ได้ผิดกฏหมายและไม่ได้ทำให้ใครเสียหาย มันเลยเริ่มช่วง "กบฏ" ของเราใ่นช่วงนี้ค่ะ ล่าสุดที่เป็นประเด็นที่ทำมาสู่กระทู้นี้คือ เราอยากจะเดินทางโดยรถไฟไปหาแฟนที่เมืองใกล้เคียงอาทิตย์หน้า แต่ที่มาเป็นประเด็นเลยคือ ประมาณ 3 อาทิตย์ที่แล้วเราโดนขโมยกระเป๋าบนรถไฟตอนที่กำลังจะเดินทางไปหาแฟนค่ะ คุณพ่อเห็นเราเสียใจมากเพราะของหายเยอะมากเลยคงกลัวว่าลูกสาวจะเป็นอันตรายอีก คุณแม่เห็นคุณพ่อเป็นห่วงเลยแอบโทรมาคุยกับเราสองคนเรื่องประเด็นนี้ ซึ่งเราก็บอกไปว่าเราเข้าใจว่าเป็นห่วง แต่เราก็จะดูแลตัวเองให้ดีขึ้น อีกอย่างคือเราไม่อยากอยู่ด้วยความกลัวเพราะไม่งั้นแปลว่าเราจะทำอะไรไม่ได้เลย เรายกตัวอย่างไปว่า เหมือนคุณพ่อคุณแม่เคยขับเราเชี่ยวกันมาบ้าง แต่สุดท้ายก็ยังขับรถถูกไหม ชีวิตต้องไปต่อ แม่เราก็ดูจะอ่อนๆไปแต่ก็บอกให้ไปคุยกับคุณพ่อเอาเอง
แต่ยังไม่ทันต้องไปคุยกับคุณพ่อ หลังจากที่วางสายกับคุณแม่ไปไม่เท่าไหร่ พ่อก็ส่งข้อความมาเลยว่า ถ้ายืนยันจะทำ (เดินทางคนเดียว) ก็ไม่ต้องมาคุยกัน โตแล้วเลือกเอาเอง ชีวิตใครชีวิตมัน เราเลยสรุปได้ว่าคุณพ่อได้ยินว่าเรากับคุณแม่คุยอะไรกันและไม่พอใจมาก เราก็อึ้งๆไปเหมือนกันที่แค่การจะเดินทางไปหาแฟนมันบานปลายไปถึงขั้นนี้
สำหรับเรา เรารู้สึกว่าคุณพ่อไม่เคารพการตัดสินใจของเราและไม่ไว้ใจเรา ซึ่งเราไม่โอเคมากๆ เหมือนกับว่า ถ้าเค้ามองว่าอะไรไม่เหมาะแล้วเรายังทำคือเราผิด เราก็เข้าใจนะคะว่าเค้ารักและเป็นห่วง แต่ความรักไม่ควรจะเป็นบ่วงแบบนี้หรือเปล่า อีกอย่างที่สัมผัสได้คือเหมือนเราต้องเลือกระหว่างพ่อกับแฟน ซึ่งเราไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเลือก เรารักทั้งคู่อยู่ดีแค่คนละแบบ
เราอยากทราบว่าถ้าคนอื่นอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเราจะรู้สึกและทำอย่างไรต่อดีคะ
ขอบคุณมากค่ะ