วันนี้พบผู้ป่วยรายใหม่ รักษาตัวใน รพ. 2,125 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 18 ราย ป่วยปอดอักเสบที่รักษาอยู่ 803 ราย
https://www.matichon.co.th/covid19/thai-covid19/news_3460851
วันนี้พบผู้ป่วยรายใหม่ รักษาตัวใน รพ. 2,125 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 18 ราย ป่วยปอดอักเสบที่รักษาอยู่ 803 ราย
เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 รายงานผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ประจำวันอังคารที่ 19 กรกฎาคม 2565 พบผู้ป่วยรายใหม่ (รักษาตัวใน รพ.) จำนวน 2,125 ราย จำแนกเป็น ผู้ป่วยในประเทศ 2,125 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ – ราย ผู้ป่วยสะสม 2,339,533 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)
หายป่วยกลับบ้าน 2,501 ราย หายป่วยสะสม 2,341,102 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ผู้ป่วยกำลังรักษา 22,341 ราย
เสียชีวิต 18 ราย เสียชีวิตสะสม 9,333 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)
จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบ รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 803 ราย
จำนวนผู้ติดเชื้อนอกโรงพยาบาล (ATK) สัปดาห์ที่ 28 (10-16 ก.ค.65) 143,827 ราย สะสม 143,827 ราย ร้อยละการตรวจพบเชื้อ (เฉลี่ยย้อนหลัง 7 วัน) 11.35 เปอร์เซ็นต์
*เนื่องจากตั้งแต่ 1 มิ.ย.65 เป็นต้นมา มีการปรับระบบรายงาน โดยรายงานเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องรับการรักษาในโรงพยาบาล จึงทำให้รายงานยอดผู้ป่วยสะสมมีจำนวนที่น้อยกว่ายอดผู้หายป่วยสะสม
"กอบศักดิ์" จับตาวิกฤตค่าเงินจ๊าด
https://siamrath.co.th/n/366256
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า
วิกฤตค่าเงินจ๊าด !!!
วันนี้ ขอพักจากวิกฤตโลกหนึ่งวัน ข้างๆ บ้านเราอีก 1 ประเทศที่กำลังมีปัญหากับเรื่องค่าเงิน ก็คือ เมียนมาร์
ล่าสุด จำเป็นต้องประกาศเมื่อวันที่ 13 กรกฏาคมที่ผ่านมา ให้บริษัทและธนาคารในเมียนมาร์ หยุดพักการชำระหนี้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศ !!!
หลังจากช่วงเดือนเมษายน ได้สั่งให้บริษัทต่างๆ แลกเงินตราต่างประเทศที่มีไปสู่เงินจ๊าดภายใน 24 ชม และได้ประกาศห้ามนำเข้ารถยนต์ และสินค้าฟุ่มเฟือยต่างๆ
ทั้งหมด เพื่อช่วยลดแรงกดดันต่อค่าเงินจ๊าด ที่อ่อนค่าลงมามากจาก 1,325 จ๊าด/ดอลลาร์ มาเป็น 1,850 จ๊าด/ดอลลาร์ (อัตราที่ทางการประกาศ) หรือลดลงอย่างน้อยประมาณ 30%
ในตลาดมืด (black market) มีข่าวว่า อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ประมาณ 2,200 จ๊าด/ดอลลาร์
นอกจากนี้นโยบายที่ประกาศออกมา ยังจะช่วยลดการไหลออกของเงินสำรองระหว่างประเทศ ที่มีอยู่ไม่มาก ซึ่งจากข้อมูลล่าสุดเท่าที่ประกาศออกมา เมื่อมีนาคม 2564 (1 ปีที่แล้ว) เมียนมาร์มีเงินสำรองอยู่เพียง 7.7 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
แต่จากการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดล่าสุดในช่วงที่ผ่านมา ที่ล่าสุด ADB ประมาณไว้ที่ -1.1% ของ GDP การไม่มีรายได้จากนักท่องเที่ยว การที่ไม่มี FDIs ไหลเข้า การต้องจ่ายชำระคืนดอกเบี้ยและหนี้ต่างประเทศที่มียอดคงค้างประมาณ 16% ของ GDP หรือประมาณ 11,000 ล้านดอลลาร์ สรอ. เงินสำรองระหว่างประเทศของเมียนมาร์ จึงลดลงไปพอสมควร
เงินที่ไหลออกจึงกลายเป็นปัญหาที่ต้องจัดการ นำมาซึ่งนโยบายต่างๆ ที่ประกาศออกมา
ทั้งหมดนี้ เศรษฐกิจเมียนมาร์ยังต้องปรับตัวเพิ่มอีกมาก เพราะจากข้อมูล ADB พบว่า เมื่อปีที่แล้ว เมียนมาร์ GDP ติดลบ -18.4% เงินเฟ้ออยู่ที่ 12.63% เมื่อธันวาคมที่แล้ว ซึ่งจากสิ่งที่เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจโลก เงินเฟ้อปัจจุบันคงเพิ่มไปอีกพอสมควร
ทั้งนี้ มาตรการจำกัดเรื่องเงินตราต่างประเทศที่ทางการได้ประกาศออกมา กำลังส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิตของหลายบริษัท ที่ไม่สามารถหาเงินตราต่างประเทศไปชำระค่านำเข้าวัตถุดิบ ซึ่งจะส่งผลต่อไปยังยอดการผลิต การส่งออก และเศรษฐกิจต่อไป
วันหลังจะมา update ให้ฟังต่อว่า สถานการณ์พัฒนาการไปอย่างไรครับ
https://www.facebook.com/drkobsakpootrakool/posts/pfbid0261NVFRbDoqHUUWBUks9MrehJ8V9AH1EB58ie4W3voEU5agDNPpMEXhU6fY7b5r6zl
ศึกซักฟอกรัฐบาลวันแรกเริ่มแล้ว“อนุทิน”ขึ้นเขียงคิวแรกตามมาอีก4รมต.
https://www.dailynews.co.th/news/1265025/
เริ่มแล้ว!! ยุทธการ “เด็ดหัว สอยนั่งร้าน” วันแรก “อนุทิน” ขึ้นเขียงคิวแรก ตามมีอีก 4 รมต. “ศักดิ์สยาม –สุชาติ - จุรินทร์ -จุติ”
เมื่อเวลา 08.30 น.วันที่ 19 ก.ค. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยมีนาย
สุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม เพื่อ พิจารณาวาระด่วน คือ พิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล จำนวน 11 คน ตามที่นาย
ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กับคณะ จำนวน 186 คน เป็นผู้เสนอ ภายใต้ ยุทธการ “
เด็ดหัว สอยนั่งร้าน”
สำหรับลำดับการอภิปรายไม่ได้วางใจมีดังนี้ วันที่ 1จะเริ่มที่ นพ.
ชลน่าน ผู้นำฝ่ายค้านอ่านญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจและอภิปราย ขยายความในญัตติ ประมาณ 1 ชั่วโมง)
จากนั้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในวันแรก จะมีจำนวน 5 คน โดยจะเริ่มคนแรก ที่
1.นายอ
นุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข
2. นาย
ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม
3.นาย
สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน
4.นาย
จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี
และรมว.พาณิชย์ 5.นาย
จุติ ไกรฤกษ์ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ส่วนการอภิปราย วันที่ 2 จำนวน ได้แก่ นาย
นิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย นาย
ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) นาย
สันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลีง จากนั้นจะถึงคิว “3 ป.” เริ่มที่ พล.อ.
ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.
อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย
และที่เหลือในวันที่ 2 – 4 จะเป็นคนสุดท้ายคือ พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ซึ่งจะถูกอภิปรายนานถึง 30 ชั่วโมง
ทั้งนี้การลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล จะเริ่มในวันที่ 23 ก.ค.นี้ เวลา 09.30 น.เป็นต้นไป ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาเพียง 1 ชม.ก็จะทราบผล
JJNY : ป่วยใหม่ 2,125 เสียชีวิต 18│"กอบศักดิ์"จับตาวิกฤตเงินจ๊าด│ศึกซักฟอกรัฐบาลวันแรกเริ่มแล้ว│'เศรษฐา'เกาะติดศึกซักฟอก
https://www.matichon.co.th/covid19/thai-covid19/news_3460851
เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 รายงานผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ประจำวันอังคารที่ 19 กรกฎาคม 2565 พบผู้ป่วยรายใหม่ (รักษาตัวใน รพ.) จำนวน 2,125 ราย จำแนกเป็น ผู้ป่วยในประเทศ 2,125 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ – ราย ผู้ป่วยสะสม 2,339,533 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)
หายป่วยกลับบ้าน 2,501 ราย หายป่วยสะสม 2,341,102 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ผู้ป่วยกำลังรักษา 22,341 ราย
เสียชีวิต 18 ราย เสียชีวิตสะสม 9,333 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)
จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบ รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 803 ราย
จำนวนผู้ติดเชื้อนอกโรงพยาบาล (ATK) สัปดาห์ที่ 28 (10-16 ก.ค.65) 143,827 ราย สะสม 143,827 ราย ร้อยละการตรวจพบเชื้อ (เฉลี่ยย้อนหลัง 7 วัน) 11.35 เปอร์เซ็นต์
*เนื่องจากตั้งแต่ 1 มิ.ย.65 เป็นต้นมา มีการปรับระบบรายงาน โดยรายงานเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องรับการรักษาในโรงพยาบาล จึงทำให้รายงานยอดผู้ป่วยสะสมมีจำนวนที่น้อยกว่ายอดผู้หายป่วยสะสม
"กอบศักดิ์" จับตาวิกฤตค่าเงินจ๊าด
https://siamrath.co.th/n/366256
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า
วิกฤตค่าเงินจ๊าด !!!
วันนี้ ขอพักจากวิกฤตโลกหนึ่งวัน ข้างๆ บ้านเราอีก 1 ประเทศที่กำลังมีปัญหากับเรื่องค่าเงิน ก็คือ เมียนมาร์
ล่าสุด จำเป็นต้องประกาศเมื่อวันที่ 13 กรกฏาคมที่ผ่านมา ให้บริษัทและธนาคารในเมียนมาร์ หยุดพักการชำระหนี้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศ !!!
หลังจากช่วงเดือนเมษายน ได้สั่งให้บริษัทต่างๆ แลกเงินตราต่างประเทศที่มีไปสู่เงินจ๊าดภายใน 24 ชม และได้ประกาศห้ามนำเข้ารถยนต์ และสินค้าฟุ่มเฟือยต่างๆ
ทั้งหมด เพื่อช่วยลดแรงกดดันต่อค่าเงินจ๊าด ที่อ่อนค่าลงมามากจาก 1,325 จ๊าด/ดอลลาร์ มาเป็น 1,850 จ๊าด/ดอลลาร์ (อัตราที่ทางการประกาศ) หรือลดลงอย่างน้อยประมาณ 30%
ในตลาดมืด (black market) มีข่าวว่า อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ประมาณ 2,200 จ๊าด/ดอลลาร์
นอกจากนี้นโยบายที่ประกาศออกมา ยังจะช่วยลดการไหลออกของเงินสำรองระหว่างประเทศ ที่มีอยู่ไม่มาก ซึ่งจากข้อมูลล่าสุดเท่าที่ประกาศออกมา เมื่อมีนาคม 2564 (1 ปีที่แล้ว) เมียนมาร์มีเงินสำรองอยู่เพียง 7.7 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
แต่จากการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดล่าสุดในช่วงที่ผ่านมา ที่ล่าสุด ADB ประมาณไว้ที่ -1.1% ของ GDP การไม่มีรายได้จากนักท่องเที่ยว การที่ไม่มี FDIs ไหลเข้า การต้องจ่ายชำระคืนดอกเบี้ยและหนี้ต่างประเทศที่มียอดคงค้างประมาณ 16% ของ GDP หรือประมาณ 11,000 ล้านดอลลาร์ สรอ. เงินสำรองระหว่างประเทศของเมียนมาร์ จึงลดลงไปพอสมควร
เงินที่ไหลออกจึงกลายเป็นปัญหาที่ต้องจัดการ นำมาซึ่งนโยบายต่างๆ ที่ประกาศออกมา
ทั้งหมดนี้ เศรษฐกิจเมียนมาร์ยังต้องปรับตัวเพิ่มอีกมาก เพราะจากข้อมูล ADB พบว่า เมื่อปีที่แล้ว เมียนมาร์ GDP ติดลบ -18.4% เงินเฟ้ออยู่ที่ 12.63% เมื่อธันวาคมที่แล้ว ซึ่งจากสิ่งที่เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจโลก เงินเฟ้อปัจจุบันคงเพิ่มไปอีกพอสมควร
ทั้งนี้ มาตรการจำกัดเรื่องเงินตราต่างประเทศที่ทางการได้ประกาศออกมา กำลังส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิตของหลายบริษัท ที่ไม่สามารถหาเงินตราต่างประเทศไปชำระค่านำเข้าวัตถุดิบ ซึ่งจะส่งผลต่อไปยังยอดการผลิต การส่งออก และเศรษฐกิจต่อไป
วันหลังจะมา update ให้ฟังต่อว่า สถานการณ์พัฒนาการไปอย่างไรครับ
https://www.facebook.com/drkobsakpootrakool/posts/pfbid0261NVFRbDoqHUUWBUks9MrehJ8V9AH1EB58ie4W3voEU5agDNPpMEXhU6fY7b5r6zl
ศึกซักฟอกรัฐบาลวันแรกเริ่มแล้ว“อนุทิน”ขึ้นเขียงคิวแรกตามมาอีก4รมต.
https://www.dailynews.co.th/news/1265025/
เริ่มแล้ว!! ยุทธการ “เด็ดหัว สอยนั่งร้าน” วันแรก “อนุทิน” ขึ้นเขียงคิวแรก ตามมีอีก 4 รมต. “ศักดิ์สยาม –สุชาติ - จุรินทร์ -จุติ”
เมื่อเวลา 08.30 น.วันที่ 19 ก.ค. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยมีนายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม เพื่อ พิจารณาวาระด่วน คือ พิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล จำนวน 11 คน ตามที่นายชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กับคณะ จำนวน 186 คน เป็นผู้เสนอ ภายใต้ ยุทธการ “เด็ดหัว สอยนั่งร้าน”
สำหรับลำดับการอภิปรายไม่ได้วางใจมีดังนี้ วันที่ 1จะเริ่มที่ นพ.ชลน่าน ผู้นำฝ่ายค้านอ่านญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจและอภิปราย ขยายความในญัตติ ประมาณ 1 ชั่วโมง)
จากนั้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในวันแรก จะมีจำนวน 5 คน โดยจะเริ่มคนแรก ที่
1.นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข
2. นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม
3.นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน
4.นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี
และรมว.พาณิชย์ 5.นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ส่วนการอภิปราย วันที่ 2 จำนวน ได้แก่ นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลีง จากนั้นจะถึงคิว “3 ป.” เริ่มที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย
และที่เหลือในวันที่ 2 – 4 จะเป็นคนสุดท้ายคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ซึ่งจะถูกอภิปรายนานถึง 30 ชั่วโมง
ทั้งนี้การลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล จะเริ่มในวันที่ 23 ก.ค.นี้ เวลา 09.30 น.เป็นต้นไป ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาเพียง 1 ชม.ก็จะทราบผล