ได้หนังสือเล่มเล็กจากเพื่อนที่ส่งไลน์มาให้เมื่อเช้านี้
จัดพิมพ์โดย พุทธธรรมสถานปัญจคีรีที่ปากช่อง นครราชสีมา
พิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม 2565 นี้เองค่ะ
เป็นหนังสือขนาดประมาณ 50 หน้า เขียนโดย "หมอจุ๋งจิ๋ง" หรือแพทย์หญิงชุษณา ข่ายม่าน
แพทย์หญิงที่พบว่า ตนเองในวัย 37 ปี ขณะที่กำลังขอทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ ป่วยเป็นมะเร็งขั้นที่ 4
ผลเอ็กซเรย์เผยว่า มะเร็งกระจายไปทั้งต่อมน้ำเหลืองในช่องท้อง ตับ หลอดเลือด และในปอดอีก 24 จุด
ทำให้แผนการขอทุนไปเรียนต่อเมืองนอกต้องหยุดชะงักทันที และต้องรีบเข้ารับการรักษาด่วน
คุณหมอเป็นลูกศิษย์หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย มาประมาณ 10 ปี
จึงได้อาศัยธรรมโอสถนี้ช่วยเยียวยาจิตใจขณะที่ต้องทุกข์ทรมานกับการรักษาที่มีทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส
เพราะมะเร็งที่ลามทั้งตัวโดนยาบอมบ์พร้อม ๆ กัน
เกิดอาการที่คุณหมอเล่าว่า
"
...แสบร้อนทั่วร่างกาย ปวดแสบตรงหน้าอกลิ้นปี่เหมือนมีแรงฉีกอกออกไปทะลุหลัง สลับกับอาการปวดชาเหมือนน้ำแข็งกัด หมอรู้สึกเหมือนแช่น้ำร้อนสลับกับแช่น้ำแข็ง ซึ่งตอนนั้นก็ยังมีตัวตนไปจับพลังงานที่เกิดขึ้นอยู่เลยเป็นหนักมาก
พอเวทนาหนักจนร่างกายทนไม่ไหว ก็เคลิ้มหลับเหมือนสลบไป เรารู้สึกเหมือนตายเป็นครั้งแรกแล้วด้วยซ้ำ มันหลับจนดับไปเลยด้วยความทนพิษไม่ไหว แต่สักพักก็ตื่นขึ้นมาเหมือนคนโดนเอาน้ำสาด ฟื้นกลับมารับความเจ็บปวดใหม่อีก วนไปอย่างนี้สามวัน ...
...เอาธรรมะหลวงตามาเสียบหูแล้วเอาขวดน้ำมนต์หลวงตามากอดไว้เลย เพราะเราไม่มีที่พึ่งใดอีกแล้ว"
แต่ท่ามกลางความเจ็บปวดเจียนตายอันนี้
คุณหมอก็ยังเจริญมรณานุสสติ และมีใจสู้เพื่อจะให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ให้ได้
นอกจากความเจ็บปวดทรมานที่คุณหมอประสบ และวิธีการประคับประคองเยียวยาจิตใจตนเองที่คุณหมอได้เล่าอย่างละเอียดในหนังสือแล้ว
หนังสือเล่มนี้ คุณหมอเล่าและอธิบายอย่างละเอียดถึง ปฏิกริยาของใจที่มีความตายโดยอ้างถึง
ศาสตร์การดูแลประคับประคองที่กล่าวถึงปฏิกริยาทางใจ 5 ระยะของเอลิซาเบธ คูเบลอร์-รอสส์ (Elisabeth Kubler-Ross) ว่า
ช่วงแรกที่ได้รับข่าวร้ายจะมีภาวะช็อก คือ ไม่อยากเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับตัวเองจริง ๆ
จากนั้น ก็จะเริ่มโกรธ โกรธบุคคลภายนอก หรือโกรธตัวเองว่า ดูแลตนเองไม่ดีจนป่วย
ระยะที่ 3 คือ เริ่มต่อรอง ระยะจะเริ่มยอมรับแล้วว่าคงต้องตายจริง ๆ แต่ขอลองรักษาวิธีการอื่น ๆ หน่อยได้ไหม
ระยะที่ 4 คือ ระยะซึมเศร้า คือ หมองเศร้าต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
จนกว่า จะเข้าสู่ระยะสุดท้าย คือ ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น
แต่ละคนจะอยู่ในช่วงของการพิจารณายอมรับได้ในแต่ละระยะได้ไม่เท่ากัน
คุณหมอยังแนะนำด้วยว่า
การจะ
เข้าถึงความสงบที่แท้จริงใจช่วงเวลาตาย เกิดจากการยอมรับด้วยใจต่อความตายและความไม่แน่นอนของทุกสิ่ง
คือ
จิตที่เผชิญความจริงจะมีการพิจารณาแง่มุมต่าง ๆ เหล่านี้ซ้ำไปซ้ำมา จนมันแจ้งชัดว่า ทุกสิ่งย่อมเป็นเช่นนั้นเอง มันหนีไม่พ้น และไม่ได้เป็นไปตามความอยากของเรา
เมื่อถึงจุดนี้ ใจจะสิ้นปฏิกริยาที่เป็นความหวั่นไหวทางใจ และอยู่ได้ท่ามกลางสิ่งที่กระทบตามปกติภายนอก ถึงแม้จะกระทบมาเป็นเวทนาที่มีความทุกข์หรือเป็นสิ่งที่เราไม่พังปรารถนาก็ถาม แต่มันก็จะอยู่กับสิ่งนั้นได้ และการอยู่กับสิ่งนั้นได้ตั้งแต่ตอนที่มีชีวิต เราก็ไม่ต้องกังวลว่า ตอนตายมันจะเป็นอย่างไร กล่าวถึง ถ้า "สักแต่ว่ารู้" ทุกสิ่งที่ปรากฎได้โดยไม่ทุกข์ สุดท้ายตอนตายมันก็จะสักแต่ว่ารู้ได้เช่นกัน แล้วทุกสิ่งที่มาปรากฎ สุดท้ายมันก็ดับสนิทลงไปเอง โดยไม่ต้องมีคนที่เป็นตัวตนออกไปรับสิ่งที่เป็นความทุกข์เหล่านั้น"
ในหนังสือยังบอกเล่าถึงกระบวนการแพทย์เกี่ยวกับการเสียชีวิต รวมถึงวิธีฝึกปฏิบัติเพื่อให้การจากไปนั้น "สงบ" และปล่อยวางได้ดับสนิทที่สุดด้วยค่ะ
เป็นหนังสือที่ดีมาก ๆ อีกเล่มหนึ่งที่แนะนำ
เข้าใจว่า คุณหมอตั้งใจจะมอบไว้เป็นธรรมทาน
จึงขอส่งลิ้งค์หนังสือสำหรับการอ่านออนไลน์ด้วยเลยนะคะ
https://online.anyflip.com/wwhjd/ofbf/mobile/index.html?fbclid=IwAR14DBVeiL1vSvIGeT35jvlsY3jfR3QS7ZoBDobhav2fjY2XE43SDzqZ3I0
กราบอนุโมทนากับคุณหมอจุ๋งจิ๋งค่ะ
"เมื่อหมอเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย" บันทึกจากแพทย์ที่ป่วยเป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายในวัย 37
จัดพิมพ์โดย พุทธธรรมสถานปัญจคีรีที่ปากช่อง นครราชสีมา
พิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม 2565 นี้เองค่ะ
เป็นหนังสือขนาดประมาณ 50 หน้า เขียนโดย "หมอจุ๋งจิ๋ง" หรือแพทย์หญิงชุษณา ข่ายม่าน
แพทย์หญิงที่พบว่า ตนเองในวัย 37 ปี ขณะที่กำลังขอทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ ป่วยเป็นมะเร็งขั้นที่ 4
ผลเอ็กซเรย์เผยว่า มะเร็งกระจายไปทั้งต่อมน้ำเหลืองในช่องท้อง ตับ หลอดเลือด และในปอดอีก 24 จุด
ทำให้แผนการขอทุนไปเรียนต่อเมืองนอกต้องหยุดชะงักทันที และต้องรีบเข้ารับการรักษาด่วน
คุณหมอเป็นลูกศิษย์หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย มาประมาณ 10 ปี
จึงได้อาศัยธรรมโอสถนี้ช่วยเยียวยาจิตใจขณะที่ต้องทุกข์ทรมานกับการรักษาที่มีทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส
เพราะมะเร็งที่ลามทั้งตัวโดนยาบอมบ์พร้อม ๆ กัน
เกิดอาการที่คุณหมอเล่าว่า
"...แสบร้อนทั่วร่างกาย ปวดแสบตรงหน้าอกลิ้นปี่เหมือนมีแรงฉีกอกออกไปทะลุหลัง สลับกับอาการปวดชาเหมือนน้ำแข็งกัด หมอรู้สึกเหมือนแช่น้ำร้อนสลับกับแช่น้ำแข็ง ซึ่งตอนนั้นก็ยังมีตัวตนไปจับพลังงานที่เกิดขึ้นอยู่เลยเป็นหนักมาก
พอเวทนาหนักจนร่างกายทนไม่ไหว ก็เคลิ้มหลับเหมือนสลบไป เรารู้สึกเหมือนตายเป็นครั้งแรกแล้วด้วยซ้ำ มันหลับจนดับไปเลยด้วยความทนพิษไม่ไหว แต่สักพักก็ตื่นขึ้นมาเหมือนคนโดนเอาน้ำสาด ฟื้นกลับมารับความเจ็บปวดใหม่อีก วนไปอย่างนี้สามวัน ...
...เอาธรรมะหลวงตามาเสียบหูแล้วเอาขวดน้ำมนต์หลวงตามากอดไว้เลย เพราะเราไม่มีที่พึ่งใดอีกแล้ว"
แต่ท่ามกลางความเจ็บปวดเจียนตายอันนี้
คุณหมอก็ยังเจริญมรณานุสสติ และมีใจสู้เพื่อจะให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ให้ได้
นอกจากความเจ็บปวดทรมานที่คุณหมอประสบ และวิธีการประคับประคองเยียวยาจิตใจตนเองที่คุณหมอได้เล่าอย่างละเอียดในหนังสือแล้ว
หนังสือเล่มนี้ คุณหมอเล่าและอธิบายอย่างละเอียดถึง ปฏิกริยาของใจที่มีความตายโดยอ้างถึง
ศาสตร์การดูแลประคับประคองที่กล่าวถึงปฏิกริยาทางใจ 5 ระยะของเอลิซาเบธ คูเบลอร์-รอสส์ (Elisabeth Kubler-Ross) ว่า
ช่วงแรกที่ได้รับข่าวร้ายจะมีภาวะช็อก คือ ไม่อยากเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับตัวเองจริง ๆ
จากนั้น ก็จะเริ่มโกรธ โกรธบุคคลภายนอก หรือโกรธตัวเองว่า ดูแลตนเองไม่ดีจนป่วย
ระยะที่ 3 คือ เริ่มต่อรอง ระยะจะเริ่มยอมรับแล้วว่าคงต้องตายจริง ๆ แต่ขอลองรักษาวิธีการอื่น ๆ หน่อยได้ไหม
ระยะที่ 4 คือ ระยะซึมเศร้า คือ หมองเศร้าต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
จนกว่า จะเข้าสู่ระยะสุดท้าย คือ ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น
แต่ละคนจะอยู่ในช่วงของการพิจารณายอมรับได้ในแต่ละระยะได้ไม่เท่ากัน
คุณหมอยังแนะนำด้วยว่า
การจะเข้าถึงความสงบที่แท้จริงใจช่วงเวลาตาย เกิดจากการยอมรับด้วยใจต่อความตายและความไม่แน่นอนของทุกสิ่ง
คือ
จิตที่เผชิญความจริงจะมีการพิจารณาแง่มุมต่าง ๆ เหล่านี้ซ้ำไปซ้ำมา จนมันแจ้งชัดว่า ทุกสิ่งย่อมเป็นเช่นนั้นเอง มันหนีไม่พ้น และไม่ได้เป็นไปตามความอยากของเรา
เมื่อถึงจุดนี้ ใจจะสิ้นปฏิกริยาที่เป็นความหวั่นไหวทางใจ และอยู่ได้ท่ามกลางสิ่งที่กระทบตามปกติภายนอก ถึงแม้จะกระทบมาเป็นเวทนาที่มีความทุกข์หรือเป็นสิ่งที่เราไม่พังปรารถนาก็ถาม แต่มันก็จะอยู่กับสิ่งนั้นได้ และการอยู่กับสิ่งนั้นได้ตั้งแต่ตอนที่มีชีวิต เราก็ไม่ต้องกังวลว่า ตอนตายมันจะเป็นอย่างไร กล่าวถึง ถ้า "สักแต่ว่ารู้" ทุกสิ่งที่ปรากฎได้โดยไม่ทุกข์ สุดท้ายตอนตายมันก็จะสักแต่ว่ารู้ได้เช่นกัน แล้วทุกสิ่งที่มาปรากฎ สุดท้ายมันก็ดับสนิทลงไปเอง โดยไม่ต้องมีคนที่เป็นตัวตนออกไปรับสิ่งที่เป็นความทุกข์เหล่านั้น"
ในหนังสือยังบอกเล่าถึงกระบวนการแพทย์เกี่ยวกับการเสียชีวิต รวมถึงวิธีฝึกปฏิบัติเพื่อให้การจากไปนั้น "สงบ" และปล่อยวางได้ดับสนิทที่สุดด้วยค่ะ
เป็นหนังสือที่ดีมาก ๆ อีกเล่มหนึ่งที่แนะนำ
เข้าใจว่า คุณหมอตั้งใจจะมอบไว้เป็นธรรมทาน
จึงขอส่งลิ้งค์หนังสือสำหรับการอ่านออนไลน์ด้วยเลยนะคะ
https://online.anyflip.com/wwhjd/ofbf/mobile/index.html?fbclid=IwAR14DBVeiL1vSvIGeT35jvlsY3jfR3QS7ZoBDobhav2fjY2XE43SDzqZ3I0
กราบอนุโมทนากับคุณหมอจุ๋งจิ๋งค่ะ