ยอดโควิดวันนี้ พบผู้ป่วยติดเชื้อใหม่ 2,028 ราย เสียชีวิต 18 ราย
https://www.matichon.co.th/covid19/news_3457750
ยอดโควิดวันนี้ พบผู้ป่วยติดเชื้อใหม่ 2,028 ราย เสียชีวิต 18 ราย
ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 รายงานยอดผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ประจำวันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม 2565 มีผู้ป่วยรายใหม่ (รักษาตัวใน รพ.) จำนวน 2,028 ราย จำแนกเป็น ผู้ป่วยในประเทศ 2,028 ราย, ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ – ราย, ผู้ป่วยสะสม 2,335,594 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)
ขณะที่หายป่วยกลับบ้าน 2,578 ราย หายป่วยสะสม 2,336,240 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565), ผู้ป่วยกำลังรักษา 23,299 ราย, เสียชีวิต 18 ราย และเสียชีวิตสะสม 9,298 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565), จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบ และรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 785 ราย
ทั้งนี้ เนื่องจากตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 เป็นต้นมา มีการปรับระบบรายงาน โดยรายงานเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องรับการรักษาในโรงพยาบาล จึงทำให้รายงานยอดผู้ป่วยสะสมมีจำนวนที่น้อยกว่ายอดผู้หายป่วยสะสม
จับตาเวียดนามคู่แข่งไทย ดึงดูดนักลงทุนทั่วโลกด้วย2สิ่งนี้ วัยแรงงานหนุ่มสาว-ค่าแรงถูก
https://www.matichon.co.th/economy/news_3455694
จับตาเวียดนามคู่แข่งไทย ดึงดูดนักลงทุนทั่วโลกด้วย2สิ่งนี้ วัยแรงงานหนุ่มสาว-ค่าแรงถูก
ในอดีตคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า “
ประเทศไทยกำลังกลายเป็นเสือตัวที่ 5 แห่งทวีปเอเชีย” ด้วยแนวโน้มการพัฒนาเศรษฐกิจที่รวดเร็ว ตามรอย “
สี่เสือแห่งเอเชีย” ได้แก่ ฮ่องกง สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และไต้หวัน แต่แล้วหนทางติดเขี้ยวเล็บเพื่อเป็นเสือตัวที่ 5 ก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากความคิดของคนไทยในยุคปัจจุบัน
ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านของไทย ต่างมีการพัฒนากันอย่างเต็มกำลัง โดยองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (โออีซีดี) คาดว่าเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศอาเซียนในปี 2565 จะขยายตัวเฉลี่ย 5.2% โดยฟิลิปปินส์นำโด่งขยายตัว 7% ตามด้วยเวียดนาม โต 6.5% มาเลเซีย 6% อินโดนีเซีย 5.2% สิงคโปร์ 4% บรูไน 3.5% ขณะที่ไทยเกือบรั้งท้าย ขยายตัว 3.8% ถือว่าช้ากว่าการเติบโตของประเทศเพื่อนบ้านและภูมิภาค
สิ่งที่มองข้ามไม่ได้คือ เวียดนาม จัดอยู่ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา เป็นหนึ่งในคู่แข่งที่น่ากลัวของไทย!!
จากข้อมูลทางสถิติแสดงให้เห็นว่า เวียดนามสามารถแย่งตลาดการส่งออกข้าวจากไทย จนขึ้นเป็นอันดับสองของโลก รองจากอินเดีย เมื่อปี 2564 เบียดไทยหล่นมาอยู่อันดับสามของโลก ทำให้เห็นว่าเวียดนามพยายามพัฒนาเศรษฐกิจของเขาอย่างเต็มที่ สอดคล้องกับคาดการณ์ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนาม
ในโอกาสที่กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) นายรักษ์ วรกิจโภคาทร ได้เดินทางไปยังนครโฮจิมินห์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เพื่อร่วมพิธีเปิดสำนักงานผู้แทน EXIM BANK โฮจิมินห์ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา จึงมีโอกาสร่วมทริป สัมผัสประเทศเวียดนามในปัจจุบันจะแตกต่างจากภาพในอดีตมากน้อยแค่ไหน
สิ่งแรกที่เห็นและถือเป็นสัญลักษณ์ของประเทศนี้ คือการใช้จักรยานยนต์หรือมอเตอร์ไซค์เป็นพาหนะหลักยอดนิยม ยังคงภาพนี้ให้เห็นบนถนน ซึ่งดูเหมือนจะวุ่นวายแต่ด้วยกฎหมายที่นี่เข้มงวดมากเรื่องจำกัดความเร็ว จึงปลอดภัยสูงในการเดินทางแต่ก็ต้องแลกกับเวลาที่เสียไป ดังนั้น ใครที่จะเดินทางไกลต้องวางแผนและเตรียมตัวให้ดี โดยเมืองทางตอนกลางและตอนใต้ ยังไม่เห็นการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าหรือรถราง มีเพียงรถโดยสารประจำทางประเภทรถบัส ซึ่งไม่เป็นที่นิยมนัก
สภาพการคมนาคมโดยทั่วไป ขนาดถนนใหญ่สุดประมาณ 6-8 ช่องจราจร ทางด่วนและสะพานมีไม่มากหากเทียบกับไทยส่วนใหญ่เป็นสะพานข้ามแม่น้ำหรือข้ามแยกภายในเมืองเท่านั้น ส่วนสนามบินจะเป็นบริษัทสายการบินในประเทศใช้เดินทางข้ามจังหวัด แต่ก็มีนักท่องเที่ยวนิยมใช้บริการด้วยเช่นเดียวกับคนเวียดนาม ภายในสนามบินจึงค่อนข้างแออัด ส่วนทางรถไฟ เดาว่าอาจจะไม่เป็นที่นิยมใช้เพราะเที่ยวเดินรถค่อนข้างห่างกัน อาจจะใช้เพื่อการขนส่งสินค้าเป็นหลัก
ภาพที่เห็นระหว่างเดินทางอยู่ในเมืองจะเห็นความกระจุกตัว แต่เมื่อออกจากตัวเมืองเพียงไม่นาน ถนนจะแคบลงเหลือแค่ขนาด 2.4 ช่องจราจร ภาพของตึก อาหาร ร้านค้า บ้านพักอาศัยจะค่อยๆ จางหายไปจากสายตา เห็นภาพที่ดินเปล่าทอดยาวสุดลูกตามาแทนที่ ขณะที่สถานีบริการหรือปั๊มน้ำมันจะมีไม่มากและเป็นปั๊มน้ำมันให้บริการน้ำมันเท่านั้น จริงๆ ไม่มีห้องน้ำและร้านสะดวกซื้อเปิดบริการเหมือนไทย เช่นเดียวกับที่พัก โรงแรม ก็จะเห็นรวมกันเป็นกระจุก ด้วยเพราะเวียดนามมีการจัดระเบียบพื้นที่เข้มข้น ทำให้โรงแรมจะมีอย่างจำกัด และแยกโซนชัดเจน ขณะที่ร้านค้ามีการแบ่งแยกโซนให้เห็นชัดเจนว่า ย่านนี้ทำธุรกิจประเภทใด อาทิ ธุรกิจจำหน่ายจักรยานยนต์ ธุรกิจซ่อมรถ ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร และธุรกิจสถานบันเทิง
คาดว่าอาจจะได้รับอิทธิพลมาจากการสร้างผังเมืองสมัยที่เป็นเมืองขึ้นอาณานิคมของฝรั่งเศส ในปัจจุบันยังเห็นอิทธิพลดังกล่าวผ่านรูปแบบสถาปัตยกรรมอาคารต่างๆ ที่ถูกปรับมาใช้เป็นสถานที่ราชการ สถานที่ท่องเที่ยว ห้างสรรพสินค้า ซึ่งที่นี่ไม่ค่อยเห็นช้อปแบรนด์เนม หรือจักรยานยนต์ที่เป็นที่นิยมก็จะเป็นกลุ่มจักรยานยนต์ใช้ในครอบครัว ประเภทบิ๊กไบค์ ไม่ค่อยเห็นเป็นที่นิยมเหมือนเมืองไทย ส่วนบ้านพักอาศัยก็จะเป็นแบบเรียบง่าย ตึกแถว อพาร์ตเมนต์ขนาดเล็ก หากเป็นนอกเมืองจะเป็นบ้านเดี่ยวที่ปลูกเองชั้นเดียวไม่ได้ตกแต่งอะไรมากมาย เรียกได้ว่า ที่โฮจิมินห์ยังไม่ค่อยมีโครงการหมู่บ้านจัดสรร หรือคอนโดมิเนียมให้เห็น ตึกสูงในเมืองจะเป็นโรงแรมระดับสี่ถึงห้าดาว
ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวจะเน้นไปที่สถานที่สำคัญในประวัติศาสตร์ ทางสงครามและวัฒนธรรมต่างๆ หรือเมืองที่มีศิลปกรรม อาคารสถาปัตยกรรมที่สวยงามและทรงคุณค่าสำหรับคนในประเทศ และธรรมชาติ ทะเล ภูเขา
จากที่สัมผัสดูด้วยตา ให้คะแนนประเทศไทยเรื่องการพัฒนาด้านการท่องเที่ยว มีความเหนือชั้นกว่าเวียดนาม ทั้งระบบขนส่งต่างๆ ความหลากหลายของรูปแบบการท่องเที่ยว และการพัฒนาด้านอาชีพการท่องเที่ยวและบริการ
อย่างไรก็ดี เวียดนามกลับกลายเป็นประเทศที่กำลังอยู่ในความสนใจของนักลงทุนต่างชาติ สนใจย้ายฐานการผลิตมาลงทุนที่นี่ ซึ่งมีข้อได้เปรียบด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ คือการเป็นประเทศที่อยู่ใจกลางของภูมิภาค มีพื้นที่ติดทะเลจำนวนมาก ซึ่งมากกว่าไทย อีกทั้งประชากรของประเทศเวียดนามอยู่ในช่วงวัยหนุ่มสาว ที่เป็นวัยแรงงาน เรียกได้ว่าห่างไกลจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากกว่าไทย ซึ่งสังเกตได้ในทันที เพราะผู้คนที่ขับขี่รถจักรยานยนต์ในเมืองทั่วๆ ไป ส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์วัยแรงงาน
ตามข้อมูลทางสถิติได้ระบุว่า เวียดนามมีประชากรราว 96-97 ล้านคน มีจำนวนมากเป็นอันดับสามของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ และในสัดส่วนประชากร ช่วงอายุอยู่ในกลุ่มวัยรุ่นถึงวัยกลางคนมีมากถึง 70%และหากนับเป็นวัยแรงงานถือว่ามีมากกว่า 50% ของประชากรขณะที่วัยชรา มีเพียง 6-7% เท่านั้น
นอกจากนี้ วัฒนธรรมและค่านิยมของประเทศเวียดนาม สนับสนุนให้วัยหนุ่มสาวใช้ชีวิตในประเทศเวียดนาม ทำให้มีความพร้อมด้านกำลังคนสูงกว่าไทยที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน แถมค่าแรงที่เวียดนามยังถูกกว่าค่าแรงของไทย เฉลี่ยเพียง 200 บาทต่อวันเท่านั้น ซึ่งน่าจะเป็นจุดแข็งที่ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติได้ดีมาก
สำหรับธุรกิจที่มีการลงทุนจำนวนมากคือ ธุรกิจสถาบันการเงิน มีทั้งธนาคารจากส่วนกลาง ธนาคารท้องถิ่น ธนาคารจากต่างประเทศ ซึ่งนักธุรกิจชาวไทยก็มีการไปลงทุนเปิดสาขาที่เวียดนามด้วย เชื่อว่าแบรนด์ธนาคารน่าจะมีราวๆ 30-40 แบรนด์ จึงเป็นที่น่าสนใจว่าประชากรเวียดนามใช้บริการและทำธุรกรรมจำนวนมาก
ด้านนักลงทุนไทยเองก็ให้ความสนใจเช่นกัน โดยมีการลงทุนด้านธุรกิจสถาบันการเงินราว 2-3 เจ้าใหญ่ นอกจากนี้ ก็สนใจลงทุนด้านการผลิตพลังงานทดแทน ธุรกิจปิโตรเคมี กลุ่มกิจการค้าปลีกและห้างสรรพสินค้า และกลุ่มอาหารแปรรูปและเกษตรกรรม
ข้อมูลการลงทุนของชาวต่างชาติในเวียดนาม เมื่อปี 2564 อันดับ 1 ได้แก่ เกาหลีใต้ ตามด้วยญี่ปุ่น สิงคโปร์ ไต้หวัน และฮ่องกง มาเป็นอันดับ 5 ส่วนการลงทุนจากประเทศไทย อยู่ที่อันดับ 9
สำหรับอุตสาหกรรมที่สำคัญในเวียดนาม มีทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรกล คอมพิวเตอร์ และเครื่องนุ่งห่ม ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า กลุ่มสินค้าเครื่องประดับ อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมที่ใกล้เคียงกับอุตสาหกรรมของประเทศไทย
มาถึงบรรทัดนี้คงไม่แปลกใจแล้วว่าทำไม เวียดนามจึงเป็นที่น่าสนใจจากทั่วโลกในการเข้าลงทุน และทำไมประเทศไทยต้องจับตามอง เพราะถือเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว ขณะเดียวกันก็เป็นคู่ค้าที่สำคัญด้วย จากที่นำเข้าสินค้าไทยเป็นจำนวนมาก ถูกจัดอันดับเป็นคู่ค้าอันดับ 3 ในกลุ่มอาเซียน
ดังนั้น ประเทศไทยจะนอนใจ ประมาทไม่ได้แล้ว เพราะสัญญาณจากเวียดนามเริ่มเด่นชัด จะตีตื้นขึ้นมาแซงไทยได้ทุกขณะ…
นิด้าโพล คนงงสูตรส.ส.ค้านหาร 500 มองพรรครบ.อยากอยู่ต่อ
https://www.innnews.co.th/news/news_374710/
นิด้าโพล คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจสูตรคำนวน ส.ส.ค้านหาร 500 มองพรรครัฐบาลอยากอยู่ต่อ
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “
ประชาชนเข้าใจประเด็นหาร 100 หรือหาร 500 หรือไม่” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 11-13 กรกฎาคม 2565 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปทุกอาชีพอาชีพทั่วประเทศจำนวน 1,312 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความเข้าใจต่อร่างกฎหมายการเลือกตั้ง ส.ส.
ในประเด็นสูตรคำนวณ ส.ส. บัญชีรายชื่อ หาร 100 หรือหาร 500 พบว่า ประชาชน ร้อยละ 62.35 ระบุว่า ไม่เข้าใจเลย รองลงมา ร้อยละ 21.11 ระบุว่า ไม่ค่อยเข้าใจ ร้อยละ 11.74 ระบุว่า ค่อนข้างเข้าใจ และร้อยละ 4.80 ระบุว่า เข้าใจมาก
เมื่อถามประชาชนที่เข้าใจมากและค่อนข้างเข้าใจ (จำนวน 217 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับความคิดเห็นต่อมติที่ประชุมรัฐสภา
ในการใช้สูตรคำนวณ ส.ส. บัญชีรายชื่อ หาร 500 พบว่า ประชาชน ร้อยละ 36.41 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย รองลงมา ร้อยละ 30.41 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย และร้อยละ 16.59 ระบุว่า เห็นด้วยมาก และไม่ค่อยเห็นด้วย ในสัดส่วนที่เท่ากัน
ด้านเหตุผลสำคัญที่ทำให้ที่ประชุมรัฐสภาลงมติ ในการใช้สูตรคำนวณ ส.ส. บัญชีรายชื่อ หาร 500 พบว่า ประชาชนที่เข้าใจมากและค่อนข้างเข้าใจ (จำนวน 217 หน่วยตัวอย่าง) ร้อยละ 28.11 ระบุว่า ต้องการให้ทุกคะแนนที่ประชาชนไปใช้สิทธิมีความหมาย รองลงมา ร้อยละ 23.96
ระบุว่า พรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันต้องการคงอยู่ต่อไปหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า ร้อยละ 20.28 ระบุว่า ต้องการให้โอกาสพรรคเล็กได้มี ส.ส. ในสภา ร้อยละ 17.97 ระบุว่า ต้องการป้องกันไม่ให้มีพรรคการเมืองใดชนะการเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ และร้อยละ 9.68 ระบุว่า
เป็นการแลกเปลี่ยนกับการโหวตสนับสนุนนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในการอภิปายไม่ไว้วางใจที่กำลังจะเกิดขึ้น
ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อการมี ส.ส. แบบแบ่งเขต และ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ พบว่า ประชาชน ร้อยละ 58.39 ระบุว่า ควรมีทั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขต และ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ รองลงมา ร้อยละ 33.38 ระบุว่า ควรมีแต่ ส.ส. แบบแบ่งเขต และร้อยละ 8.23 ระบุว่า ควรมีแต่ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ
JJNY : ป่วยใหม่ 2,028 เสียชีวิต 18│จับตาเวียดนามคู่แข่งไทย│นิด้าโพล คนงงสูตรนหาร 500│กลาโหมรัสเซียสั่งโจมตีทั้งยูเครน
https://www.matichon.co.th/covid19/news_3457750
ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 รายงานยอดผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ประจำวันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม 2565 มีผู้ป่วยรายใหม่ (รักษาตัวใน รพ.) จำนวน 2,028 ราย จำแนกเป็น ผู้ป่วยในประเทศ 2,028 ราย, ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ – ราย, ผู้ป่วยสะสม 2,335,594 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)
ขณะที่หายป่วยกลับบ้าน 2,578 ราย หายป่วยสะสม 2,336,240 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565), ผู้ป่วยกำลังรักษา 23,299 ราย, เสียชีวิต 18 ราย และเสียชีวิตสะสม 9,298 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565), จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบ และรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 785 ราย
ทั้งนี้ เนื่องจากตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 เป็นต้นมา มีการปรับระบบรายงาน โดยรายงานเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องรับการรักษาในโรงพยาบาล จึงทำให้รายงานยอดผู้ป่วยสะสมมีจำนวนที่น้อยกว่ายอดผู้หายป่วยสะสม
จับตาเวียดนามคู่แข่งไทย ดึงดูดนักลงทุนทั่วโลกด้วย2สิ่งนี้ วัยแรงงานหนุ่มสาว-ค่าแรงถูก
https://www.matichon.co.th/economy/news_3455694
จับตาเวียดนามคู่แข่งไทย ดึงดูดนักลงทุนทั่วโลกด้วย2สิ่งนี้ วัยแรงงานหนุ่มสาว-ค่าแรงถูก
ในอดีตคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า “ประเทศไทยกำลังกลายเป็นเสือตัวที่ 5 แห่งทวีปเอเชีย” ด้วยแนวโน้มการพัฒนาเศรษฐกิจที่รวดเร็ว ตามรอย “สี่เสือแห่งเอเชีย” ได้แก่ ฮ่องกง สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และไต้หวัน แต่แล้วหนทางติดเขี้ยวเล็บเพื่อเป็นเสือตัวที่ 5 ก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากความคิดของคนไทยในยุคปัจจุบัน
ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านของไทย ต่างมีการพัฒนากันอย่างเต็มกำลัง โดยองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (โออีซีดี) คาดว่าเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศอาเซียนในปี 2565 จะขยายตัวเฉลี่ย 5.2% โดยฟิลิปปินส์นำโด่งขยายตัว 7% ตามด้วยเวียดนาม โต 6.5% มาเลเซีย 6% อินโดนีเซีย 5.2% สิงคโปร์ 4% บรูไน 3.5% ขณะที่ไทยเกือบรั้งท้าย ขยายตัว 3.8% ถือว่าช้ากว่าการเติบโตของประเทศเพื่อนบ้านและภูมิภาค
สิ่งที่มองข้ามไม่ได้คือ เวียดนาม จัดอยู่ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา เป็นหนึ่งในคู่แข่งที่น่ากลัวของไทย!!
จากข้อมูลทางสถิติแสดงให้เห็นว่า เวียดนามสามารถแย่งตลาดการส่งออกข้าวจากไทย จนขึ้นเป็นอันดับสองของโลก รองจากอินเดีย เมื่อปี 2564 เบียดไทยหล่นมาอยู่อันดับสามของโลก ทำให้เห็นว่าเวียดนามพยายามพัฒนาเศรษฐกิจของเขาอย่างเต็มที่ สอดคล้องกับคาดการณ์ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนาม
ในโอกาสที่กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) นายรักษ์ วรกิจโภคาทร ได้เดินทางไปยังนครโฮจิมินห์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เพื่อร่วมพิธีเปิดสำนักงานผู้แทน EXIM BANK โฮจิมินห์ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา จึงมีโอกาสร่วมทริป สัมผัสประเทศเวียดนามในปัจจุบันจะแตกต่างจากภาพในอดีตมากน้อยแค่ไหน
สิ่งแรกที่เห็นและถือเป็นสัญลักษณ์ของประเทศนี้ คือการใช้จักรยานยนต์หรือมอเตอร์ไซค์เป็นพาหนะหลักยอดนิยม ยังคงภาพนี้ให้เห็นบนถนน ซึ่งดูเหมือนจะวุ่นวายแต่ด้วยกฎหมายที่นี่เข้มงวดมากเรื่องจำกัดความเร็ว จึงปลอดภัยสูงในการเดินทางแต่ก็ต้องแลกกับเวลาที่เสียไป ดังนั้น ใครที่จะเดินทางไกลต้องวางแผนและเตรียมตัวให้ดี โดยเมืองทางตอนกลางและตอนใต้ ยังไม่เห็นการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าหรือรถราง มีเพียงรถโดยสารประจำทางประเภทรถบัส ซึ่งไม่เป็นที่นิยมนัก
สภาพการคมนาคมโดยทั่วไป ขนาดถนนใหญ่สุดประมาณ 6-8 ช่องจราจร ทางด่วนและสะพานมีไม่มากหากเทียบกับไทยส่วนใหญ่เป็นสะพานข้ามแม่น้ำหรือข้ามแยกภายในเมืองเท่านั้น ส่วนสนามบินจะเป็นบริษัทสายการบินในประเทศใช้เดินทางข้ามจังหวัด แต่ก็มีนักท่องเที่ยวนิยมใช้บริการด้วยเช่นเดียวกับคนเวียดนาม ภายในสนามบินจึงค่อนข้างแออัด ส่วนทางรถไฟ เดาว่าอาจจะไม่เป็นที่นิยมใช้เพราะเที่ยวเดินรถค่อนข้างห่างกัน อาจจะใช้เพื่อการขนส่งสินค้าเป็นหลัก
ภาพที่เห็นระหว่างเดินทางอยู่ในเมืองจะเห็นความกระจุกตัว แต่เมื่อออกจากตัวเมืองเพียงไม่นาน ถนนจะแคบลงเหลือแค่ขนาด 2.4 ช่องจราจร ภาพของตึก อาหาร ร้านค้า บ้านพักอาศัยจะค่อยๆ จางหายไปจากสายตา เห็นภาพที่ดินเปล่าทอดยาวสุดลูกตามาแทนที่ ขณะที่สถานีบริการหรือปั๊มน้ำมันจะมีไม่มากและเป็นปั๊มน้ำมันให้บริการน้ำมันเท่านั้น จริงๆ ไม่มีห้องน้ำและร้านสะดวกซื้อเปิดบริการเหมือนไทย เช่นเดียวกับที่พัก โรงแรม ก็จะเห็นรวมกันเป็นกระจุก ด้วยเพราะเวียดนามมีการจัดระเบียบพื้นที่เข้มข้น ทำให้โรงแรมจะมีอย่างจำกัด และแยกโซนชัดเจน ขณะที่ร้านค้ามีการแบ่งแยกโซนให้เห็นชัดเจนว่า ย่านนี้ทำธุรกิจประเภทใด อาทิ ธุรกิจจำหน่ายจักรยานยนต์ ธุรกิจซ่อมรถ ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร และธุรกิจสถานบันเทิง
คาดว่าอาจจะได้รับอิทธิพลมาจากการสร้างผังเมืองสมัยที่เป็นเมืองขึ้นอาณานิคมของฝรั่งเศส ในปัจจุบันยังเห็นอิทธิพลดังกล่าวผ่านรูปแบบสถาปัตยกรรมอาคารต่างๆ ที่ถูกปรับมาใช้เป็นสถานที่ราชการ สถานที่ท่องเที่ยว ห้างสรรพสินค้า ซึ่งที่นี่ไม่ค่อยเห็นช้อปแบรนด์เนม หรือจักรยานยนต์ที่เป็นที่นิยมก็จะเป็นกลุ่มจักรยานยนต์ใช้ในครอบครัว ประเภทบิ๊กไบค์ ไม่ค่อยเห็นเป็นที่นิยมเหมือนเมืองไทย ส่วนบ้านพักอาศัยก็จะเป็นแบบเรียบง่าย ตึกแถว อพาร์ตเมนต์ขนาดเล็ก หากเป็นนอกเมืองจะเป็นบ้านเดี่ยวที่ปลูกเองชั้นเดียวไม่ได้ตกแต่งอะไรมากมาย เรียกได้ว่า ที่โฮจิมินห์ยังไม่ค่อยมีโครงการหมู่บ้านจัดสรร หรือคอนโดมิเนียมให้เห็น ตึกสูงในเมืองจะเป็นโรงแรมระดับสี่ถึงห้าดาว
ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวจะเน้นไปที่สถานที่สำคัญในประวัติศาสตร์ ทางสงครามและวัฒนธรรมต่างๆ หรือเมืองที่มีศิลปกรรม อาคารสถาปัตยกรรมที่สวยงามและทรงคุณค่าสำหรับคนในประเทศ และธรรมชาติ ทะเล ภูเขา
จากที่สัมผัสดูด้วยตา ให้คะแนนประเทศไทยเรื่องการพัฒนาด้านการท่องเที่ยว มีความเหนือชั้นกว่าเวียดนาม ทั้งระบบขนส่งต่างๆ ความหลากหลายของรูปแบบการท่องเที่ยว และการพัฒนาด้านอาชีพการท่องเที่ยวและบริการ
อย่างไรก็ดี เวียดนามกลับกลายเป็นประเทศที่กำลังอยู่ในความสนใจของนักลงทุนต่างชาติ สนใจย้ายฐานการผลิตมาลงทุนที่นี่ ซึ่งมีข้อได้เปรียบด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ คือการเป็นประเทศที่อยู่ใจกลางของภูมิภาค มีพื้นที่ติดทะเลจำนวนมาก ซึ่งมากกว่าไทย อีกทั้งประชากรของประเทศเวียดนามอยู่ในช่วงวัยหนุ่มสาว ที่เป็นวัยแรงงาน เรียกได้ว่าห่างไกลจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากกว่าไทย ซึ่งสังเกตได้ในทันที เพราะผู้คนที่ขับขี่รถจักรยานยนต์ในเมืองทั่วๆ ไป ส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์วัยแรงงาน
ตามข้อมูลทางสถิติได้ระบุว่า เวียดนามมีประชากรราว 96-97 ล้านคน มีจำนวนมากเป็นอันดับสามของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ และในสัดส่วนประชากร ช่วงอายุอยู่ในกลุ่มวัยรุ่นถึงวัยกลางคนมีมากถึง 70%และหากนับเป็นวัยแรงงานถือว่ามีมากกว่า 50% ของประชากรขณะที่วัยชรา มีเพียง 6-7% เท่านั้น
นอกจากนี้ วัฒนธรรมและค่านิยมของประเทศเวียดนาม สนับสนุนให้วัยหนุ่มสาวใช้ชีวิตในประเทศเวียดนาม ทำให้มีความพร้อมด้านกำลังคนสูงกว่าไทยที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน แถมค่าแรงที่เวียดนามยังถูกกว่าค่าแรงของไทย เฉลี่ยเพียง 200 บาทต่อวันเท่านั้น ซึ่งน่าจะเป็นจุดแข็งที่ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติได้ดีมาก
สำหรับธุรกิจที่มีการลงทุนจำนวนมากคือ ธุรกิจสถาบันการเงิน มีทั้งธนาคารจากส่วนกลาง ธนาคารท้องถิ่น ธนาคารจากต่างประเทศ ซึ่งนักธุรกิจชาวไทยก็มีการไปลงทุนเปิดสาขาที่เวียดนามด้วย เชื่อว่าแบรนด์ธนาคารน่าจะมีราวๆ 30-40 แบรนด์ จึงเป็นที่น่าสนใจว่าประชากรเวียดนามใช้บริการและทำธุรกรรมจำนวนมาก
ด้านนักลงทุนไทยเองก็ให้ความสนใจเช่นกัน โดยมีการลงทุนด้านธุรกิจสถาบันการเงินราว 2-3 เจ้าใหญ่ นอกจากนี้ ก็สนใจลงทุนด้านการผลิตพลังงานทดแทน ธุรกิจปิโตรเคมี กลุ่มกิจการค้าปลีกและห้างสรรพสินค้า และกลุ่มอาหารแปรรูปและเกษตรกรรม
ข้อมูลการลงทุนของชาวต่างชาติในเวียดนาม เมื่อปี 2564 อันดับ 1 ได้แก่ เกาหลีใต้ ตามด้วยญี่ปุ่น สิงคโปร์ ไต้หวัน และฮ่องกง มาเป็นอันดับ 5 ส่วนการลงทุนจากประเทศไทย อยู่ที่อันดับ 9
สำหรับอุตสาหกรรมที่สำคัญในเวียดนาม มีทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรกล คอมพิวเตอร์ และเครื่องนุ่งห่ม ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า กลุ่มสินค้าเครื่องประดับ อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมที่ใกล้เคียงกับอุตสาหกรรมของประเทศไทย
มาถึงบรรทัดนี้คงไม่แปลกใจแล้วว่าทำไม เวียดนามจึงเป็นที่น่าสนใจจากทั่วโลกในการเข้าลงทุน และทำไมประเทศไทยต้องจับตามอง เพราะถือเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว ขณะเดียวกันก็เป็นคู่ค้าที่สำคัญด้วย จากที่นำเข้าสินค้าไทยเป็นจำนวนมาก ถูกจัดอันดับเป็นคู่ค้าอันดับ 3 ในกลุ่มอาเซียน
ดังนั้น ประเทศไทยจะนอนใจ ประมาทไม่ได้แล้ว เพราะสัญญาณจากเวียดนามเริ่มเด่นชัด จะตีตื้นขึ้นมาแซงไทยได้ทุกขณะ…
นิด้าโพล คนงงสูตรส.ส.ค้านหาร 500 มองพรรครบ.อยากอยู่ต่อ
https://www.innnews.co.th/news/news_374710/
นิด้าโพล คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจสูตรคำนวน ส.ส.ค้านหาร 500 มองพรรครัฐบาลอยากอยู่ต่อ
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “ประชาชนเข้าใจประเด็นหาร 100 หรือหาร 500 หรือไม่” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 11-13 กรกฎาคม 2565 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปทุกอาชีพอาชีพทั่วประเทศจำนวน 1,312 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความเข้าใจต่อร่างกฎหมายการเลือกตั้ง ส.ส.
ในประเด็นสูตรคำนวณ ส.ส. บัญชีรายชื่อ หาร 100 หรือหาร 500 พบว่า ประชาชน ร้อยละ 62.35 ระบุว่า ไม่เข้าใจเลย รองลงมา ร้อยละ 21.11 ระบุว่า ไม่ค่อยเข้าใจ ร้อยละ 11.74 ระบุว่า ค่อนข้างเข้าใจ และร้อยละ 4.80 ระบุว่า เข้าใจมาก
เมื่อถามประชาชนที่เข้าใจมากและค่อนข้างเข้าใจ (จำนวน 217 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับความคิดเห็นต่อมติที่ประชุมรัฐสภา
ในการใช้สูตรคำนวณ ส.ส. บัญชีรายชื่อ หาร 500 พบว่า ประชาชน ร้อยละ 36.41 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย รองลงมา ร้อยละ 30.41 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย และร้อยละ 16.59 ระบุว่า เห็นด้วยมาก และไม่ค่อยเห็นด้วย ในสัดส่วนที่เท่ากัน
ด้านเหตุผลสำคัญที่ทำให้ที่ประชุมรัฐสภาลงมติ ในการใช้สูตรคำนวณ ส.ส. บัญชีรายชื่อ หาร 500 พบว่า ประชาชนที่เข้าใจมากและค่อนข้างเข้าใจ (จำนวน 217 หน่วยตัวอย่าง) ร้อยละ 28.11 ระบุว่า ต้องการให้ทุกคะแนนที่ประชาชนไปใช้สิทธิมีความหมาย รองลงมา ร้อยละ 23.96
ระบุว่า พรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันต้องการคงอยู่ต่อไปหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า ร้อยละ 20.28 ระบุว่า ต้องการให้โอกาสพรรคเล็กได้มี ส.ส. ในสภา ร้อยละ 17.97 ระบุว่า ต้องการป้องกันไม่ให้มีพรรคการเมืองใดชนะการเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ และร้อยละ 9.68 ระบุว่า
เป็นการแลกเปลี่ยนกับการโหวตสนับสนุนนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในการอภิปายไม่ไว้วางใจที่กำลังจะเกิดขึ้น
ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อการมี ส.ส. แบบแบ่งเขต และ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ พบว่า ประชาชน ร้อยละ 58.39 ระบุว่า ควรมีทั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขต และ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ รองลงมา ร้อยละ 33.38 ระบุว่า ควรมีแต่ ส.ส. แบบแบ่งเขต และร้อยละ 8.23 ระบุว่า ควรมีแต่ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ