เดียวในดวงใจ โดย ดรัสวันต์

กระทู้สนทนา
เดียวในดวงใจ (Revised)
ดรัสวันต์


คำอุทิศ
 
ขออุทิศเรื่องนี้ให้แก่พ่อทุกคนที่เลี้ยงดูลูกสาวด้วยความรักและเอาใจใส่อย่างดียิ่ง
 
เปรียบลูกสาวเสมือนสวนดอกไม้หน้าบ้าน
 
ที่ให้ความเบิกบานและความหอมสดชื่นแก่ผู้คนทั้งมวล



1
        บริเวณริมสนามฟุตบอลด้านหน้ามหาวิทยาลัยเริ่มคราคร่ำด้วยนักศึกษาที่เพิ่งเลิกเรียนออกมา บ้างก็เดินไปยืนเข้าคิวรอมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ประตูทางออก บ้างก็ยังจับกลุ่มคุยกันและนั่งตามเก้าอี้สนามที่ตั้งห่างๆ กันรอบสนาม มีทั้งนักศึกษาและบุคคลภายนอกที่มาใช้สถานที่อันกว้างขวางแห่งนี้ ออกกำลังกายด้วยการจ๊อกกิ้ง

       “เดียว จะกลับบ้านแล้วหรือ” ธีรณีถามเพื่อนสาวที่ทำท่าหอบตำราและคล้องกระเป๋าสะพายเข้าที่ไหล่

      ครั้นเพื่อนพยักหน้ารับ ธีรณีก็ท้วงขึ้นว่า 

     “อย่าเพิ่งกลับซิ อยู่เป็นเพื่อนกันก่อน รถยังไม่มารับไม่ใช่หรือ”

      เดียว หรือ วทัญญา ขยับแว่นมองเพื่อนด้วยรอยยิ้มล้อเลียน

     “จะอยู่ดูพี่บอยเตะบอลหรือ”

      ธีรณียิ้มอายๆ 

     “นะ อยู่ด้วยกันก่อน”

      สองสาวนั่งลงที่ม้ายาวริมระเบียงชั้นล่างของตึกเรียนมองลงไปยังสนามฟุตบอลกว้างใหญ่ ที่มีทีมฟุตบอลประจำมหาวิทยาลัยกำลังวิ่งเหยาะๆ รอบสนามเพื่อวอร์มร่างกายก่อนลงเล่น

     “พี่บอยหล่อจังเลย” ธีรณีทำท่าใฝ่ฝัน พี่บอย หรือ สราวุธอาจจะไม่ใช่ชายหนุ่มที่หล่อที่สุดในทีม แต่ธีรณีบอกว่าเป็นอะไรที่ตรงสเปก

     แล้ววทัญญาก็หันไปเห็น ชายผู้หนึ่งในชุดกีฬาสีขาววิ่งผ่านประตูมหาวิทยาลัยมา หญิงสาวเหลือบมองนาฬิกา หลายครั้งที่วทัญญาเลิกเรียนและกลับบ้านเวลานี้ เธอจะเห็นชายผู้นี้เสมอ

     เขาเป็นผู้ใหญ่วัยทำงาน ที่อายุน่าจะประมาณสี่สิบต้นๆ เขามีบุคลิกบางอย่างที่ทำให้วทัญญาสะดุดใจ บ้านหรือที่ทำงานเขาคงอยู่แถวนี้  จึงมาวิ่งออกกำลังกายที่นี่เป็นประจำ

     สุขุมวิทที่ปัจจุบันเต็มไปด้วยตึกสูงของคอนโดมิเนียมและอาคารสำนักงาน เบียดบังบ้านพักอาศัยรุ่นเก่าให้ต้องย้ายออกไป อย่างไรก็ตาม สุขุมวิทก็ยังเป็นแหล่งที่พักมากกว่าสำนักงานเมื่อเทียบกับสีลม

     นั่งเป็นเพื่อนอยู่ด้วยพักหนึ่ง วทัญญาก็เอ่ยปากขอตัวอย่างเกรงใจ

     “คงต้องกลับแล้วล่ะฝ้าย วันนี้เดียวกลับเอง รถไม่ได้มารับ เดี๋ยวจะค่ำ”

     “ฝ้ายก็ต้องกลับเหมือนกัน” เพื่อนสาวลุกขึ้น ทำท่าเสียดาย แล้วนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “รู้แล้ว ทำไมเราไม่มาวิ่งออกกำลังกายบ้างล่ะ” ดวงตาฝันนั้นหมายมั่นบางอย่าง

     “วิ่ง ? ”

     “ใช่ เราน่าจะออกกำลังกายแทนการอดอาหารรักษาหุ่นนะ ว่าไหม”

      คราวนี้ วทัญญาหัวเราะออกมา

     “ฉันล่ะเชื่อเธอเลยจริงๆ ”

     “พรุ่งนี้นะ เตรียมกางเกงขาสั้นกับรองเท้าวิ่งมาด้วย โอ เค้”  ธีรณีกระดกนี้วชี้และหลิ่วตาให้ด้วยท่าทางเก๋ไก๋ แล้วแยกย้ายกันกลับบ้าน

      วทัญญาเดินใจลอยไปเรื่อยๆ ป้ายรถเมล์อยู่ไกลถึงปากซอยแต่เธออยากเดินแม้จะมีคิวมอเตอร์ไซค์รับจ้างอยู่หน้าประตูรั้วมหาวิทยาลัย แต่เวลาเช่นนี้กลายเป็นคิวของคนที่รอมอเตอร์ไซค์ยาวเหยียด วันนี้อากาศดี ฝนไม่ตก ทำให้เธอเดินไปปากซอยได้โดยไม่ลำบาก

     นึกแล้วสะท้อนใจ เมื่อก่อนวทัญญาก็ไม่ต่างจากคุณหนูไฮโซเท่าใดนัก ตั้งแต่เป็นเด็กนักเรียนจนกระทั่งปีสามในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้ หญิงสาวมีคนขับรถมารับ – ส่ง ชนิดที่ไม่เคยลำบากเดือดร้อนแต่อย่างใด

     แต่วันนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนไป

     ‘เดียว ไปมหาวิทยาลัยเองได้ไหม’ เทวัญถามขึ้นเมื่อสองวันก่อน ‘พ่อ เอ่อ พ่อขายรถไปคันหนึ่งและเลิกจ้างประสิทธิ์แล้ว ลูกเข้าใจนะ’ 

     ‘เข้าใจค่ะ’ วทัญญาตอบรับ

     พิษเศรษฐกิจเริ่มส่งผลกระทบต่อครอบครัวเธอแล้ว กิจการอิมปอร์ตเอ็กซปอร์ตของบิดามาถึงจุดวิกฤตเมื่อเศรษฐกิจโลกกำลังถดถอย

     ‘เราต้องอดทนและประหยัดมากขึ้น ขอเพียงประคองให้กิจการของเราผ่านพ้นช่วงนี้ไปได้’

      แม้จะใจหายและมืดมนกับอนาคตข้างหน้าแต่วทัญญาก็ต้องอดทนเพื่อครอบครัว โดยเฉพาะเพื่อมารดาที่สุขภาพไม่แข็งแรง ในเวลาเช่นนี้เธอจะต้องเข้มแข็ง ไม่ฉุดรั้งกำลังใจของบิดามารดาให้ต่ำลง  

      แม้จะไม่เคยลำบากตรากตรำมาตั้งแต่เด็ก แต่วทัญญาก็ปรับตัวได้เพราะเทวัญเลี้ยงลูกให้ติดดิน สอนให้รู้ถึงความลำบากในบางครั้ง เช่น เวลาที่รถเสียแทนที่จะนั่งแท็กซี่ เขาพาวทัญญานั่งรถเมล์และบอกสอนให้เธอมองและเห็นใจคนอื่นที่ลำบากกว่า

     เทวัญคุยกับลูกตลอดเพื่อให้รับรู้ความเป็นไปของครอบครัว ให้รู้ว่าธุรกิจมีขึ้นมีลง เมื่อใดที่มีปัญหาเขาจะบอก จะไม่ปิดบังความจริง และพยายามช่วยกันประหยัดและเป็นกำลังใจแก่กันและกัน  

      ครั้งนี้ก็เช่นกัน เพียงแต่สถานการณ์อาจจะเลวร้ายกว่าที่คาด

     ‘เดียวไม่ต้องห่วงเรื่องเรียนนะ ลูกต้องได้เรียนจบแน่ พ่อกันเงินไว้ส่วนหนึ่งแล้ว’

     ‘เดียวจะไปติดต่อขอทุนหรือสอบชิงทุนที่ไหนสักแห่ง’

      เทวัญลูบศีรษะลูกสาวด้วยความตื้นตัน 

     ‘เป็นโชคดีของพ่อที่มีลูกกตัญญูอย่างเดียว รู้ไหม’

     วทัญญาซุกตัวลงกับอกพ่อ ความหนักอึ้งแห่งภาระนี้ เกินตัวหญิงสาวในวัยเริ่มยี่สิบนี้นัก

     ‘หรือบางที เดียวจะไปหางานพิเศษทำ’

     ‘อย่าเลย ตั้งใจเรียนให้จบเร็วๆ เถิด’

     ใช่ วทัญญาเรียนมาถึงเทอมสุดท้ายของปีสามแล้ว เหลือปีหน้าอีกเพียงปีเดียว สถานที่ฝึกงานที่ติดต่อไว้ อาจจะเป็นช่องทางหนึ่งที่เธอจะได้งานเมื่อเรียนจบแล้ว เพราะรุ่นพี่บางคนได้รับการจองตัวให้ทำงานที่นั่น เธอจะต้องตั้งใจเรียน จะต้องเก่งและมีหน่วยงานจองตัวให้ไปทำงานอย่างนั้นบ้าง
 

     วันรุ่งขึ้น วทัญญาไม่มีเรียนช่วงเช้าแต่ไปค้นคว้าที่ห้องสมุด ธีรณีตามมาหาที่นั่น

     “เอาชุดมาเปลี่ยนหรือเปล่า” ถามพลางก้มลงมองใต้โต๊ะว่าเพื่อนสาวใส่รองเท้าอะไรมา เป็นรองเท้าสำหรับวิ่งจริงๆ 

      “เอามา”

     “ต้องยังงี้ซิ เพื่อนรัก” ธีรณีกอดคอเพื่อนแล้วหัวเราะอย่างถูกใจ ชีวิตของเธอไม่ต้องมีเรื่องวิตกกังวลกับอะไรมากนัก  นอกจาก กิน นอน เที่ยว และเรียนให้จบ

     วทัญญายังไม่ได้เล่าปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ให้เพื่อนฟัง เพราะหวังว่าทุกอย่างจะต้องดีขึ้น และกลับไปเหมือนเดิม...อย่างที่เธอสวดมนต์ภาวนาไว้ทุกคืน

     เลิกเรียนตอนเย็น สองสาวพากันไปเปลี่ยนชุดเตรียมวิ่ง พอออกมาจากห้องน้ำ

     “ว้าว !  ฝ้าย” วทัญญาอุทานตาโตกับเพื่อนสาวที่มาในชุดกางเกงขาสั้น...สั้นมากชนิดที่วทัญญาไม่มีทางกล้าใส่ ส่วนเสื้อยืดสายเดี่ยวสีฟ้าสดที่ช่วยขับผิวขาวเนียนให้ผุดผาดนั้น ก็ตัวสั้นประมาณเอว แต่กางเกงขาสั้นที่เอวต่ำตามสมัยนิยม ทำให้เกิดช่องว่างมองเห็นหน้าท้องรำไร 

     ธีรณีผอมบาง ขายาวเรียว แม้ชุดนี้จะโชว์รูปร่างอย่างมากแต่ก็ดูไม่น่าเกลียดสำหรับคนที่รูปร่างดี ส่วนวทัญญามาในชุดกางเกงวอร์มขายาวและเสื้อยืดตัวหลวมโคร่ง

     “เราเหมือนฝาแฝดมากเลยนะ” ธีรณีประชดให้ เธอยืนเท้าสะเอวมองเพื่อนตั้งแต่หัวจรดเท้าสองตลบ รู้ดีว่าผู้คนจะมองและขำความแตกต่างนี้
“เมื่อไหร่จะเลิกขี้อายนะ เดียวน่ะสวยมากรู้ไหม แว่นกรอบหนาสีดำกับเสื้อผ้าหลวมๆ น่ะ เลิกใส่ได้แล้ว”  

      ธีรณีเป็นเพื่อนสนิทกับวทัญญามาตั้งแต่ชั้นมัธยม จนกระทั่งสอบติดมหาวิทยาลัยเดียวกัน เรียนคณะสังคมศาสตร์ด้วยกัน ก็ยิ่งใกล้ชิดกันมากขึ้น ฉะนั้นย่อมรู้จักตัวตนที่แท้จริงของวทัญญาเป็นอย่างดี และอยากเห็นเพื่อนแต่งตัวสวยไม่ใช่ยัยเชยอย่างทุกวันนี้  แต่ความพยายามไม่เป็นผล จนในที่สุดต้องยอมรับแบบที่เพื่อนเป็น

     “ไม่ใช่อะไรหรอก กะว่าวิ่งเสร็จจะได้ไม่ต้องเปลี่ยนชุด เดียวไม่กล้านุ่งกางเกงขาสั้นขึ้นรถเมล์หรอก”

     “อะไร ขึ้นรถเมล์ วันนี้ต้องกลับเองอีกแล้วหรือ”

     วทัญญาอ้ำอึ้ง ยังไม่อยากเล่าเรื่องทางบ้านให้เพื่อนฟัง

     “คือ คนขับรถออกไปแล้ว คุณพ่อก็ยุ่ง” อ้อมแอ้มตอบเพื่อนไป

     ธีรณีพยักหน้าเข้าใจ 

     “งั้น เย็นนี้กลับด้วยกัน ฝ้ายจะไปส่ง ถ้าไม่รังเกียจนั่งรถเก่าๆ” ธีรณีมีรถมือสองขนาดกระทัดรัดขับมาเรียนหนังสือ

     “ใครจะรังเกียจ แต่บ้านเรามันคนละทางเลยนะ กว่าจะส่งเสร็จ ขับกลับมาอีกก็ค่ำมืดกันพอดี อย่าลำบากเลย ขอบใจนะฝ้าย”

     “จะเอาอย่างนั้นหรือ” เสียงธีรณีอ่อนลงด้วยเหตุผลของเพื่อน

      ทั้งสองออกไปที่สนาม ทีมฟุตบอลเริ่มวิ่งอุ่นเครื่องกันแล้ว ธีรณีชะเง้อมองหาหนุ่มที่หมายตา พอเห็นเขา ก็ยิ้มกับตัวเองอย่างสมใจ

      “ทำไมวิ่งทางนี้ล่ะ ไม่ตามเขาไปหรือ” วทัญญาถามอย่างงงๆ เมื่อออกวิ่งรอบสนามตามเพื่อนในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา ในขณะที่คนอื่นๆ วิ่งตามเข็มนาฬิกา

      “เธอเนี่ย ไม่รู้อะไรเลย เราจะได้วิ่งสวนกับเขาไงล่ะ จะได้สบตากัน แล้วรอบต่อไปฝ้ายจะยิ้มทักเขา นั่นไง เขากำลังมาแล้ว”

       วทัญญาพลอยตื่นเต้นไปด้วย พอสวนกับหนุ่มๆ นักฟุตบอล ทุกคนจ้องมองธีรณีชนิดอ้าปากค้าง จนกระทั่งวิ่งเลยไปแล้ว ก็ยังไม่วายเหลียวหลังมามอง วทัญญาใจเต้นแรงก้มหน้างุด อายแทนเพื่อน

      คนอื่นๆ ที่วิ่งรอบสนามนั่น ก็พากันมองทั้งสองด้วยสายตาแปลกๆ  แปลกหนึ่งคือวิ่งย้อนศรกับคนอื่นๆ  แปลกสองคือ คนหนึ่งใส่ชุดอวดรูปร่างส่วนอีกคนก็ปกปิดเสียมิดชิด

      แล้วผู้ชายชุดขาวที่วทัญญาเห็นทุกวันก็วิ่งเข้าประตูมาและวิ่งไปตามทิศทางที่คนอื่นๆ เขาวิ่งกัน ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องสวนกันกับเธอ วทัญญาตั้งใจมองเขาชัดๆ เมื่อเขาวิ่งใกล้เข้ามา 

     เมื่อสวนกัน วทัญญามองเขา เขาก็มองประสานสายตากับหญิงสาว พอผ่านกันไป วทัญญาหันกลับไปมองเขาอีกครั้ง ส่วนเขาก็ชะลอฝีเท้าแล้วหันกลับมามองทั้งสองเช่นกัน

      แต่เขาคงไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษหรอก นอกจากมองความแปลกทั้งสองประการ  

      หลังจากวิ่งมาได้สามรอบ ประมาณว่าเป็นระยะทางกิโลครึ่ง

      “เหนื่อยแล้วล่ะ” วทัญญาหอบ

     “เดี๋ยวซิ รอบนี้ ฉันกะจะทักพี่บอยนะ”

     “ไม่ได้ทักแล้วล่ะ เขาเริ่มลงสนามแล้ว” วทัญญาสะกิดให้เพื่อนดู

      “งั้นเราก็นั่งพักเหนื่อยดูเขาอยู่ทางนี้” ทั้งสองทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้สนามที่เรียงรายอยู่ตามขอบสนามเป็นระยะๆ  

      ชายชุดขาว วิ่งวนผ่านมาอีกครั้ง คราวนี้ วทัญญาไม่กล้าหันไปมองเขาอีกกลัวเสียมารยาท ยามที่เขาวิ่งผ่านเลยไปนั่นแหล่ะ หญิงสาวจึงมองตาม

      ธีรณีมองตามสายตาเพื่อนแล้วถามว่า

      “ใครหรือเดียว”

      “ใคร” วทัญญาทวนคำ ทำหน้าเหรอหรา

       “เห็นเธอมอง นึกว่ารู้จัก”

       “เปล่านี่”

       ที่กลางสนาม นักฟุตบอลเริ่มเกมของเขาแล้ว รอบตัวเริ่มเย็นลง วทัญญาเห็นว่าควรจะกลับได้แล้ว ยิ่งเย็นรถเมล์ก็ยิ่งแน่น

      “เดียวกลับดีกว่า” ในขณะที่ธีรณียังเพลิดเพลินอยู่ เธอทำท่าอิดเอื้อน

       “อยู่ต่ออีกหน่อยไม่ได้หรือ”

       “ฝ้ายอยู่ต่อซิ”

       ธีรณีลังเล แต่แล้วก็ตัดอกตัดใจบอกว่า

      “ไม่ล่ะ กลับก็กลับ พรุ่งนี้มาวิ่งกันอีกนะ”
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่