JJNY : ชมรมแพทย์ชนบท แซะแรง│ครึ่งปีหลัง ศก.เจอปัจจัยลบยกแผง│ดัชนีเชื่อมั่นนักลงทุน“ซบเซา”│ทหารพม่าสั่งขับทูตอังกฤษ

ชมรมแพทย์ชนบท แซะแรงไม่มีโควิดรักษาเสรี มีแต่กัญชาเสรี ขนมผสมกัญชาขายเกลื่อน
https://news.ch7.com/detail/582504

 
 
วันนี้ (14 ก.ค.65) เพจชมรมแพทย์ชนบท แสดงความเป็นห่วงถึงผลิตภัณฑ์ขนมที่มีส่วนผสมของกัญชา โดยระบุว่า 
 
ขนมกรุบกรอบ “น่องไก่ผสมกัญชา” เด็กๆ บอกน่ากินจัง แม้ป้ายจะระบุชัดเจนว่าผสมใบกัญชาหรือเมล็ดกัญชา แต่สีสันหีบห่อสวยงามน่ากิน ชวนให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ลองหยิบไปชิม คำถามที่สังคมคงต้องถกกันก็คือ ขนมกรุบกรอบผสมกัญชาแบบนี้ควรหรือไม่  สังคมไทยควรมีกติกาเรื่องการผสมกัญชาในทุกสิ่งกันอย่างไร เด็กๆ หยิบซื้อได้ ร้านสะดวกซื้อจะขายหรือไม่ ควรวางขายหรือไม่จะควบคุมอย่างไร หรือปล่อยเสรี
  
“วันนี้ลูกหลานเราอาจจะเริ่มกินเพียงขนมกรุบกรอบผสมกัญชา  ต่อไปจะลองเสพบุหรี่กัญชาสักมวนจะดีไหม จริงๆ อาจไม่ใช่ความผิดของผู้ผลิตและร้านที่ขาย ในเมื่อ อย. อนุญาตออกเลขที่ อย.ให้ผลิตและขายได้ ใครๆ ก็อยากครองตลาดทำกำไร  ตกลงความรับผิดชอบอยู่ที่ใคร เคยมีข่าวว่าไม่นานมานี้ อย. เคยถูกผู้มีอำนาจและผู้ประกอบการกดดันหนัก  ว่าทำไมไม่ออกเลข อย. ให้ เขาไม่ได้ทำผิด เขาทำตามกติกา เขาตอบสนองนโยบายกัญชาเสรี”
 
แพทย์ชนบทยกรูปธรรมเหล่านี้ เพื่อให้สังคมไทยถกเถียง และจำกัดวงผลกระทบทางสังคมจากนโยบายกัญชาเสรี รัฐบาลเมินเฉย ผู้ใหญ่ใน สธ.น้ำท่วมปาก ประชาชนจึงต้องลงมือกันเอง
 
เพจชมรมแพทย์ชนบท ยังระบุถึงสถานการณ์ระบาดของโควิดที่กำลังเป็นขาขึ้นระลอกใหม่ ว่าติดโควิดจะรักษาที่ไหนได้บ้าง บอกได้คำเดียวป้องกันตนเองให้มาก การรักษาเข้าโรงพยาบาลยากลำบากขึ้นกว่าเดิมแน่นอน สรุปว่า โควิดเป็นโรคประจำถิ่นแล้ว  ไม่สามารถเข้าไปรักษาที่ไหนก็ได้เช่นเดิมแล้ว  ต้องเข้าตามระบบปกติ คือ บัตรทองต้องไปสถานพยาบาลหลักที่ระบุไว้  ประกันสังคมต้องไปโรงพยาบาลที่เลือกประกันตนไว้ ทั้ง 2 สิทธิ หากไปผิดที่ผิดทางโดยไม่มีใบส่งตัว จะถูกเรียกเก็บเงิน ส่วนสิทธิข้าราชการ ไปได้ทุกโรงพยาบาลรัฐ ยกเว้นป่วยหนักมาก จึงสามารถใช้สิทธิฉุกเฉินเข้าโรงพยาบาลใกล้บ้านได้
 
“ติดโควิดยามนี้จึงไม่สามารถไปโรงพยาบาลไหนตามเสรีได้ อย่าลืม...ไม่มีโควิดรักษาเสรีแล้ว มีแต่กัญชาเสรี” 
  
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid0U3g3qTpnmcJmzKVN63sHgFT1SW14xEG4broRMP4NGz7RjkcmjqF3f1FoMER1eM4Tl&id=142436575783508
 


ครึ่งปีหลัง ศก.เจอปัจจัยลบยกแผง  “อสังหา”กระทุ้งรัฐ ขยายเพดานลดค่า โอนบ้าน-ภาษีที่ดิน
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_3452889
 
ครึ่งปีหลัง ศก.เจอปัจจัยลบยกแผง  “อสังหา”กระทุ้งรัฐ ขยายเพดานลดค่า โอนบ้าน-ภาษีที่ดิน
 
นายอธิป พีชานนท์ รองประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า แม้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว แต่ในครึ่งปีหลังยังคงมีสารพัดปัจจัยลบไม่ว่าเงินเฟ้อ ดอกเบี้ยขาขึ้น ค่าไฟฟ้า สงครามรัสเซียกับยูเครนที่ยังยืดเยื้อส่งผลต่อราคาพลังงานและราคาสินค้าสูงขึ้น รวมถึงความไม่มั่นใจต่อสถานการณ์การเมือง และโควิด-19ที่ยังมีการระบาดอย่างต่อเนื่องจากสายพันธุ์ใหม่  ทำให้ปัจจุบันคนไม่ค่อยมีความมั่นใจว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นได้อย่างไร แม้ว่ารัฐบาลจะบอกว่าการท่องเที่ยวเริ่มกลับมา แต่ถ้าประเทศต้นทางไม่เข้ามาและจีนยังไม่เปิดประเทศ คงจะยังไม่สามารถทำให้การท่องเที่ยวดีขึ้นได้ ทั้งนี้ดูแล้วจะมีเพียงการส่งออกที่ดี เพราะได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่าและสงครามรัสเซียกับยูเครน ทำให้หลายประเทศมาซื้ออาหารจากไทยมากขึ้น

“ตอนนี้ทุกภาคธุรกิจกำลังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน หลังเศรษฐกิจค่อยๆฟื้นตัว ทำให้มีความต้องการใช้แรงงาน โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าวที่กลายเป็นสิ่งจำเป็นไปแล้ว อย่างในไซต์ก่อสร้างมีแรงงานไทยไม่ถึง 20% ส่วนใหญ่เป็นแรงงานมีฝีมือ ที่เหลือเป็นแรงงานต่างด้าว ขณะนี้มีหลายธุรกิจเริ่มแย่งชิงแรงงานกันเอง เช่น โรงแรม ท่องเที่ยว ก่อสร้าง โดยจ่ายค่าแรงเพิ่มขึ้น ล่าสุดทราบว่ารัฐขยายเวลาให้แรงงานต่างด้าว 4 ชาติ คือ กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนามเข้ามา ก็ช่วยบรรเทาได้บ้าง ส่วนแรงงานไทยยังไม่กลับเข้ามาหลังกลับภูมิลำเนาไปช่วงโควิด คาดว่าจะกลับมายากเพราะบางคนไปทำอาชีพอื่นหรือธุรกิจส่วนตัวที่มีรายได้ดีกว่า” นายอธิปกล่าว

นายอธิปกล่าวถึงการปรับเพิ่มค่าไฟฟ้าผันแปร หรือค่าเอฟที 5 บาทต่อหน่วย งวดเดือนกันยายน-ธันวาคม 2565 ว่า ทุกคนได้รับผลกระทบหมดทั้งธุรกิจและประชาชน ทำให้มีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น บั่นทอนกำลังซื้อในสินค้า และกระทบต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์บ้างเล็กน้อย และจะเป็นตัวเร่งให้ธุรกิจเปลี่ยนมาใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น เช่น ใช้โซลาร์รูฟ ในส่วนของประชาชนทั่วไปหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น  สำหรับทิศทางราคาน้ำมันขึ้นอยู่กับสงครามรัสเซียกับยูเครน หากจบเร็วราคาน้ำมันจะกลับมาถูกลง

นายอธิปกล่าวว่า  สำหรับข้อเสนอต่อรัฐบาล อยากให้รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นภาคธุรกิจที่มีผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศ โดยขยายอายุมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองอสังหาริมทรัพย์ เหลือ 0.01% ที่สิ้นสุดปลายปี2565 ออกไปอีก และปรับเงื่อนไขใหม่ ขยายเพดานให้ได้ทุกระดับราคา แต่ลดให้เฉพาะ 3 ล้านบาทแรก ส่วนที่เกินให้เสียอัตราปกติ เช่น ซื้อบ้าน 5 ล้านบาท ใน 3 ล้านบาทแรกจะได้ลด 0.01%  ส่วน 2 ล้านบาทที่เหลือจะเสีย 2% จะทำให้ทุกคนได้ประโยชน์จากมาตรการนี้ไม่ว่าจะซื้อต่ำกว่า 3 ล้านบาท หรือเกิน 3 ล้านบาท รวมถึงขอให้ออกพระราชกำหนดให้ต่างชาติซื้อที่อยู่อาศัยได้ 1 ไร่ ในราคาไม่เกิน 40 ล้านบาท ในทำเลที่ต่างชาตินิยม เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ กรุงเทพฯ ชลบุรี พัทยา เป็นต้น โดยออกเป็นมาตรการชั่วคราว เหมือนเมื่อปี 2540 ที่เคยออกมาแล้ว
 
“จะผลักดันต่อในเรื่องการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้เป็นขั้นบันได โดยมีส่วนลดให้ เช่น ปี 2566 ลด 75% ปี 2567 ลด 50% และปี 2568 ลด 25% ตามสถานการณ์การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เพราะรายได้ของภาคธุรกิจยังไม่กลับมาเป็นปกติหลังเกิดโควิด-19 มา 2 ปี” นายอธิปกล่าว
 
นางอาภา อรรถบูรณ์วงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ริชี่เพลซ 2002 จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หากรัฐขยายออกไปอีก 1 ปี จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อได้อีกมาก เพราะหากไม่ต่อจะทำให้ตลาดยิ่งแย่กว่าเดิม โดยมีข้อเสนอให้รัฐขยายเพดานมาตรการให้เป็นกลุ่มระดับราคาเกิน 3 ล้านบาทขึ้นไปได้ประโยชน์ด้วย เพราะกลุ่มราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท เป็นกลุ่มเดิมที่ได้รับการช่วยเหลือมาอย่างต่อเนื่องและในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาซัพพลายถูกดูดซับไปมากแล้ว ดังนั้นรัฐควรเพิ่มกลุ่มใหม่และปรับเงื่อนไขว่าให้ทุกระดับราคา แต่ลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองให้แค่ 3 ล้านแรก เพราะบนสถานการณ์ที่กลุ่มเดิมอิ่มตัวก็ต้องหากลุ่มใหม่ด้วย เพื่อกระตุ้นการอยากซื้อและอยากโอนของตลาดได้มากยิ่งขึ้น
 
“นอกจากนี้อยากขอให้รัฐพิจารณาเรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างคิดว่ายังเป็นเวลาที่ไม่เหมาะสมเพราะโควิดยังหนักและธุรกิจยังไม่ฟื้นตัวก็ต้องจ่ายภาษีก้าวกระโดดจาก 10% เป็น 100% รัฐควรจะเก็บเป็นขั้นบันได เมื่อเดือนมกราคมสมัยยังเป็นนายกสมาคมอาคารชุดไทยเคยยื่นเสนอให้รัฐพิจารณาแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่ให้เก็บ แต่ต้องดูจังหวะ ท่าทีภาคธุรกิจด้วยว่าเขามีกำลังแค่ไหน ไม่ใช่จู่ๆเก็บเป็น100% และปีหน้าราคาประเมินใหม่จะปรับขึ้นอีก จะทำให้ภาระผู้เสียภาษีมากขึ้นไปอีก” นางอาภากล่าว

นางอาภากล่าวว่า สำหรับทิศทางเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มน่าจะดีขึ้น จากการส่งออก การท่องเที่ยวที่เริ่มกลับมา และปลายปีนี้มีความเป็นไปได้ที่จะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามา น่าจะเป็นข่าวดีต่อเศรษฐกิจและจีดีพีของประเทศ จะส่งผลให้กำลังซื้อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ดีขึ้นตามไปด้วย ส่วนค่าเงินบาทที่อ่อนค่ามีผลต่อวัสดุก่อสร้างที่ต้องนำเข้า เช่น เหล็กราคาเพิ่มขึ้น กว่า 10% อยู่ที่ 28.50 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่วัสดุอื่นก็ขึ้นราคาทุกรายการ เช่น สายไฟทองแดง ซีเมนต์ ประกอบกับมีปัจจัยเรื่องดอกเบี้ยขาขึ้น จะทำให้ต้นทุนก่อสร้างเพิ่มขึ้น 10% ซึ่งในส่วนของผู้ประกอบการก็ต้องปรับลดขนาดพื้นที่และขึ้นราคาบ้านให้สอดรับกับต้นทุน โดยบริษัทจะปรับราคาบ้านในเดือนสิงหาคมนี้ ทั้งบ้านเก่าและบ้านใหม่อีก 2% ส่วนผู้บริโภคที่ได้รับกะทบจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยคงต้องหารือกับธนาคารเพื่อคงอัตราดอกเบี้ยคงที่อีกสักระยะหนึ่ง
  



ดัชนีเชื่อมั่นนักลงทุน “ซบเซา” ครั้งแรกในรอบ 10 เดือน
https://tna.mcot.net/business-978830
 
กรุงเทพฯ 14 ก.ค.-FETCO เผย ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน ลดลง 23.1% อยู่ในเกณฑ์ “ซบเซา” ครั้งแรกในรอบ 10 เดือน เหตุนักลงทุนห่วง FED ขึ้นดอกเบี้ยแรง เพื่อแก้เงินเฟ้อ ทำเศรษฐกิจถดถอย ซ้ำห่วงการระบาดโควิด สายพันธ์ ใหม่ BA.4 และ BA.5

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย FETCO เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index ) หรือ ICI ในเดือนมิถุนายน 2565 พบว่า
 
“ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 64.57 ปรับตัวลดลง 23.1% จากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ในเกณฑ์ “ซบเซา” เป็นครั้งแรกในรอบ 10 เดือน โดยนักลงทุนมองว่าการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือเงินทุนไหลเข้า และนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ในการแก้ปัญหาเงินเฟ้อ สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ นโยบายการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED ที่อาจนำไปสู่ปัญหาเศรษฐกิจถดถอย (Recession) รองลงมาคือ ภาวะเงินเฟ้อจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก และความกังวลต่อสถานการณ์ COVID-19 Omicron สายพันธุ์ BA.4 และ BA.5

ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) สำรวจในเดือนมิถุนายน 2565 ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้

• ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (กันยายน 2565) อยู่ในเกณฑ์ “ซบเซา” (ช่วงค่าดัชนี 40-79) ลดลง 23.1% จากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 64.57
• ความเชื่อมั่นนักลงทุนกลุ่มนักลงทุนบุคคล กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศอยู่ในระดับ “ซบเซา” ในขณะที่ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศอยู่ในระดับ “ทรงตัว”
• หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด หมวดอาหารและเครื่องดื่ม (FOOD)
• หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดแฟชั่น (FASHION)
• ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว
• ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ นโยบายการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED

“ผลสำรวจ ณ เดือนมิถุนายน 2565 รายกลุ่มนักลงทุน พบว่าความเชื่อมั่นนักลงทุนกลุ่มนักลงทุนบุคคลปรับลด 33.9% อยู่ที่ระดับ 69.57 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับลด 25.9% อยู่ที่ระดับ 55.56 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับขึ้น 5.9% อยู่ที่ระดับ 87.50 และความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนต่างชาติปรับลด 4.8% มาอยู่ที่ระดับ 57.14
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่