วันวาน 22

กระทู้สนทนา

.


              บรรยากาศยามสายของวันอาทิตย์ บริเวณภายในโรงเรียนเงียบสงัด ไม่มีใครอยู่สักคนแม้แต่ตาเอ็ดผู้เป็นภารโรง วันหยุดเช่นนี้ถ้าไม่มีงานจำเป็นหรือสำคัญ ตาเอ็ดก็จะกลับไปอยู่ที่บ้าน จันทร์ถึงศุกร์ถึงจะนอนที่บ้านพักของภารโรงที่อยู่ฝั่งด้านหลังโรงเรียน

               จะว่าเงียบเลยก็ไม่เชิง บางคราวพวกเธอก็ได้ยินเสียงของยายบัตรผู้เป็นภรรยาของครูใหญ่ พูดคุยกับหลานชายอยู่ในบ้านพัก นอกนั้นเห็นจะได้ยินเพียงเสียงรถราวิ่งผ่านไปผ่านมาบนท้องถนนหน้าโรงเรียน

               ใต้ต้นมะขามที่มีอายุกี่สิบปีก็ไม่มีใครรู้ ที่รู้ ๆ คือ มันเกิดก่อนพ่อแม่ของพวกเธอ พวกท่านเคยบอกเล่ามาว่า ต้นมะขามต้นนี้มีมาตั้งแต่พ่อแม่ยังเป็นนักเรียน มันน่าจะมีอายุมากกว่ายี่สิบสามสิบปีเลยเชียว

               ลำต้นมีขนาดใหญ่มาก แผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาเป็นบริเวณกว้าง ลำต้นของมันมีขนาดสิบคนโอบไม่รู้จะพอไหม แถมทุก ๆ ปียังออกลูกดกเต็มต้นอีกด้วย พวกเธอทั้งสี่คนกำลังวิ่งเล่นไล่จับกันอยู่ ณ บริเวณใต้ร่มของมัน ทั้งร่มรื่นและเย็นสบายเหลือคณา

               “แม่น้ำสายนี้ขอผ่านได้ไหม” เธอ จ๋อม และพิมพ์พูดพร้อมกัน ต่างก็วิ่งขยับไปมาไม่ยอมอยู่นิ่งภายใต้กรอบที่ตีเส้นเอาไว้ทางฝั่งของผู้เล่น อีกฝั่งเป็นกรอบของผู้ล่าหรือผู้ไล่จับ ซึ่งบุคคลที่เป็นผู้ล่าในขณะนี้คือแพรวเอง

               “ไม่ได้” แพรวตอบขึงขัง ใบหน้าดุดันจริงจัง อย่างกับหวังว่ารอบนี้ตนจะต้องชนะ เปลี่ยนสถานะเป็นผู้เล่นบ้าง จากที่เป็นผู้ล่ามาสองตาติด

               “สีอะไร?” พวกเธอสามคนยกเว้นแพรวถามขึ้นพร้อมกัน

               “สี… สีสิ่ว” แพรวตอบ

               “บ่! บ่พันว่าสีสิ่ว มันบ่มี” บอสคัดค้านอย่างหัวเสีย รู้สึกว่าแพรวจะขี้โกง เพราะสีที่ว่ามันไม่มีในหมวดหมู่ของสีทั้งสิบสองสีเลย แล้วมันคือสีอะไรก็ไม่รู้ เธอเคยได้ยินยายพูดอยู่บ่อย ๆ ทว่าก็ไม่ทราบเลยว่า มันคือสีอะไรกันแน่

               “อี่แพรวคือเว้าคือผู้เฒ่าแถะย่ะ สีสิ่วพะนะ ฮ่า” ส่วนจ๋อมจากจะหัวเสียกลับล้อแพรวใหญ่ ส่วนเจ้าตัวก็หัวเราะตามไปด้วย

               “เอ้อกูเปลี่ยนกะได้ สีเทากะสั่น” แพรวกล่าวเสียงสูง ยอมเปลี่ยนสีให้พวกเธอตามคำสั่ง

               พวกเธอสามคนที่เหลือต่างพากันตาลีตาเหลือกหาสีเทาที่อยู่รอบ ๆ ตัว จ๋อมรอดตัวไปมีสีเทาที่กางเกง แม้จะเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ ก็ถือว่าใช้ได้ เธอกับพิมพ์ต่างพยายามหากันให้ถึงที่สุด ยิ่งเห็นคนหนึ่งข้ามแม่น้ำไปอย่างง่ายดาย ที่เหลือยิ่งลุกลี้ลุกลนกันใหญ่

               “เย้! นี่เด้สีเทากู ฮ่า กูมี กูมี กูมี้ ฮ่า” บอสพูดทั้งร้องเพลงเยาะเย้ยแพรวเสียงดังด้วยความโล่งอก ที่ยังมีสีเทาอยู่ภายในตัว จากที่หารอบ ๆ ตัวมานาน พลันสายตามองไปเห็นที่รองเท้าของตนเข้าพอดี

               โชคดีมากบอสมีสีเทาที่รองเท้า ทำให้เธอผ่านแม่น้ำที่ขวางกั้นด้วยแพรวไปได้อย่างหวุดหวิด เหลือพิมพ์เพียงคนเดียวที่แทบจะไม่มีสีเทาภายในตัวเลย จำต้องหาทางข้ามแม่น้ำมาให้ได้

               ไม่ว่าจะใช้ลูกเล่นหลอกล่อแบบไหนก็ได้ เพียงห้ามให้แพรวแตะโดนตัว ไม่อย่างนั้นจะได้มาเป็นแม่น้ำแทน สุดท้ายพิมพ์ก็หาทางข้ามมาอีกฝั่งได้อย่างเฉียดฉิว ทำให้พวกเธอสามคนได้เป็นผู้เล่นกันต่อ โดยมีแพรวเป็นผู้ไล่เป็นรอบที่สามติด

               วันนี้บอสกับสองฝาแฝดมีโอกาสได้ออกมาเล่นนอกสถานที่ มาเล่นกับจ๋อมได้อย่างสะดวกใจ เพราะที่บ้านมีงานบุญกองบวช ทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้คนที่ล่วงลับไปแล้ว เรียกว่า ‘บุญกองบวช’

               ตั้งแต่เมื่อวานที่บ้านย่าน้อยจัดงานบุญกองบวชขึ้น เพื่ออุทิศให้กับครูสมพงษ์ลูกชายคนโตที่ล่วงลับไปแล้ว ส่วนคนที่บวชเห็นจะเป็นลุงหนุ่ยเองที่อาสาบวชให้พี่ชาย ญาติ ๆ ต่างพากันไปรวมตัวช่วยงานที่นั่น

               ญาติ ๆ ที่อยู่ต่างจังหวัดก็กลับมาร่วมอนุโมทนาบุญนี้ด้วย แม้กระทั่งพ่อแม่ของเธอก็กลับมาจากกรุงเทพเพื่อร่วมงานนี้ ทำให้เธอกับสองฝาแฝดได้เป็นอิสระ ไม่มีใครใส่ใจนัก ส่วนน้องบีมพอพ่อกับแม่กลับมาบ้านก็อยู่ไม่ห่างไปไหนเลย อยู่ติดแม่แทบจะตลอดเวลา ทำให้ไม่มีใครมากวนใจคอยตามพวกเธอไปทุกทีอย่างที่ผ่าน ๆ มา

               แม่ให้เงินเธอห้าสิบบาทติดตัว ถึงจะกำชับว่าตอนบ่ายให้ไปร่วมขบวนแห่นาค ทว่าแม่ก็ไม่ได้สนใจเธอนัก เพราะมัวแต่ง่วนอยู่กับการช่วยงานที่บ้านของย่าน้อย อีกทั้งป้าแพงกับลุงวิทย์ด้วยเช่นกัน ที่ไม่ได้ใส่ใจสองฝาแฝดนัก พวกเธอจึงได้มีโอกาสออกมาเล่นข้างนอก ได้มาเล่นกับจ๋อม และ ชวนกันมาเล่นที่ใต้ต้นมะขามหน้าโรงเรียน

               “จ๋อมไปแห่นาคนำพวกกูบ่ตอนบ่าย มื้อแลงมีหมอลำนำอยู่วัด มืงไปบ่?” แพรวเอ่ยชวน ขณะนี้พวกเธอเลิกเล่นแม่น้ำสายนี้กันแล้ว พวกเธอนั่งพักคุยกันที่รากของต้นมะขาม ซึ่งส่วนที่มันโผล่พ้นดินออกมามีขนาดใหญ่มาก เหมาะกับการเป็นเก้าอี้ชั้นดีให้พวกเธอรองนั่งเลยทีเดียว

               “ไปแห่นำพวกกูน้อ ไปนำกันจังมวน” บอสพูดสำทับชวนจ๋อมอีกคน อยากให้จ๋อมไปด้วยจะได้ไปเดินแห่ครบสี่คนด้วยกันเพราะเป็นเพื่อนกัน จะได้สนุก

               “แม่มืงกะอยู่เฮือนย่าน้อยอี่ห่า มื้อเช้ากูกะเห็นเรา” พิมพ์เหมือนนึกได้จึงบอกกับจ๋อมไป นอกจากบรรดาญาติ ๆ แล้ว ยังมีคนในหมู่บ้านด้วยที่ต่างมาช่วยงานโดยไม่คิดค่าแรง เป็นน้ำใจของคนในหมู่บ้านเดียวกันล้วน ๆ

               “ไปกะไป ตะพวกมืงมาส่งกูล้าแห่แล้ว” จ๋อมตกลงพร้อมสร้างข้อตกลงไว้ด้วยหนึ่งข้อ ซึ่งพวกเธอเองก็ตกลงรับปากอย่างว่าง่าย แค่เดินมาส่งไม่ได้อะไรมากมายนัก

               “พวกเฮาเล่นหยังต่อวะ เทือสิเที่ยง เทือสิบ่าย เทือสิได้แห่” บอสพูดขึ้นมาแบบเบื่อหน่าย ไม่อยากเล่นอะไรที่ต้องออกแรงอีกแล้ว มันร้อนและเหนื่อยพอ ๆ กัน พอคลายเหนื่อยและคลายร้อนแล้วจึงไม่อยากเล่นอะไรแบบนั้นต่อ

              ขณะนี้เสียงเพลงและเสียงพูดของโฆษกจำเป็นที่บ้านย่าน้อย ดังลอยมาตามลมให้ได้ยินเป็นระยะ ๆ ฟังดี ๆ คล้าย ๆ เสียงของพ่อ ถ้ามีงานบุญ งานมงคลในหมู่ญาติ ๆ อย่าหวังว่าพ่อจะพลาด ไมค์ต้องตกอยู่ที่พ่ออย่างน้อย ๆ สองชั่วโมง เป็นปกติของบ้านที่มีการจัดงานอยู่แล้ว ผู้คนจึงไม่ตะขิดตะขวงใจหรือรำคาญแต่อย่างใด กลับสนุกไปด้วยด้วยซ้ำ

               สายลมพัดเอื่อย ๆ ให้ความเย็นระลอกแล้วระลอกเล่า รถราวิ่งผ่านหน้าไปไม่รู้กี่คันต่อกี่คัน พวกเธอก็ยังนั่งเล่นอยู่ใต้ร่มมะขาม เวลานี้ถึงจะดูเงียบเสมือนว่าทั้งโรงเรียนมีเพียงพวกเธอสี่คน ทว่ากลับไม่ใช่อย่างนั้น อย่างไรก็ยังมียายบัตรอยู่ที่บ้านพักครูใหญ่ทั้งคน เท่านี้พวกเธอก็อุ่นใจในการเล่นอยู่ที่นี่

               บ้านพักครูใหญ่อยู่ถัดจากบริเวณที่พวกเธอเล่นกันอยู่ไม่ไกลนัก ถัดจากบ้านพักครูใหญ่ไปก็จะเป็นโรงพละ และมันเคยเป็นบ้านพักหลังเก่าของครูสมพงษ์มาก่อน

               …กรรไกร ไข่ ผ้าไหม ไข่หนึ่งใบสองบาทห้าสิบ ห้าสิบสองบาทหนึ่งใบ ไข่ ผ้าไหม ไข่ กรรไกร…

               เมื่อไม่อยากเล่นอะไรที่ใช้แรง พวกเธอจึงหันมาเล่นเป่ายิงฉุบกัน มิใช่การเล่นแบบธรรมดา แต่มีการร้องเพลงประกอบด้วย การละเล่นนี้ชื่อว่า ‘กรรไกรไข่ผ้าไหม’ เพื่อฆ่าเวลา

               พวกเธอยังไม่อยากกลับบ้านในตอนนี้ อุตส่าห์ได้ออกมาทั้งที ถ้ากลับไปคงไม่ได้กลับมาเล่นอีก เพราะฉะนั้นพวกเธอจึงเอาให้คุ้มกับการที่ได้ออกมาเล่นกับจ๋อม ขั้นตอนในการเหมือนการเล่นเป่ายิงฉุบ แต่ต้องทำมือตามรูปที่ร้อง ใครทำผิดต้องโดนเขกหัวเข่าแต่โดยดี

               ห้าโมงจวนจะเที่ยงแล้วหรือเที่ยงแล้วพวกเธอก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนี้ท้องร้องหิวข้าวกันแล้ว ตั้งแต่สาย ๆ ของวัน พวกเธอสิงกันอยู่ที่ใต้ต้นมะขามหน้าโรงเรียนไม่ยอมไปเล่นที่ไหนเลย

               “สูอยากข้าว ปะไปกินข้าวเฮือนย่าน้อยปะ ข้าวปุ้นกะมี ข้าวต้มมัดกะมี มีหลายอย่างเลย ไปกินปะ” แพรวชวน ไม่ใช่เพียงแค่แพรวคนเดียวที่หิว บอสเองก็หิวแล้วเหมือนกัน

               “แมนยูปะกูกะอยากข้าวแล้วคือกัน ปะจ๋อมไปนำพวกกูปะ ย่าน้อยบ่ฮ่ายหรอก เราเฮ็ดบุญไผไปกินกะได้เมิด” บอสไม่ลืมที่จะชวนจ๋อมไปด้วย

              “แมนยูจ๋อม ปะไปนำพวกกู” พิมพ์อีกคนที่ช่วยคะยั้นคะยอ เพราะอยากให้ไปด้วยกันจะได้ครบแก๊ง “กินแล้วพวกเฮากะเล่นอยู่นั่นถ่าแห่เลย กลองยาวพ่อใหญ่อี่บอส หรือไปเล่นเฮือนกูกะได้ ไปบ่ มืงบ่อยากเห็นครูสมพงษ์ติ พวกกูจะพาไปเบิ่ง ย่าน้อยเอาตั้งไปหน้าเมงเลย มืงย่างเข้าไปกะเห็นเลย”

              ‘เมงเป็นภาษาถิ่น บางพื้นที่อาจไม่ได้เรียกแบบนี้ เมงหมายถึงกองบุญ หรือ แคร่ที่ทำขึ้นเพื่อใช้วางหมอนและเสื่อของคนที่นำมาบริจาคช่วยงาน ซึ่งเจ้าของงานจะไม่สามารถทำขึ้นมาเอง เมงจะเป็นของทางวัดเท่านั้นที่ให้ยืมมา’

               “ไปกะได้ อยากเห็นอยู่ว่าเราเป็นหน้าตาจังใด ตะว่าพากูไปขอแม่กูก่อนเด้อ” จ๋อมตกลง ทว่าก็ยังต้องผ่านการอนุญาตจากแม่ก่อน เพราะไม่ใช่ญาติของจ๋อม “ตะว่าเพิ่นจะบ่ฮ่ายกูอิหลิล้า บ่ได้เป็นหลานเพิ่นคือพวกมืงน้อสู” จ๋อมยังมีความระแวงอยู่ในที

             “บ่ฮ่ายเชื่อกู” บอสยืนยัน “อิหลิ ขนาดอี่นินยังไปเอาขนมมากินเลย ย่าน้อยยังบ่ฮ่าย” บอสยกตัวอย่างเพื่อนกลุ่มอื่นมาอ้าง เพื่ออยากให้จ๋อมสบายใจยอมตามไปด้วย และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ย่าน้อยหรือญาติ ๆ คนอื่นไม่มีใครหวงเลยสักนิด เพราะทำบุญ กินได้เต็มอิ่มและเต็มที่

              “ไผเป็นคนบวชหั่น” จ๋อมมิวายถามไปเรื่อย

               “ลุงหนุ่ย มืงบ่ฮู้จักเราหรอก เดี๋ยวพวกกูพาไปเบิ่ง” แพรวตอบจ๋อม

               “ปะขั่น” เมื่อตกลงกันได้แล้ว พวกเธอก็ขึ้นควบจักรยานปั่นกลับบ้าน พิมพ์ซ้อนไปกับแพรว ส่วนเธอปั่นไปกับจ๋อม โดยจักรยานเป็นของเธอ พวกเธอปั่นมารับจ๋อมที่บ้านเอง และ เธอเป็นคนปั่นให้จ๋อมซ้อน น้ำหนักไล่เลี่ยกันจึงไม่เป็นปัญหาในการปั่นสักเท่าไหร่

               อันดับแรกพวกเธอมุ่งหน้าไปที่บ้านของจ๋อมกันก่อน เพื่อพาเจ้าตัวไปขอแม่ คิดว่าบางทีแม่ของจ๋อมอาจกลับมาบ้านแล้วก็ได้ จึงพากันแวะที่บ้านดูก่อน ถ้ายังอยู่ที่บ้านของย่าน้อยก็ดีไป เมื่อแวะที่บ้านจ๋อมแล้วจากนั้นก็จะมุ่งหน้าไปยังบ้านของย่าน้อยกันต่อ อยู่คนละคุ้มก็จริงแต่อยู่ในหมู่สองด้วยกัน ระยะทางจึงไม่ไกลมากนัก

               สองฝาแฝดปั่นนำไปก่อน พวกเธอปั่นตามไปทีหลัง ช่วงจังหวะขากลับจากโรงเรียนเป็นทางค่อนข้างลาดชัน ทำให้จักรยานแม้ปั่นช้า ๆ ก็ทำความเร็วได้ผิดปกติ ถึงอย่างนั้นมันยังพอควบคุมความเร็วได้

               ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด จักรยานของบอสเบรกไม่อยู่ ไม่ว่าจะกำเบรกมือ หรือใช้เท้าแย่เข้าล้อหน้าเพื่อเบรก ตามด้วยจ๋อมที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลังใช้เท้าลากพื้นถนนไปตามทางเพื่อลดระดับความเร็ว แต่ก็ยังไม่สามารถหยุดจักรยานได้

               ความเร็วรถเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ตามความลาดชันของถนน เดชะบุญที่ไม่มีไก่กาหมาแมวหรือแม้แต่ผู้คนออกมาเดินตัดหน้ารถ หรือ แม้แต่ทางแยกก็ไม่มี ระยะทางจากโรงเรียนมาบ้านจ๋อมตรงดิ่งอย่างเดียว ไม่มีแยกให้รถเลี้ยวตัดหน้าได้ ทำให้พวกเธอยังพอปลอดภัยจากอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้น

               “อี่จ๋อมช่วยกุเบรกแม้อิหนิ ฮ่วย… เร็ว ๆ กรี๊ด ฮ่า ช่วยกูเบรก!!!!” บอสแหกปากลั่นทั้งหัวเราะมาตามทางขณะยังควบคุมรถอยู่ จ๋อมเองก็พยายามสุดกำลังเช่นกัน

               “ใกล้ฮอดเฮือนมืงแล้วอี่จ๋อม ช่วยกูเบรก!!” บอสแหกปากทั้งหัวเราะ สนุกปนกลัวในเวลาเดียวกัน จักรยานของบอสค่อนข้างเก่าซื้อมานานเป็นปี ๆ แล้ว ทำให้การใช้งานเบรกไม่ค่อยดีนัก แถมยังโซ่ตกอยู่บ่อย ๆ วันนี้คงเป็นวันที่มันอยากงอแงขึ้นมาหรือวันซวยของพวกเธอสองคนก็มิอาจคาดเดาได้

               เธอและจ๋อมต่างพยายามช่วยกันยับยั้งรถจักรยานอย่างทุลักทุเล บอสทั้งกำเบรกมือใช้เท้าเบรกล้อหน้า จ๋อมใช้เท้าลากไปกับพื้นถนนก็ไม่เป็นผล ทำอย่างไรก็ควบคุมไม่ได้สักที ในที่สุดจักรยานก็เคลื่อนตัวมาถึงบ้านจ๋อม
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่