เมื่อจอยมีบอดี้การ์ด (ตอนจบ)

กระทู้สนทนา
เมื่อจอยมีบอดี้การ์ด
ดรัสวันต์

        รถมาจอดรอเราตั้งแต่ตีห้า เราสามคนทานอาหารเช้าเสร็จแล้วจึงออกเดินทาง ผู้จัดการและครอบครัวออกมาส่งและร่ำลา จัสมินยืนแอบอยู่ที่มุมตึกพร้อมกับโบกมือน้อยๆ ให้จอย 

       ทำให้จอยแอบน้ำตาซึม ความผูกพันช่วงสั้นๆ ระหว่างจอยกับจัสมินเป็นความลับที่มีแต่เราสองคนเท่านั้นที่รู้

        วูบหนึ่งของความคิด จอยอยากขอเด็กคนนี้ไปเลี้ยงที่เมืองไทย ไปเป็นลูกบุญธรรม ทั้งๆ ที่จอยยังไม่ได้แต่งงาน ไปทำให้เธออยู่ดีมีสุขมากกว่าอยู่ที่นี่ ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงได้รักและสงสารเด็กผู้หญิงตัวผอมๆ ซื่อๆ คนนี้เหลือเกิน 

       แต่เมื่อประมวลเหตุผลต่างๆ แล้ว การรับจัสมินไปเลี้ยงไม่ใช่หนทางที่จะทำให้เด็กมีความสุข ถึงแม้จอยมั่นใจว่าจะทำให้เธออยู่อย่างสุขสบาย แต่จอยก็ต้องไม่ลืมว่า มันเป็นการพรากเขาไปจากครอบครัวและสิ่งแวดล้อมที่เขาเกิดและเติบโตมา  
 
       สังคม วัฒนธรรม และภาษาที่แตกต่างกันสุดขั้วของทั้งสองประเทศ เด็กจะต้องปรับตัวอย่างมาก

       มันเป็นโทษมากกว่าจะเป็นคุณ
 

      เราสามคนเดินทางไปรับแฟรงค์และเดซี่ ยังอีกเมืองหนึ่ง ทั้งสองเตรียมตัวรออยู่แล้ว จอยอดจะสังเกตคนทั้งคู่ไม่ได้ ไม่อยากอคติกับเรื่องราวที่ได้รับฟังจากฮุสเซน หวังว่ามันคงเป็นเรื่องนินทาลับหลังโดยที่เดซี่ไม่รู้เรื่อง จอยห่วงความรู้สึกของเธอ เวลามีเรื่องไม่งามเกิดขึ้น ผู้หญิงมักเป็นฝ่ายเสียหายมากกว่าผู้ชายเสมอ

      เมื่อเราทั้งสองทีมมารวมตัวอีกครั้ง มีเรื่องมากมายมาเล่าสู่กันฟัง ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่มีค่าแก่กันและกัน จอยสังเกตว่าเขาทั้งสองก็ดูสนุกสนานดี ไม่ได้มีเรื่องรบกวนจิตใจแต่อย่างใด

     แต่จอยซิ ใจลอยบ่อยๆ ไม่เข้าใจตัวเองเลย สายตาจอยไม่อาจไถ่ถอนไปจากผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านหน้าได้ บางครั้งที่เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกจ้องมองแล้วหันกลับมา จอยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ หันหน้าออกไปมองวิวข้างทางแทน

      อยากอยู่ใกล้เขา แต่ไม่อยากสบตาเขา ไม่รู้จอยเป็นอะไร 

      การเดินทางขากลับ ใช้เส้นทางเดิมเหมือนกับตอนขามา และเราต้องไปแวะที่สำนักงานประจำภูมิภาคเพื่อพบกับผู้อำนวยการสำนักงานฯ แม้ว่าจะเป็นวันหยุดเขาก็อยู่ต้อนรับเรา และขอโทษสำหรับความยุ่งยากที่ทำให้เราต้องอยู่นานกว่ากำหนด

      จากสำนักงานภูมิภาค เราไปลงเรื่อเฟอร์รี่เหมือนตอนขามา เป็นช่วงของการเดินทางที่จอยชอบที่สุดเพราะจะได้ลงจากรถคันนี้เสียที พอรถเข้าไปจอดเรียงกันภายในเรือเรียบร้อยแล้ว จอยรีบลงจากรถแล้วเดินขึ้นบันไดอย่างคุ้นเคยไปนั่งบริเวณที่นั่งผู้โดยสารที่ชั้นบนสุด โดยไม่รอใครทั้งนั้น  

      เรือเริ่มออกจากท่าแล้ว สายลมเย็นแห่งแม่น้ำยมุนาพัดมาชื่นใจ เมื่อได้อยู่เงียบๆ ตามลำพัง บทเพลงหนึ่งที่จอยชอบ สะท้อนก้องอยู่ในหัว

.....รู้แค่เพียงก่อนนั้น  ฉันไม่เป็นอย่างตอนนี้ อยากเข้าไปใกล้ๆ เธอ มากขึ้นทุกที  
เกิดอะไรกับฉัน สะท้านไปหมดทั้งใจ แค่มีเธออยู่ข้างกาย แค่นั้นก็ใจเต้นแรง
มันเคลิบเคลิ้ม อ่อนไหวไม่อาจควบคุม ร้อนรุ่มเมื่ออยู่ใกล้เธอ  
ไม่รู้อารมณ์ที่ฉันได้เจอ.....มันคืออะไร

       ตอนนี้จอยกำลังรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ..สะท้านไปหมดทั้งใจ แค่มีเธออยู่ข้างกาย แค่นั้นก็ใจเต้นแรง... คนที่แต่งเพลง เขาคงกำลังอยู่ในภาวะอย่างจอยใช่ไหม เขาจึงถ่ายทอดออกมาได้ตรงกับใจนัก

     ‘จอย นี่เธอกำลังเป็นอะไร คงไม่ได้ตกหลุมรักเขาใช่ไหม ! ’ เป็นคำถามที่ทำให้ตัวเองต้องพรั่นพรึง ‘ไม่นะ ไม่ได้ เธอจะรักเขาไม่ได้’  จอยร่ำร้องอยู่ในใจ

      “คุณอยู่นี่เอง” 

      “อุ๊ย!” จอยสะดุ้งตกใจ ด้วยกำลังใจลอยคิดถึงเขาอยู่ แล้วจู่ๆ เขาก็โผล่มา

      “ผมตามหาคุณแทบแย่” ท่าทางเขากระหืดกระหอบเหมือนวิ่งวุ่นตามหาใครสักคน

      จอยรวบรวมสติตอบเขาไปว่า

     “ไม่ได้ไปไหนนี่คะ ก็อยู่บนเรือลำนี้ด้วยกัน”

     “จู่ๆ คุณก็หายไป ถ้าคุณเป็นอะไรไป ผมจะทำอย่างไร” เขาเริ่มอีกแล้ว แต่ครั้งนี้ ในความรู้สึกของจอย ช่างหวานนัก ...ถ้าคุณเป็นอะไรไป ผมจะทำอย่างไร

     “ผมอุตส่าห์ดูแลคุณอย่างดีมาตลอด 4 – 5 วัน วันนี้วันสุดท้ายแล้ว ขอผมทำหน้าที่ให้สมบูรณ์เถอะ แล้ววันพรุ่งนี้ คุณจะไม่ต้องทนเห็นหน้าผมอีกต่อไป” เขาว่าใส่จอยใหญ่เลย

     จอยอยากร้องไห้เหลือเกิน ยามที่จิตใจอ่อนไหวสุดๆ อย่างนี้ เขายังมาพูดจาแบบนี้กับจอยอีก แต่เท่าที่ทำได้คือกล้ำกลืนมันลงไป แล้วตอบเขาไปด้วยเสียงที่พยายามบังคับไม่ให้สั่นว่า

      “ขอโทษค่ะ” 

      เขาอึ้งไปกับคำขอโทษนั้นเพราะจอยไม่ต่อล้อต่อเถียงเลยสักคำ คงผิดปกติวิสัยที่เขาคุ้นเคย

     “จอย เป็นอะไร หน้าซีดเชียว” เขาเริ่มสังเกตเห็น และคงรู้ตัวว่าใส่อารมณ์กับจอยมากเกินไป

      จอยส่ายหน้า ใจรอนๆ บอกไม่ถูก พยายามบังคับตัวเองไม่ให้อ่อนแอ

     “ไม่สบายหรือเปล่า มานั่งตรงนี้เถอะ” เขาชวนให้จอยมานั่งรวมกลุ่มกับทุกคน

      “จอย เป็นอะไรหรือเปล่า” เดซี่หันมาถาม มาดามชเรสธาที่นั่งถัดไปส่งสายตามามอง

      จอยลูบหน้าตัวเอง มันคงจะซีดสลดจนใครๆ สังเกตได้  

     “ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก แค่เวียนหัวนิดหน่อย เดี๋ยวคงหาย” จอยแก้ตัวไปอย่างนั้นเอง พยายามฝืนยิ้ม

     ทุกคนพยักหน้าอย่างโล่งใจที่จอยไม่เป็นอะไร ยกเว้นฮุสเซนที่ยังคงมองหน้าจอยอย่างห่วงใย แต่พอเห็นจอยยิ้มได้ เขาจึงค่อยคลายใจแล้วหันไปคุยกับเพื่อนร่วมงานที่มีหน้าที่ดูแลเดซี่กับแฟรงค์ ดูเขามีเรื่องคุยกันมากมายเพราะคุยกันมาตั้งแต่อยู่ในรถแล้ว

      อาจจะนินทาจอยก็ได้ ที่ทำเรื่องราวสารพัดให้เขาปวดหัว แต่คิดอีกทีเขาคงไม่กล้านินทาหรอกเพราะแฟรงค์ฟังภาษาที่เขาพูดออก  

      แล้วสักพัก เขาสองคนก็พากันเดินไปคุยที่ท้ายเรือ อาจจะเป็นเรื่องภายในที่ไม่อยากให้แฟรงค์ได้ยิน

      ดีแล้ว ให้คุยกันไป จะได้ไม่ต้องมาสนใจจอย  

     “จอย ไปถ่ายรูปกันทางโน้นไหม” เดซี่ชวนพร้อมกับมาดามและแฟรงค์ที่กำลังจะเดินไปทางกราบซ้ายของเรือ

     “ไม่ล่ะ” จอยปฏิเสธไป รู้สึกไม่มีอารมณ์อยากจะทำอะไรทั้งนั้นนอกจากนั่งจมอยู่กับตัวเอง

     “ยังเวียนหัวอยู่หรือเปล่า” แฟรงค์ถาม

      “ให้เขานั่งพักเถอะ” มาดามชเรสธาบอก แล้วทั้งสามก็พากันเดินไปหาวิวสวยๆ ของแม่น้ำยมุนาเพื่อถ่ายรูป

      แม้จะนั่งอยู่ท่ามกลางผู้คนที่พลุกพล่าน แต่ใจที่ล่องลอยอยู่กับความคิดคำนึงนั้นทำให้สรรพสำเนียงต่างๆ ผ่านหูไปโดยไม่ได้รับรู้เลยว่าใครกำลังพูดหรือทำอะไร ดูเหมือนทุกคนจะกลายเป็นอากาศธาตุ...ยกเว้นเขา

      แม้จะรู้ว่าเขาอยู่ไม่ไกล แม้สายตาอยากจะมองหาแต่ใจก็หักห้ามไว้ด้วยกลัวใจตัวเอง กลัวว่าสายตาจะฟ้องว่าจอยอ่อนไหวกับเขาเพียงไหน

      จอยเหม่อมองสายน้ำแห่งยมุนา ที่ไหลเอื่อย สายลมพัดพาเอาความเย็นฉ่ำของลำน้ำมาปะทะใบหน้า จดจำวันแรกที่พบเขาได้ 

      ‘ผมชื่อ มูฮัมหมัด ฮุสเซน ผมมีหน้าที่ดูแลคุณ’   

      ไม่เคยรู้เลยว่า การที่ต้องอยู่ร่วมกับใครเกือบ 24 ชั่วโมง ทานอาหารด้วยกันทุกมื้อ ถกเถียงทะเลาะกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เช่นนี้ จะทำให้เราได้เรียนรู้ใครคนหนึ่งมากขึ้นและก่อให้เกิดความรู้สึกผูกพันโดยไม่รู้ตัว แม้จะเป็นระยะเวลาที่แสนสั้นก็ตาม
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่