ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าส่อแววมืดมน เหตุราคาลิเธียมแพงขึ้น 500%

กระทู้ข่าว
ความนิยมในรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้ราคาลิเธียมถีบตัวแพงขึ้นเกือบ 500% ภายในระยะเวลา 1 ปี ผู้เชี่ยวชาญหวั่นอนาคตตลาดอีวีมืดมน

ราคาแร่ลิเธียมคาร์บอเนตซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตแบตเตอรี่ที่ใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าเคยมีราคาอยู่ที่ 70,000 หยวนต่อตัน (3.5 แสนบาท) ในช่วงกลางปีที่แล้ว แต่ในปัจจุบัน ราคาได้ขยับสูงขึ้นเป็น 450,000 หยวนต่อตัน (ประมาณ 2.3 ล้านบาท)

ประเทศจีนเป็นผู้นำการผลิตแบตเตอรี่ลิเธียม-ไออนระดับโลกด้วยการครองส่วนแบ่งตลาดถึง 80% ซึ่งการขาดแคลนแร่ลิเธียมทำให้รัฐบาลปักกิ่งต้องออกนโยบายเพื่อควบคุมราคา แต่นักวิเคราะห์มองว่าราคาแร่หายากดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวภายในปลายปีนี้

อนาคตตลาดอีวีมืดมน

การขาดแคลนแร่ลิเธียมเป็นปัญหาสำคัญในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เพราะทำให้ต้นทุนสูงขึ้น นำไปสู่ราคาจำหน่ายที่แพงขึ้นตามไปด้วย ยิ่งเมื่อบวกกับราคาแร่หายากอื่น ๆ ที่แพงขึ้นด้วยเช่นกันก็จะทำให้ตลาดรถอีวีไม่เติบโตตามคาดการณ์และไม่สามารถแข่งขันกับรถเครื่องยนต์สันดาปได้

คาเมลอน เพิร์ก นักวิเคราะห์จาก Benchmark กล่าวว่า ดูเหมือนปัญหาการจัดหาแร่นั้นทำได้ไม่รวดเร็วเพียงพอต่อความต้องการในอีก 3 ปีข้างหน้า ที่ผ่านมา บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าบริหารจัดการปัญหานี้ช้าเกินไป

ขณะที่อีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Tesla เคยทวีตไว้ว่า “ราคาแร่ลิเธียมถีบตัวสูงขึ้นในระดับบ้าคลั่ง บริษัทฯ อาจต้องหาหนทางเข้าสู่อุตสาหกรรมขุดแร่โดยตรง หากต้นทุนยังไม่ลดลง”

ทั้งนี้ ลิเธียมกลายเป็นแร่หายากเนื่องจากในช่วงปี 2018 – 2020 ราคาแร่ดังกล่าวเคยถูกลงอย่างมากจนไม่มีการลงทุนขุดแร่เพิ่มเติมหรือหาแหล่งเหมืองแห่งใหม่ เมื่อรถยนต์ไฟฟ้าได้รับความนิยมอย่างก้าวกระโดดจึงมีความต้องการใช้งานลิเธียมเพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอุตสาหกรรมยานยนต์โลก

ปัญหาความขัดแย้งระหว่างยูเครน-รัสเซียยังตอกย้ำปัญหาดังกล่าว ทำให้แร่อื่น ๆ ทั้งนิกเกิล กราไฟท์ และโคบอลต์ก็กลายเป็นแร่หายากและมีราคาสูงเช่นกัน

สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า บริษัทรถยนต์ส่วนใหญ่มักหาทางออกด้วยการก่อตั้งบริษัทร่วมทุนกับผู้ผลิตแบตเตอรี่เพื่อรับมือกับต้นทุนที่สูง ซึ่งนักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าทางออกที่ยั่งยืนคือการทุ่มเงินลงทุนที่ต้นธารห่วงโซ่การผลิตหรือหาแหล่งขุดแร่เพิ่มเติม

ทั้งนี้ การขุดแร่ลิเธียมเป็นกระบวนการที่กินเวลานานและมักถูกจำกัดจากนโยบายของภาครัฐในแต่ละประเทศ ขณะเดียวกัน ยังส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม ต้องใช้น้ำและไฟฟ้าปริมาณมหาศาล

แบตเตอรี่แบบโซลิดสเตทหรือแบตเตอรี่แข็งถูกมองว่าจะมาแทนที่แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนที่ใช้กันมาอย่างยาวนาน โดยมีหลายบริษัทที่กำลังวิจัยและพัฒนา อย่าง Toyota และ Volkswagen คาดว่าจะใช้ในรถโปรดักชั่นหลังปี 2025

ที่มา : AutoFun
May







แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่