JJNY : กอบศักดิ์ชี้ศก.เสี่ยงมาก│ส.ค้าส่งฯ ชี้สินค้าขึ้นราคาห่วงกำลังซื้อหด│รถเมล์-สองแถวขอขึ้น│โอดชุดลูกเสือ-เนตรนารีแพง

กอบศักดิ์ชี้ เศรษฐกิจเสี่ยงมาก เหมือนรถไฟเบรกแตกพุ่งเข้าชานชาลา
https://www.matichon.co.th/economy/news_3427145
  
 
กอบศักดิ์ชี้ ศก.เสี่ยงมาก เหมือนรถไฟเบรกแตกพุ่งเข้าชานชาลา มีเวลา 1-2 ปีเตรียมการ
 
เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน กอบศักดิ์ ภูตระกูล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไทย ได้เผยแพร่ข้อความในเฟซบุ๊ก ว่า
 
เตรียมตัวให้พร้อม !!!
 
เมื่อคืนนี้ ได้ฟังท่านประธานเฟด ท่านประธาน ECB ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ และผู้จัดการใหญ่ของ BIS ร่วมเสวนาในเรื่อง Challenges for Monetary Policy in Rapidly Changing World หรือ ความท้าทายสำหรับนโยบายการเงิน ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่น่าสนใจในการเสวนา ก็คือ ความในใจของนายธนาคารกลางชั้นนำของโลก โดยเฉพาะท่านประธานเฟด
ท่านบอกว่า
 
Clock is running out to bring inflation down
เวลาเริ่มเหลือน้อยแล้ว ในการจัดการกับเงินเฟ้อ
 
It’s gotten harder … The pathways have gotten narrower.’
สำหรับโอกาสของการ Soft Landing นั้น “ยากขึ้น และเส้นทางไปสู่เป้าหมายดังกล่าวได้แคบลงมาก”
 
There’s no guarantee the central bank can tame runaway inflation without hurting the job market.
ท่านไม่สามารถรับประกันได้ว่า “สงครามของเฟดกับเงินเฟ้อ” จะไม่สร้างปัญหาใหญ่ให้ตลาดแรงงาน ไม่สามารถรับประกันได้ว่า จะไม่มีคนตกงาน
 
We now understand better how little we understand about inflation
เราเข้าใจแล้วว่า เราเข้าใจเงินเฟ้อน้อยแค่ไหน !!!!
 
Our model is not capable of producing high inflation.
โมเดลที่เราใช้ ไม่สามารถจำลองสถานการณ์เงินเฟ้อสูง ที่กำลังเกิด
 
It is a deep in the tail kind of risk. Very hard to predict and access.
เหตุการณ์ที่กำลังเกิดอยู่ขณะนี้ เป็นเหตุการณ์เฉพาะ ที่ยากจะประเมินและคาดการณ์ได้
 
สรุปว่า ยิ่งฟัง ก็ยิ่งเข้าใจว่า ธนาคารกลางมีปัญหาในการประเมินสถานการณ์ว่ากำลังสู้กับอะไร และจะออกจากปัญหาได้อย่างไร
ทำให้มีคำถามต่อไปว่า ที่เฟดบอก “เอาอยู่ จัดการเงินเฟ้อได้แน่ และให้เชื่อเฟด” นั้น ตั้งอยู่บนพื้นฐานอะไร?
หากโมเดลที่เฟดและธนาคารกลางใช้ในการสู้ศึก มีข้อจำกัด ไม่ใช่ตัวแทนของโลกจริง
หรือว่าที่ท่านกำลังพูด อธิบายกันอยู่นั้น เป็นเพียง “คำปลอบใจ”
ที่กระทั่งตัวท่านเอง ก็ไม่มั่นใจว่า “จะทำได้ตามที่พูดหรือไม่”
 
สำหรับที่ท่านประธานเฟดบอกว่า เวลาเหลือน้อยเต็มทนแล้ว สำหรับการจัดการกับเงินเฟ้อ เฟดต้องเร่งการดำเนินนโยบายให้ทันกับปัญหาที่เกิดขึ้น นั้น
 
อันนี้ คงเกิดขึ้นจริง
ซึ่งหมายความต่อไปว่า เราก็เหลือเวลาไม่มากในการเตรียมตัวรับกับผลพวงที่จะตามมา
เพราะทั้งหมด คงจะจบลงด้วยการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอนาคต เพื่อให้กระบวนการปรับขึ้นราคาสินค้า ค่าจ้างต่างๆ ดำเนินต่อไปไม่ได้
เมื่อขายของไม่ได้ บริษัทปิด คนตกงาน ก็ไม่มีใครกล้าขึ้นราคาสินค้า ไม่มีใครกล้าเรียกร้องเงินเดือนเพิ่ม
ขอให้พอทำมาหากินได้ มีงานทำ ก็พอแล้ว

ซึ่งจะนำไปสู่การ Set zero เริ่มต้นใหม่ของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ธนาคารกลางจะช่วยกระตุ้นอีกครั้ง หลังชนะสงคราม
นี่คือ หมัดเด็ด ไพ่ใบสุดท้าย ของเฟด ที่นำมาใช้ได้เสมอ

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ ตั้งแต่นักเศรษฐศาสตร์มีตำรา “เศรษฐกิจมหภาค” เป็นต้นมา ก็เข้าใจว่าจะจัดการเงินเฟ้อได้อย่างไร และเป็นที่มาว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ส่วนใหญ่จบลงด้วยภาวะ Recession ที่มาจากการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางเป็นสำคัญ
สอดรับกับภาพด้านล่าง ที่จะเห็นได้ว่าสำหรับเศรษฐกิจสหรัฐ ก่อนจะมี Recession ที่เป็นแถบสีเทา จะนำมาด้วยการขึ้นดอกเบี้ยอยู่เสมอๆ
ครั้งนี้ก็คงเช่นกัน
 
หากเป็นเช่นนี้ ก็ต้องบอกว่า เรากำลังมีปัญหา “Slow motion train wreck” หรือ รถไฟเบรกแตก กำลังวิ่งเข้าสู่ชานชาลา
 
เสียหายแน่ แต่ข้อดีคือ เรายังมีเวลาเตรียมตัว อพยพคน ยกเอาข้าวของออกจากชานชาลา และสถานีได้
ธุรกิจก็เช่นกัน ถ้าอนาคตจะเป็นเช่นนี้ ช่วงนี้ก็ขอให้ทุกคนเตรียมการรับมือ สิ่งที่ไม่จำเป็นก็ลดละ เตรียมสะสมสภาพคล่องต่างๆ ไว้ให้พร้อม สิ่งที่สุ่มเสี่ยงเกินไป คงต้องชะลอไปก่อน
 
เท่าที่ดู เราคงมีเวลาอีกระยะ ประมาณ 1-2 ปี ในการเตรียมการ
ถ้าเราเตรียมตัวดี ก็จะผ่านไปได้
ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนครับ”
  
https://www.facebook.com/1044766528/posts/pfbid02gTMonMUWLdT2qUhKzRiseVsArgnj3B8VaJGYHGwkvzTz5qKjjRZkCSopkN3y4wk2l/?d=n
  


ส.ค้าส่งฯ ชี้สินค้าขึ้นราคาห่วงกำลังซื้อหด
https://www.innnews.co.th/news/economy/news_365556/
 
นายกสมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย ชี้ สินค้าขึ้นราคาหลายชนิดแล้ว ห่วงกำลังซื้อหดหลังของแพง แนะประชาชนปรับการเลือกใช้ของ
 
นายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย เปิดเผยสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า ล่าสุด สินค้าส่วนใหญ่ได้ปรับราคาขึ้นไปหลายชนิดแล้ว ตามต้นทุนการผลิตและค่าขนส่งที่ปรับสูงขึ้น ซึ่งทันทีที่ราคาปรับขึ้น ก็ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชนที่ลดลง ทำให้ยอดขายสินค้าไม่เป็นไปตามเป้าหมาย จึงทำให้ต้องมีการจัดโปรโมชั่นเพื่อดึงราคาสินค้าที่ปรับขึ้นไปแล้วให้ลงมา ทั้งนี้ มองว่า สิ่งที่น่ากลัวก็คือหากสินค้าปรับราคาขึ้นไปหมดแล้ว แต่กำลังซื้อไม่มี ก็จะทำให้เกิดภาวะเงินฟืด ของแพงขึ้น แต่การจับจ่ายใช้สอยน้อยลง เพราะประชาชนมีรายได้เท่าเดิม
 
อย่างไรก็ตาม เมื่อสินค้าแพงขึ้น ประชาชนต้องว่างแผนการใช้จ่าย ต้องเลือกดูสิ่งของที่จำเป็น และเปลี่ยนมาใช้สินค้าที่อยู่กลุ่มเดียวกัน แต่ราคาถูกลงมา ก็จะช่วยลดค่าจ่ายได้ และอาจทำให้สินค้ายี่ห้อดังๆ ปรับราคาลงได้ส่วนการที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้นนั้น นายสมชาย มองว่า น่าจะทำให้อะไรต่างๆ ดีขึ้น
  

 
พิษดีเซล-ก๊าซเอ็นจีวีพุ่ง รถเมล์-สองแถวจี้รัฐขอขึ้นค่าตั๋ว2บาท ด้านสตรีทฟู้ดจ่อเพิ่มราคาเมนูละ 10-20%
https://www.matichon.co.th/economy/news_3427028
 
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน นายบรรยง อัมพรตระกูล ประธานสหพันธ์รถเมล์ กรุงเทพฯและปริมณฑล กล่าวว่า ทางสหพันธ์ฯ ได้เดินทางมายื่นหนังสือที่กระทรวงคมนาคม ถึงนายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง โดยต้องการขอให้พิจารณาปรับค่าโดยสารให้รถเมล์และรถสองแถว หมวด 4 (รถโดยสารที่วิ่งประจำอยู่ในเส้นทาง ที่มีจุดต้นทางและปลายทางอยู่ระหว่างอำเภอกับจังหวัดหรือระหว่างอำเภอ) โดยขอขึ้นค่าโดยสารสองแถว จาก 8 บาท เป็น 10 บาท ส่วนรถเมล์ขอค่าโดยสาร จาก 10 บาท เป็น 12 บาท เนื่องจากน้ำมันดีเซลและก๊าซขึ้นราคา ส่งให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) เดิมราคา 8.50 บาท เพิ่มเป็น 15.50 บาท ทำให้รายได้ไม่พอรายจ่าย และส่งผลให้ผู้ประกอบการรถหมวด 4 ต้องหยุดวิ่งหลายรายแล้ว
 
“โดยการมายื่นขอเสนอในครั้งนี้ ต้องการขอให้ภาครัฐพิจารณาเพิ่มค่าโดยสารให้ภายในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ หากรัฐบาลไม่พิจารณาปรับขึ้นให้ หลังจากนั้น จะมีการออกมาเคลื่อนไหวต่อไป เนื่องจากแบกภาระค่าใช้จ่ายเรื่องค่าพลังงานไม่ไหว รวมถึงสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ผู้ประกอบการรถหมวด 4 ลดลงกว่า 40%” นายบรรยง กล่าว
 
ด้านน.ส.ประภัสสร รังสิโรจน์ นายกสมาคมร้านอาหารไทยและสตรีทฟู้ด เปิดเผยว่า ธุรกิจร้านอาหารสตรีทฟู้ดในตอนนี้ ภาพเหมือนจะฟื้นตัวได้ แต่ก็ยังไม่ได้ฟื้นดีมากเท่าที่ควร เนื่องจากแม้เห็นการเข้ามาทำธุรกิจของพ่อค้าแม่ค้ารายใหม่เพิ่มมากขึ้น แต่ก็เป็นการเข้ามาทดแทนรายเก่าที่เลิกกิจการไปจำนวนมากไม่แตกต่างกัน เพราะทนแบกรับต้นทุนที่ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องแทบทุกรายการไม่ไหว ทำให้รายได้ที่ได้มาคำนวณกับกำไรแล้ว พบว่า กำไรที่ได้รับมาบางเบามาก
 
ทั้งยังมีเรื่องพนักงานและพ่อครัวหรือแม่ครัว ที่ถูกเลิกจ้างไปในช่วงการระบาดโควิด-19 ระลอกที่ผ่านมา และปัจจุบันก็ยังไม่มีการจ้างเข้ามาทดแทน เพราะคนที่ถูกเลิกจ้างไปส่วนใหญ่มีการปรับเปลี่ยนอาชีพทำอย่างอื่นทดแทนแล้ว ทำให้มีปัญหาในหลายทางมาก โดยในเดือนกรกฎาคมนี้ ประเมินแล้วคาดว่า ร้านอาหารต่างๆ จะทยอยปรับขึ้นราคาเมนูอาหารประมาณ 10-20% หรือเริ่มต้นที่ 10 บาทต่อเมนู เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบและพลังงาน โดยเฉพาะราคาน้ำมันพืช และก๊าสหุงต้ม
 
น.ส.ประภัสสร กล่าวว่า วัตถุดิบที่เป็นต้นทุนตอนนี้ปรับขึ้นมากว่า 40% และปรับขึ้นมาเกือบทุกอย่าง รวมถึงหากวัตถุดิบที่ใช้มีคุณภาพสูง ต้นทุนก็จะสูงมากขึ้น แต่หากเราปรับลดคุณภาพวัตถุดิบก็ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค แต่หากยังคงคุณภาพวัตถุดิบเท่าเดิม เราก็สู้ต้นทุนไม่ไหว เพราะทุกอย่างต้องไปควบคู่กัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่