คือเรื่องมันเริ่มจากตอนสัมภาษณ์เขาบอกว่า WFH 50% เราก็แบบ เห้ยก็เอาดิ ตอนส่งสัญญามาให้เซ็นก็ไม่ได้บอกว่า นโยบายบริษัทเปลี่ยนแล้ว พอไปทำงานวันแรก เราได้ยินพี่ พนง.ตอนรับคุยโทรศัพท์ว่า เขาไม่มี WFH แล้ว เราแบบใจแป้วเลยอ่ะ แต่ก็ไม่ได้อะไรมาก พอเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะ คือแบบเป็นโต๊ะประชุมยาวๆ นั่งต่อๆกันมีแค่ที่คั่นตรงกลางจากฝั่งตรงข้าม แล้วนั่งเบียดๆกัน แล้วเป็นโต๊ะแบบนี้ต่อกันไปเรื่อยๆจนถึงทางเข้าค่ะ ทุกแผนกนั่งเหมือนกันหมด ไม่ได้แยกเป็นสัดส่วน แล้วห้องน้ำอยู่ไกลต้องสแกนบัตรออกไปแล้วเดินเลยลิฟต์ไปอีก ซึ่งก็ไกลพอสมควร คือเราไม่เคยเห็นบรรยากาศออฟฟิศมาก่อนเพราะสัมภาษณ์ออนไลน์ แล้วตอนสัมภาษณ์ทุกคนใส่ bg. หมดเลยอ่ะทำให้ไม่เห็นเลยว่าออฟฟิศเป็นยังไง เราได้โต๊ะใกล้ห้องครัว แต่ว่าห้องครัวไม่มีซิงค์ล้างจานถ้าจะล้างมือคือไปห้องน้ำอย่างเดียว แล้วตอนนั่งทำงานก็ไม่มีความเป็นส่วนตัวเลยไม่มีที่กั้นระหว่างกลางหรือเว้นระยะห่าง คนซ้ายจามคนขวาจามตาม เรารู้สึกไม่ค่อยดีเลย เงยหน้ามาเห็น อีก 80 กว่าชีวิตนั่งอยู่ แล้วเราดื่มน้ำค่อนข้างเยอะก็ต้องเดินไปเข้าห้องน้ำ หรือบางทีท้องเสียก็ลำบากเพราะไม่มีสายชำระ แล้วข้างๆโต๊ะที่เรานั่งทำงาน มีซอกที่เขาวางโต๊ะประชุมเล็กๆอ่ะ และแน่นอนว่าพอมีทีมอื่นมาคุยงาน เสียงเข้าเราเต็มๆ แล้วก็เวลาประชุมทุกๆอย่าง ไม่ใช้ห้องประชุมเลย ประชุมออนไลน์ตลอด แล้วถ้าคนข้างๆไม่ได้ประชุม แล้วเขาคุยเล่นกันคือเสียงมันจะดังจนเราฟังประชุมไม่รู้เรื่องเลย จริงๆไม่รู้เรื่องหลายๆอย่างเลย เพราะเสียงค่อนข้างดังทำให้ไม่มีสมาธิเลย เราเลยลองนั่งทำที่บ้าน เอ้าก็เข้าใจนี่หว่า พอเขาสอนงานออนไลน์เราก็อัดคลิปไว้ดูอีกรอบก็ได้ คือก็แม่นยำขึ้น แต่นโยบายตอนนี้ก็คือ ทำที่บริษัท 100% แต่คนหนาแน่นมาก ไม่มีการตกแต่งใดๆ มีแค้ตู้กับล็อกเกอร์เก็บของ ฝั่งหน้าต่างก็ปิดไว้ตลอด นอกจากหน้าแผนกอื่นๆก็ไม่เห็นอะไรเลยอ่ะ หรือว่าเราแค่ปรับตัวไม่ได้ แต่มันแออัดมากอ่ะ รู้สึกอึดอัด ที่เก่าเราทำคือมีโต๊ะส่วนตัว มีฉากกั้น เพราะยังไงถึงไม่มีโควิดก็ต้องระวังโรคอื่นอยู่ดี แต่ที่นี่ไม่มีเลยและคนเยอะมากๆ เราว่าการทำงานที่ออฟฟิศมันเป็นอุปสรรคมากเลย ควรไปต่อหรือพอแค่นี้ ส่วนเรื่องเนื้องานก็พอทำได้นะคล้ายๆแบบเดิมที่เคยทำมา แต่ต้องศึกษาเพิ่ม เราติดแค่สภาพแวดล้อมที่ทำงานเลยอ่ะ เพราะตอนสัมภาษณ์บอกมาทำแค่บางวัน
ทำงานได้ 2 สัปดาห์ แล้วอยากลาออก