แสงอาทิตย์ โดยเฉลี่ยจะมีส่วนผสมของแสง ประมาณนี้
1. แสงที่มองเห็น 44%
2. แสงอินฟราเรด(IR) 53%
3. และแสงยูวี(UV) 3%
ซึ่งความร้อนจะมาพร้อมแสง แยกจากกันไม่ได้ มีแสงคือมีความร้อน
การที่เราติดฟิลม์ไปที่กระจกรถยนต์ ก็เพื่อจะกันแสงออกไปบางส่วน ส่วนที่เราไม่ได้ใช้ เพื่อให้ลดความร้อนที่จะเข้ามาในรถยนต์
ทีนี้ฟิลม์กรองแสง เค้ามีค่าวัดคุณสมบัติของฟิลม์หลักๆ ดังนี้ครับ
1. ป้องกันแสง UV - ค่าเป็น % การป้องกันรังสี UV โดยรวม (บางยี่ห้อทำค่า UV รวมได้ต่ำ เลยแยกค่า UVA, UVB ออกมา เพื่อใช้โฆษณาครับ)
2. ป้องกันแสง IR - ค่าเป็น % การป้องกันรังสี IR โดยรวม (ร้านฟิลม์ชอบเอาค่านี้ไปโฆษณาว่าเป็นค่ากันร้อน ซึ่งจริงๆมันไม่ใช่)
3. ค่าแสงส่องผ่าน (VLT) - อันนี้คือ % แสงที่ตาเรามองเห็นที่ส่องผ่านออกมาได้ ยิ่งแสงผ่านมาได้มากเราก็จะมองเห็นได้ชัด แต่ความร้อนก็จะเข้ามามากด้วย เพราะความร้อนมากับแสงครับ
3.1 ค่าสะท้อนแสง - อันนี้เป็นส่วนนึงของค่าแสงส่องผ่าน คือถ้าแสงส่องผ่านได้เท่ากัน แต่มีค่าสะท้อนแสงสูงกว่าจะกันความร้อนได้ดีกว่า เพราะการสะท้อนแสงคือการสะท้อนความร้อนออกไปเลย แต่การปล่อยให้แสงส่องผ่านได้ คือตัวฟิลม์มันก็อมความร้อนไว้ที่ตัวมันด้วย
เวลาเลือกฟิลม์ดูค่าพวกนี้เท่านั้นครับ ไม่ต้องไปสนใจเบอร์ 40-60-80 หรือค่ากันความร้อนโน้นนั่น เพราะค่าพวกนี้เป็นค่ามาตรฐาน เป็นค่าวัดกลางที่เทียบกันได้ และฟิมล์ทุกรุ่นทุกยี่ห้อที่ผลิตขึ้นมาจะต้องมีการทดสอบค่าเหล่านี้ก่อนนำออกมาขายครับ
ถ้าเปรียบกับรถ ไม่ว่ารถคุณใช้แก๊ส ใช้น้ำมัน ใช้ไฟฟ้า รถญี่ปุน ยุโรป มันก็วัดกันได้ด้วยค่ามาตรฐาน เช่น ความเร็ว อัตราเร่ง(0-100) แรงม้า แรงบิด
ฟิมล์ก็เหมือนกันครับ ค่าพวกนี้เป็นค่ามาตรฐานใช้วัดกับฟิลม์ได้ทุกชนิด ทุกรุ่น ทุกยี่ห้อ วัดเทียบกันได้หมด
ทีนี้ถ้าคุณจะเลือกฟิลม์ ณ ปัจจุบัน ให้เลือกตามแบบนี้ครับ (ไม่เกี่ยงว่าจะ เซรามิค ปรอท หรือฟิลม์สี)
1. ค่า UV - ตอนนี้ต้องป้องกันได้ 99% ซึ่งเป็นมาตรฐานของทุกรุ่นทุกยี่ห้อตอนนี้อยู่แล้ว
2. ค่า IR - อันนี้ยิ่งสูงยิ่งดีครับ 99% ได้ยิ่งดี เพราะแสดง IR ตาเรามองไม่เห็นอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ ฟิมล์ที่กัน IR ได้สูงๆ จะแพงครับ
3. ค่า VLT (แสงส่องผ่าน) - อันนี้ตรงตัว คือแสงผ่านเยอะร้อน แสงผ่านน้อยเย็น ไม่ต้องไปดูเบอร์ดูเกรดฟิมล์อะไรเลยครับ ดูค่านี้ตัวเดียว ยิ่ง VLT น้อยเย็นแน่นอน
3.1. ค่า สะท้อนแสง - อันนี้ดูสำหรับใช้ชี้วัดความร้อนที่จะอมอยู่ที่กระจกหรือฟิมล์ครับ คือถ้าฟิมล์ที่มีค่าสะท้อนแสงเยอะ มันจะอมความร้อนน้อยกว่า ทำให้ตัวกระจกเราร้อนน้อยกว่า (แต่ไม่เกี่ยวกับความร้อนจากแสงที่เข้ามานะครับ อันนั้นดูที่ค่า VLT)
ค่า VLT ที่แนะนำสำหรับกระจกบานหน้า คือ
- ถ้าต้องการกันร้อนสูงสุด ค่า VLT บานหน้าไม่ควรต่ำกว่า 20% ครับ เพราะต่ำกว่านี้อันตราย คุณจะมองไม่เห็นวัตถุบางอย่างในตอนกลางคืนที่แสงน้อย
- ถ้าเน้นมองชัดตอนกลางคืน ค่า VLT สำหรับบานหน้าไม่ควรต่ำกว่า 35% ครับ
สำหรับบานข้าง ค่า VLT แล้วแต่ชอบเลยครับ
ถ้าชอบแบบข้างนอกมองไม่เห็นในรถเลย ต้องใช้ VLT ประมาณ 5% ครับ ถ้ามากกว่านี้ก็จะมองเห็นข้างในรถได้อยู่
ส่วนเรื่อง อื่นๆคุณแทบไม่ต้องไปดูมันก็ได้ครับ พวกคำโฆษณาที่คนขายชอบเอามาบิดให้ผิดประเด็น เช่น
- ฟิลม์ปรอท ฟิลม์เซรามิค
อันนี้ต่างกันที่วัสดุที่ใช้ผลิตฟิลม์ครับ ซึ่งถ้าเป็นเซรามิคมันจะไม่กั้นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ทำให้พวกอุปกรณ์ที่ใช้คลื่นต่างๆสามารถส่งคลื่นผ่านกระจกได้ แต่ถ้าเป็นปรอท นอกจากมันจะกันแสงแล้วมันยังกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้อีก ทำให้อุปกรณ์ที่ใช้คลื่นความถี่ต่างๆ ส่งคลื่นผ่ากระจกแล้วโดยลดทอนสัญญาณลงไปแบบเดียวกับที่แสงครับ
แต่ไม่ว่าฟิมล์ปรอท หรือฟิมล์เซรามิค มันก็วัดค่าได้ตามค่าที่บอกไปก่อนหน้านี้ได้ทุกตัว และสามารถเอามาเทียบกันได้ครับ
- ฟิลม์ผลิตในอเมริกา
อันนี้คือแทบทุกยี่ห้อผลิตในอเมริกาหมดครับ ยี่ห้อถูกๆก็ผลิตในอเมริกาครับ เพราะอุตสาหกรรมผลิตฟิลม์ติดกระจกของโลกอยู่ในอเมริกา 90%+++
- ฟิมล์ถูกแพง ต่างกันตรงไป???
ถ้าไม่นับค่าการตลาด ฟิมล์ถูกแพง มันจะต่างกันตรงปัจจัยพวกนี้ครับ
1 ความหนาของเนื้อฟิมล์ - ยิ่งเทคโนโลยีการผลิตดียิ่งทำได้บางและเหนียวนิ่ม เทคโนโลยีไม่ดีฟิลม์จะหนาและแข็ง แต่พวกความหนาเนื้อฟิมล์มันไม่มีผลเท่าไหร่กับการใช้งาน มันมีผลกับการติดตั้งมากกว่า ยิ่งหนาและแข็งจะติดยาก ซึ่งตรงนี้คนซื้อไม่เกี่ยวเพราะฟิลม์ในไทยเราซื้อพร้อมติดตั้งกันหมด น้อยมากๆที่จะซื้อไปติดกันเอง
2 ความทนทานของวัสดุที่ใช้ทำฟิลม์ - อันนี้ถ้าเจอฟิลม์ถูกมาก คุณภาพวัสดุไม่ดีมันก็จะเสื่อมเร็ว คือตอนผลิตมาใหม่ๆมันก็กันแสงได้ดีตามสเปค แต่พอใช้ไปมันก็จะเสื่อม ความสามารถในการกันแสงก็จะลดลง
3 คุณภาพของชั้นกาว - อันนี้คือถ้าใช้กาวไม่ดี มันก็จะมีอาการพองเป็นฟองอากาศง่าย, เนื้อกาวแยกจากชั้นฟิมล์ทำให้ตอนลอกทิ้งลอกยาก, แล้วก็ถ้าเเนื้อกาวไม่ดีมันจะทำให้ฟิมล์ดูมัวๆนิดๆไม่มองแล้วไม่คมชัด
- ยี่ห้อของฟิมล์มีผลไหม
แทบไม่มีผลนะครับ เพราะบางทีฟิมล์เกรดเดียวกัน วัสดุแบบเดียวกัน ผลิตโรงงานเดียวกัน แต่ตียี่ห้อมาคนละยี่ห้อ ก็เอามาขายต่างกัน
ถ้าจะดู ให้ดูว่ายี่ห้อไหนขายดีและหมุนเวียนฟิลม์เร็วจะดีกว่าครับ เพราะฟิมล์มันมีอายุของวัสดุที่มันจะเสื่อมไปตามเวลา
ยี่ห้อที่ขายเร็วๆ ขายดีๆ ฟิมล์เค้าก็จะหมุนเวียนเข้ามาเร็ว ทำให้เวลาเราไปติดจะได้ฟิมล์ใหม่ๆ อายุการใช้งานก็จะได้เต็มที่
แต่ถ้าไปติดยี่อห้อที่ขายไม่ดีฟิมล์หมุนเวียนช้า กว่าเราจะไปติดบางทีฟิมล์ผลิตมาหลายปีแล้วครับ มันก็เริ่มเสื่อมไปแล้วครับ
วิธีเลือกฟิลม์ติดรถยนต์
1. แสงที่มองเห็น 44%
2. แสงอินฟราเรด(IR) 53%
3. และแสงยูวี(UV) 3%
ซึ่งความร้อนจะมาพร้อมแสง แยกจากกันไม่ได้ มีแสงคือมีความร้อน
การที่เราติดฟิลม์ไปที่กระจกรถยนต์ ก็เพื่อจะกันแสงออกไปบางส่วน ส่วนที่เราไม่ได้ใช้ เพื่อให้ลดความร้อนที่จะเข้ามาในรถยนต์
ทีนี้ฟิลม์กรองแสง เค้ามีค่าวัดคุณสมบัติของฟิลม์หลักๆ ดังนี้ครับ
1. ป้องกันแสง UV - ค่าเป็น % การป้องกันรังสี UV โดยรวม (บางยี่ห้อทำค่า UV รวมได้ต่ำ เลยแยกค่า UVA, UVB ออกมา เพื่อใช้โฆษณาครับ)
2. ป้องกันแสง IR - ค่าเป็น % การป้องกันรังสี IR โดยรวม (ร้านฟิลม์ชอบเอาค่านี้ไปโฆษณาว่าเป็นค่ากันร้อน ซึ่งจริงๆมันไม่ใช่)
3. ค่าแสงส่องผ่าน (VLT) - อันนี้คือ % แสงที่ตาเรามองเห็นที่ส่องผ่านออกมาได้ ยิ่งแสงผ่านมาได้มากเราก็จะมองเห็นได้ชัด แต่ความร้อนก็จะเข้ามามากด้วย เพราะความร้อนมากับแสงครับ
3.1 ค่าสะท้อนแสง - อันนี้เป็นส่วนนึงของค่าแสงส่องผ่าน คือถ้าแสงส่องผ่านได้เท่ากัน แต่มีค่าสะท้อนแสงสูงกว่าจะกันความร้อนได้ดีกว่า เพราะการสะท้อนแสงคือการสะท้อนความร้อนออกไปเลย แต่การปล่อยให้แสงส่องผ่านได้ คือตัวฟิลม์มันก็อมความร้อนไว้ที่ตัวมันด้วย
เวลาเลือกฟิลม์ดูค่าพวกนี้เท่านั้นครับ ไม่ต้องไปสนใจเบอร์ 40-60-80 หรือค่ากันความร้อนโน้นนั่น เพราะค่าพวกนี้เป็นค่ามาตรฐาน เป็นค่าวัดกลางที่เทียบกันได้ และฟิมล์ทุกรุ่นทุกยี่ห้อที่ผลิตขึ้นมาจะต้องมีการทดสอบค่าเหล่านี้ก่อนนำออกมาขายครับ
ถ้าเปรียบกับรถ ไม่ว่ารถคุณใช้แก๊ส ใช้น้ำมัน ใช้ไฟฟ้า รถญี่ปุน ยุโรป มันก็วัดกันได้ด้วยค่ามาตรฐาน เช่น ความเร็ว อัตราเร่ง(0-100) แรงม้า แรงบิด
ฟิมล์ก็เหมือนกันครับ ค่าพวกนี้เป็นค่ามาตรฐานใช้วัดกับฟิลม์ได้ทุกชนิด ทุกรุ่น ทุกยี่ห้อ วัดเทียบกันได้หมด
ทีนี้ถ้าคุณจะเลือกฟิลม์ ณ ปัจจุบัน ให้เลือกตามแบบนี้ครับ (ไม่เกี่ยงว่าจะ เซรามิค ปรอท หรือฟิลม์สี)
1. ค่า UV - ตอนนี้ต้องป้องกันได้ 99% ซึ่งเป็นมาตรฐานของทุกรุ่นทุกยี่ห้อตอนนี้อยู่แล้ว
2. ค่า IR - อันนี้ยิ่งสูงยิ่งดีครับ 99% ได้ยิ่งดี เพราะแสดง IR ตาเรามองไม่เห็นอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ ฟิมล์ที่กัน IR ได้สูงๆ จะแพงครับ
3. ค่า VLT (แสงส่องผ่าน) - อันนี้ตรงตัว คือแสงผ่านเยอะร้อน แสงผ่านน้อยเย็น ไม่ต้องไปดูเบอร์ดูเกรดฟิมล์อะไรเลยครับ ดูค่านี้ตัวเดียว ยิ่ง VLT น้อยเย็นแน่นอน
3.1. ค่า สะท้อนแสง - อันนี้ดูสำหรับใช้ชี้วัดความร้อนที่จะอมอยู่ที่กระจกหรือฟิมล์ครับ คือถ้าฟิมล์ที่มีค่าสะท้อนแสงเยอะ มันจะอมความร้อนน้อยกว่า ทำให้ตัวกระจกเราร้อนน้อยกว่า (แต่ไม่เกี่ยวกับความร้อนจากแสงที่เข้ามานะครับ อันนั้นดูที่ค่า VLT)
ค่า VLT ที่แนะนำสำหรับกระจกบานหน้า คือ
- ถ้าต้องการกันร้อนสูงสุด ค่า VLT บานหน้าไม่ควรต่ำกว่า 20% ครับ เพราะต่ำกว่านี้อันตราย คุณจะมองไม่เห็นวัตถุบางอย่างในตอนกลางคืนที่แสงน้อย
- ถ้าเน้นมองชัดตอนกลางคืน ค่า VLT สำหรับบานหน้าไม่ควรต่ำกว่า 35% ครับ
สำหรับบานข้าง ค่า VLT แล้วแต่ชอบเลยครับ
ถ้าชอบแบบข้างนอกมองไม่เห็นในรถเลย ต้องใช้ VLT ประมาณ 5% ครับ ถ้ามากกว่านี้ก็จะมองเห็นข้างในรถได้อยู่
ส่วนเรื่อง อื่นๆคุณแทบไม่ต้องไปดูมันก็ได้ครับ พวกคำโฆษณาที่คนขายชอบเอามาบิดให้ผิดประเด็น เช่น
- ฟิลม์ปรอท ฟิลม์เซรามิค
อันนี้ต่างกันที่วัสดุที่ใช้ผลิตฟิลม์ครับ ซึ่งถ้าเป็นเซรามิคมันจะไม่กั้นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ทำให้พวกอุปกรณ์ที่ใช้คลื่นต่างๆสามารถส่งคลื่นผ่านกระจกได้ แต่ถ้าเป็นปรอท นอกจากมันจะกันแสงแล้วมันยังกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้อีก ทำให้อุปกรณ์ที่ใช้คลื่นความถี่ต่างๆ ส่งคลื่นผ่ากระจกแล้วโดยลดทอนสัญญาณลงไปแบบเดียวกับที่แสงครับ
แต่ไม่ว่าฟิมล์ปรอท หรือฟิมล์เซรามิค มันก็วัดค่าได้ตามค่าที่บอกไปก่อนหน้านี้ได้ทุกตัว และสามารถเอามาเทียบกันได้ครับ
- ฟิลม์ผลิตในอเมริกา
อันนี้คือแทบทุกยี่ห้อผลิตในอเมริกาหมดครับ ยี่ห้อถูกๆก็ผลิตในอเมริกาครับ เพราะอุตสาหกรรมผลิตฟิลม์ติดกระจกของโลกอยู่ในอเมริกา 90%+++
- ฟิมล์ถูกแพง ต่างกันตรงไป???
ถ้าไม่นับค่าการตลาด ฟิมล์ถูกแพง มันจะต่างกันตรงปัจจัยพวกนี้ครับ
1 ความหนาของเนื้อฟิมล์ - ยิ่งเทคโนโลยีการผลิตดียิ่งทำได้บางและเหนียวนิ่ม เทคโนโลยีไม่ดีฟิลม์จะหนาและแข็ง แต่พวกความหนาเนื้อฟิมล์มันไม่มีผลเท่าไหร่กับการใช้งาน มันมีผลกับการติดตั้งมากกว่า ยิ่งหนาและแข็งจะติดยาก ซึ่งตรงนี้คนซื้อไม่เกี่ยวเพราะฟิลม์ในไทยเราซื้อพร้อมติดตั้งกันหมด น้อยมากๆที่จะซื้อไปติดกันเอง
2 ความทนทานของวัสดุที่ใช้ทำฟิลม์ - อันนี้ถ้าเจอฟิลม์ถูกมาก คุณภาพวัสดุไม่ดีมันก็จะเสื่อมเร็ว คือตอนผลิตมาใหม่ๆมันก็กันแสงได้ดีตามสเปค แต่พอใช้ไปมันก็จะเสื่อม ความสามารถในการกันแสงก็จะลดลง
3 คุณภาพของชั้นกาว - อันนี้คือถ้าใช้กาวไม่ดี มันก็จะมีอาการพองเป็นฟองอากาศง่าย, เนื้อกาวแยกจากชั้นฟิมล์ทำให้ตอนลอกทิ้งลอกยาก, แล้วก็ถ้าเเนื้อกาวไม่ดีมันจะทำให้ฟิมล์ดูมัวๆนิดๆไม่มองแล้วไม่คมชัด
- ยี่ห้อของฟิมล์มีผลไหม
แทบไม่มีผลนะครับ เพราะบางทีฟิมล์เกรดเดียวกัน วัสดุแบบเดียวกัน ผลิตโรงงานเดียวกัน แต่ตียี่ห้อมาคนละยี่ห้อ ก็เอามาขายต่างกัน
ถ้าจะดู ให้ดูว่ายี่ห้อไหนขายดีและหมุนเวียนฟิลม์เร็วจะดีกว่าครับ เพราะฟิมล์มันมีอายุของวัสดุที่มันจะเสื่อมไปตามเวลา
ยี่ห้อที่ขายเร็วๆ ขายดีๆ ฟิมล์เค้าก็จะหมุนเวียนเข้ามาเร็ว ทำให้เวลาเราไปติดจะได้ฟิมล์ใหม่ๆ อายุการใช้งานก็จะได้เต็มที่
แต่ถ้าไปติดยี่อห้อที่ขายไม่ดีฟิมล์หมุนเวียนช้า กว่าเราจะไปติดบางทีฟิมล์ผลิตมาหลายปีแล้วครับ มันก็เริ่มเสื่อมไปแล้วครับ