โมเดลพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ “BCG Model” 4 เป้าหมายสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

    โมเดลพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ “BCG Model” 
    4 เป้าหมายสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

    สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาวพันทิปที่สนใจแวดวงอุตสาหกรรม หลังจากไม่ค่อยได้อัปเดตข่าวสารด้านนี้ กันสักพัก กระทู้นี้ผมขอเล่าถึงภาพรวมของการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมช่วงนี้กันสักหน่อย จะเห็นได้ว่าการแข่งขันในปัจจุบันจะมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และนวัตกรรม มากยิ่งขึ้น ยิ่งเมื่อโลกของเราต้องเจอกับวิกฤตการณ์โควิด-19 แต่ละประเทศก็ยิ่งต้องเร่งการขับเคลื่อนด้วยการหาโมเดลพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ๆ ใน การผลักดันประเทศ แล้วบ้านเราล่ะ คุณเคยสงสัยไหมว่ามีทิศทางเป็นอย่างไร?

    รัฐบาลได้กำหนดโมเดลพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ บนพื้นฐานเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว เรียกว่า “BCG Model” โดยยกเป็น “วาระแห่งชาติ” กันเลยทีเดียว โดยกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะหน่วยงานหลักในการส่งเสริมและสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมด้วยการนำแนวทาง “BCG Model” มาเพิ่มมูลค่าและขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม ตั้งแต่ระดับเอสเอ็มอีจนถึงอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ 

  “BCG Model” คืออะไร?
  “BCG Model” ประกอบด้วย “B” คือ Bio Economy เป็นการนำทรัพยากรชีวภาพมาผลิตใช้อย่างคุ้มค่า พัฒนาให้เป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย “C” คือ Circular Economy เป็นการใช้ทรัพยากรต่างๆ อย่างคุ้มค่า ลดของเสีย สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ได้ และ “G” คือ Green Economy เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่กับการดูแลรักษาสังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล

    โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้กำหนดเป้าหมายการขับเคลื่อนนโยบาย BCG ไว้ 4 ด้านคือ 
      1. สร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ 
      2. สร้างความมั่งคงทางสังคม 
      3. สร้างความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม 
      4. ตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืน ภายใต้คอนเซ็ปต์ภาคอุตสาหกรรมนำไปใช้ประโยชน์ในองค์กรและเกิดประโยชน์สูงสุด

    “กระทรวงฯ ได้นำนโยบายการพัฒนา BCG Model มาใช้ในภาคอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มมูลค่าและขีดความสามารถในการแข่งขัน ลดของเสียโดยบริหารจัดการทรัพยากรภายในสถานประกอบการให้เกิดประโยชน์สูงสุด และสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งการดำเนินโครงการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนตามแนวคิด BCG เป็นการเปิดโอกาสให้สถานประกอบการได้รับการส่งเสริมและพัฒนาให้มีประสิทธิภาพ ลดต้นทุนการผลิต สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ และกิจการเติบโตได้อย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนนโยบาย BCG Model ของกระทรวงอุตสาหกรรมด้วย” นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าว

เป้าหมายและกลไกการขับเคลื่อน “BCG Model” จะตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals – SDGs) 14 เป้าหมาย ใน 17 เป้าหมาย ที่ครอบคลุมมิติการพัฒนาคน เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม 

    โดยการขับเคลื่อน BCG Model จะมุ่งเน้น 3 ด้านอย่างที่ได้เกริ่นไว้ข้างต้น และมีรายละเอียดเพิ่มเติมดังนี้ 

    ด้านเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy : BE) 
    กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ เกษตร อาหาร ยาและการแพทย์ พลังงานชีวภาพ เคมีชีวภาพ และพลาสติกชีวภาพ ในปี 2565 กำหนดเป้าหมายการขับเคลื่อนอัตราการเติบโตอุตสาหกรรมชีวภาพเพิ่มขึ้น 3% และมูลค่าการลงทุนอุตสาหกรรมชีวภาพเพิ่มขึ้น 30,000 ล้านบาท และในปี 2570 มีอัตราการเติบโตอุตสาหกรรมชีวภาพเพิ่มขึ้น 10% และมูลค่าการลงทุนอุตสาหกรรมชีวภาพเพิ่มขึ้นสะสม 190,000 ล้านบาท  

    โดยมีแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio-Economy) ปี 2565 อาทิ
    1. การเพิ่มผลิตภาพการผลิตอ้อย (Productivity) เพื่อลดต้นทุนการผลิต เพิ่มผลผลิตและเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรชาวไร่อ้อย รวมทั้งผลักดันและส่งเสริมให้มีการใช้เทคโนโลยีและเครื่องจักรกลการเกษตรเพื่อทดแทนแรงงานคน เพิ่มศักยภาพในการผลิตอ้อยให้แก่เกษตรกรชาวไร่อ้อยโดยการถ่ายทอดองค์ความรู้และนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการอ้อยและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยตั้งแต่การส่งเสริมพันธุ์อ้อย การบริหารจัดการอ้อย เครื่องจักรกลการเกษตร การป้องกันโรคและแมลงศัตรูอ้อย ดิน น้ำ ปุ๋ย ของเกษตรกรชาวไร่อ้อย ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
   โดยคาดว่าจะส่งผลให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยมีรายได้เพิ่มสูงขึ้น มีความมั่นคงในอาชีพการทำไร่ มีการเก็บเกี่ยวอ้อยสด ลดการเผาอ้อย และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ 1,000 ล้านบาท เพิ่มมูลค่าทางสิ่งแวดล้อม 1,000 ล้านบาท

   2.การพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมชีวภาพ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาสถานประกอบการและบุคลากร ในกลุ่มอุตสาหกรรมชีวภาพ ส่งเสริมและพัฒนา/ต่อยอดให้เกิดผลิตภัณฑ์ต้นแบบใหม่ ด้วยเทคโนโลยีชีวภาพและเตรียมความพร้อมสถานประกอบการสู่อุตสาหกรรมชีวภาพผ่านกลไกของการเชื่อมโยงเครือข่ายอุตสาหกรรมมีเป้าหมายเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ 1,000 ล้านบาท และส่งผลให้อุตสาหกรรมเป้าหมายได้รับการพัฒนา เพื่อเพิ่มศักยภาพและมีการผลิตผลิตภัณฑ์ต้นแบบเชิงเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่พัฒนามีศักยภาพเชิงพาณิชย์ เพื่อสร้างโอกาสในการทดแทนในการนำเข้า  ส่งเสริมการจ้างงานเพิ่มรายได้ให้กับคนในชุมชน หรือผู้ว่างงาน ลดปัญหาความยากจน ประมาณการมูลค่าเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท/ปี ลดปริมาณของวัตถุดิบเสียทิ้ง มาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ประมาณการมูลค่าเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 20 ล้านบาท/ปี 

    ด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy : CE)  
    กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ พลาสติก ยางรถยนต์ วัสดุก่อสร้าง เหล็กและโลหะอื่นๆ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เซลล์แสงอาทิตย์ และแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า และในปี 2565 กำหนดเป้าหมายขับเคลื่อน เกิดอุตสาหกรรมแบบพึ่งพา (Industrial Symbiosis) ใน 5 พื้นที่อุตสาหกรรม (นิคมอุตสาหกรรมหนองแค นิคมอุตสาหกรรมอาร์ไอแอล ท่าเรือมาบตาพุด นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย)  และนำข้อมูลกากอุตสาหกรรมเข้าสู่ระบบให้ครบ 100% โดยในขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำระบบ E-Fully Manifest สำหรับกากอุตสาหกรรมที่ไม่อันตราย โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในปีงบประมาณ 2565  ในปี 2570 เกิดอุตสาหกรรมแบบพึ่งพา (Industrial Symbiosis) เพิ่มเป็น 15 พื้นที่อุตสาหกรรม และมีการนำกากอุตสาหกรรมไปใช้ประโยชน์ 90% 

    ด้านเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy : GE) 
    กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายในทุกสาขาอุตสาหกรรม ในปี 2565 กำหนดเป้าหมายขับเคลื่อน โรงงานเข้า       สู่อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry : GI) 60% ประมาณ 39,223 โรงงาน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 1.22 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และในปี 2570 โรงงานเข้าสู่อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) 100% และมากกว่า 50% ได้รับเครื่องหมายอุตสาหกรรมสีเขียว (GI) ระดับ 3 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 2.30 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

    และมีผลการดำเนินงานตามเป้าหมายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ปี 2565 ที่สำคัญ ได้แก่ การปรับระบบการดำเนินงานป้ายข้อมูลยานยนต์ตามมาตรฐานสากล (Eco Sticker) เพื่อการให้บริการที่ทันสมัย และเอื้อให้เกิดการพัฒนาไปสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์สมัยใหม่ เพื่อปรับปรุงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของ Eco Sticker จำนวน ๓ ระบบ ได้แก่ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และยางรถยนต์ ให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง รวมทั้งเกิดการทำงานประสานความร่วมมือและข้อมูลของหน่วยงานภาครัฐอื่นทั้งภายในและภายนอกได้อย่างบูรณาการ พัฒนาและปรับปรุงระบบการรับและตรวจสอบเอกสารประกอบการพิจารณาการนำเข้าชิ้นส่วนยานยนต์ ภายใต้กรอบการค้า อาทิ JTEPA เพื่อเชื่อมโยงกับระบบ Eco Sticker ให้ใช้งานได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ และนำเทคโนโลยีเพื่อประมวลผลสำหรับการตรวจสอบข้อมูลของทั้งสามผลิตภัณฑ์ รวมทั้งการนำข้อมูลในระบบ Eco Sticker วิเคราะห์และแสดงผลในรูปแบบของ Dash Board 

     โครงการดังกล่าวส่งผลให้ภาครัฐจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเฉพาะของรถยนต์ได้ ส่งเสริมให้เกิดการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าและยานยนต์สมัยใหม่ที่มีคุณสมบัติ “สะอาด ประหยัด และปลอดภัย” สามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ 133,000 ล้านบาท

     โครงการดังกล่าวส่งผลให้ภาครัฐจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเฉพาะของรถยนต์ได้ ส่งเสริมให้เกิดการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าและยานยนต์สมัยใหม่ที่มีคุณสมบัติ “สะอาด ประหยัด และปลอดภัย” สามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ 133,000 ล้านบาท

      เห็นได้ว่า กระทรวงอุตสาหกรรมให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจรูปแบบใหม่โดยใช้ “BCG Model” ซึ่งสอดประสานไปกับ “ไทยแลนด์ 4.0” ที่เน้นย้ำการนำเทคโนโลยี และนวัตกรรมมาใช้ในการดำเนินธุรกิจอย่างมีศักยภาพ และมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์การพัฒนาอย่างยั่งยืน ในอนาคตอันใกล้เมื่อโควิดเข้าสู่โรคประจำถิ่นแล้ว ความตรึงเครียดจากมาตรการต่างๆ ก็น่าจะค่อยๆ ผ่อนคลายลงไป ในอนาคตอันใกล้ก็ไม่ยากนักที่ภาคอุตสากรรมไทยจะมีโอกาสก้าวขึ้นสู่ผู้นำการแข่งขันในตลาดโลกต่อไป ก็ขอบขอบคุณชาวพันทิปที่ให้ความสนใจ และขอบคุณภาพและข้อมูลจาก “กระทรวงอุตสาหกรรม” และ “ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย” (SME Bank) ด้วยครับอมยิ้ม36
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่