ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่เรามักคุ้นหูกับคำว่า ‘ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ’ ทั้ง ๆ ที่สามจังหวัดนั้นก็ยังอยู่บนแผนที่ประเทศไทย แต่ไฉนกลับให้ความรู้สึกเหินห่าง ไม่รู้จัก ไม่น่าไป ไม่ปลอดภัย...เผลอ ๆ คนไทยจะรู้จักเกาหลีใต้มากกว่าสามจังหวัดชายแดนใต้อีกกระมัง
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเห็นข่าวที่เผยแพร่อยู่เนือง ๆ ทางสังคมออนไลน์ช่องทางต่าง ๆ นำมาซึ่งความหวาดหวั่น ภาพเสียงคำบรรยายที่น่าขยาด พร้อมกับอาการถอนหายใจอย่างโล่งอกของหลาย ๆ คน...โชคดีนะ ที่เราไม่ได้อยู่ตรงนั้น
แล้วตรงนั้น...มันต่างกับตรงนี้เช่นไร ?
ผู้คนอยู่กันอย่างหวาดหวั่น วัน ๆ ต้องคอยวิ่งหลบระเบิดหรือเปล่า ?
คำถามเหล่านี้เวียนวนในความคิดหลายปีต่อหลายปี ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จำได้ดีว่าตอนเด็ก ๆ เคยเห็นภาพของสามจังหวัดนั้นในนิตยสารอสท. ภาพธรรมชาติบริสุทธิ์ วัฒนธรรมที่หลากหลาย อาหารหน้าตาแปลกตากลายเป็นภาพที่ทำให้ประทับใจตั้งแต่แรกพบ...น่าเสียดาย ที่น้อยคนนักจะได้ไปสัมผัสกับสิ่งเหล่านั้น ราวกับว่าเขตแดนนั้นเป็นเขตหวงห้าม
เวลาผันผ่าน อะไร ๆ ก็เปลี่ยนแปลง แม้จะไม่ได้ดีทันตาเห็น แต่ก็อาจจะดีขึ้นกว่าเมื่อวาน...และหวังว่าจะดีขึ้นในทุกวัน เมื่อช่วงเวลาคล้ายกับการเปิดการท่องเที่ยวมาถึงอย่างเป็นทางการ ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง ของอำเภอเบตงที่ทำให้ฮือฮาไปทั่วประเทศ ส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยรอบได้เป็นอย่างดี ทัวร์ที่เต็มแล้วเต็มอีก โดยเฉพาะเทศกาล
ในเมื่อคนอื่นไปกันแล้ว...เราจะพลาดได้ยังไง ?
เอาล่ะ...เกริ่นมายาวขนาดนี้ พร้อมแล้วหรือยัง ขออาสาเป็นหนึ่งในคนที่นำคุณไปสัมผัสกับ 2 ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ (บวกสงขลานิดหน่อย)...ที่ไม่ได้มีดีแค่อำเภอเบตงอย่างแน่นอน
Day 1 : สงขลา-ปัตตานี-เบตง
จากกรุงเทพฯ บินมาลงที่สนามบินหาดใหญ่ อันที่จริงหากจองไปลงสนามบินนราธิวาสจะใกล้กว่า แต่ด้วยความที่ทัวร์ท้องถิ่นเริ่มต้นจากหาดใหญ่ และเที่ยวบินไปยังนราธิวาสมีให้เลือกไม่หลากหลาย เราจึงต้องต่อรถตู้อีกเกือบสี่ชั่วโมงเพื่อมุ่งสู่จุดหมายปลายทางที่เฝ้ารอ
จากหาดใหญ่เป็นถนนลาดปูนอย่างดี ขับตรงมาเรื่อย ๆ ยังไม่ค่อยมีโค้งสักเท่าไหร่ ยะลายังไม่ใช่ปลายทางแรกของเราในวันนี้ เพราะตั้งใจแล้วว่าเราจะแวะไปที่จังหวัดปัตตานีกันก่อน...แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว ภาพข่าวเก่า ๆ ปนเปกับภาพการท่องเที่ยวผสมผสานไหลเทกันมาเรื่อย ๆ เรานั่งรถมองวิวเพลิน ๆ ใจเต้นตึกตักเพราะจินตนาการไม่ออกว่าปัตตานีจะเป็นเช่นไร
จนในที่สุดรถก็เลี้ยวเข้ามาจอดที่จุดแรก ‘สุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว’ จุดนี้ไม่ใช่จุดเดียวกับ ‘ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว’ ที่เราจะไปต่อ ตรงจุดนี้คือจุดที่เชื่อว่าเนินดินข้างหลังคือที่ฝังร่างของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว (ประวัติโดยย่อที่รับฟังมา โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน : พี่ชายของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเดินทางมาที่นี่ หายตัวจากบ้านมานาน เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวซึ่งเป็นน้องสาวจึงออกเดินทางมาตามหา พอมาพบก็ขอร้องให้กลับ แต่พี่ชายไม่ยอมกลับ เจ้าแม่จึงจึงทำอัตวินิฆาตกรรมอยู่ ณ ที่แห่งนี้)
ที่สุสานฯ จะมีชุดเครื่องไหว้ให้เลือก ว่าต้องการชุดใหญ่ ชุดเล็กแค่ไหน หลังจากไหว้เสร็จ เราสามารถเดินชมบรรยากาศรอบ ๆ โดยเฉพาะเนินเดินข้างหลัง ซึ่งมีต้นไม้ขึ้นปกคลุม และต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ทำให้บรรยากาศโดยรอบร่มรื่นไม่น้อย
ติดกับสุสานฯคือมัสยิดชื่อดังของปัตตานี ภาพของ ‘มัสยิดกรือเซะ’ ที่เห็นตามข่าวบ่อย ๆ มักเป็นไปในแง่ลบ และดูน่าหวาดกลัว ทว่าในวันที่เราได้เข้าไปเยี่ยมเยียน ณ มัสยิดแห่งนี้ เราพบคุณลุงที่ทำหน้าที่กวาดพื้นอย่างสงบเงียบ แมวตัวหนึ่งนอนหลับอยู่ที่พื้นทางเดินอย่างมีความสุข และผู้เฝ้ามัสยิดที่ยิ้มแย้มแจ่มใสเชื้อเชิญให้คนต่างศาสนาอย่างเราเข้าไปทำความรู้จัก
ที่แห่งนี้สงบ ร่มเย็น และศานติ์สุข ไม่ต่างอะไรกับศานสถานของที่อื่น
ความต่างของศาสนา ความไม่เหมือนของความเชื่อ ศรัทธา ทำให้เราต้องทะเลาะกัน จนอยากเอาชีวิตของอีกฝ่ายเชียวหรือ ?
ด้านหน้าของมัสยิดมีบ่อน้ำให้คนชำระล้างร่างกายก่อนเข้าประกอบพิธี ในมัสยิดมีพื้นที่นั่งสำหรับแบ่งแยกชาย-หญิงตามความเชื่อทางศาสนา ตัวมัสยิดทำจากหินที่สัมผัสแล้วให้ความรู้สึกชื่นเย็น ยามที่ได้เดินเท้าเปล่าย่ำไปทุกตาราง เราสัมผัสได้ถึงความศรัทธา แม้จะมีกระแสข่าวหลายทิศทางไม่น้อย หลายตำนานบอกเล่า แต่ ณ วันนั้นที่เราได้ไปยืนอยู่ตรงนั้น เฝ้ามองท้องฟ้าที่เป็นผืนเดียวกัน ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว...
ไม่เหมือนข่าวเลยสักนิด...หากมีโอกาส อยากให้ทุกคนได้ลองเดินทางไป สัมผัสด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าของตัวเอง
ขับเข้ามาใจกลางเมืองของปัตตานี เราได้มีโอกาสแวะไปชมที่ ‘มัสยิดกลางปัตตานี’ ช่วงที่ไปมีการประกอบพิธีละหมาดอยู่ และที่นี่ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้า เราจึงได้แต่เดินชมอยู่รอบ ๆ บรรยากาศร่มรื่นไม่ต่างจากที่อื่น ต้นปาล์มที่ปลูกไว้ชูต้นไสว ราวกับอยู่ต่างประเทศก็ไม่ปาน จุดถ่ายรูปด้านนอกก็สวยงามไม่แพ้กัน
จากมัสยิดกลางฯ เราแวะไปที่ ‘บ้านขุนพิทักษ์รายา’ ที่นี่เป็นบ้านของคหบดีเก่า มีการจัดวางสิ่งของให้ใกล้เคียงกับตำแหน่งเดิมมากที่สุด มีทั้งของเก่า และร่วมสมัย เดินเข้ามาในบ้านมีสองชั้น แต่อากาศไม่ร้อนเลยสักนิด ด้วยภูมิปัญญาของการสร้างบ้าน เจาะช่องแสง ช่องลมของคนสมัยก่อน ทำให้ไม่จำเป็นต้องติดเครื่องปรับอากาศเหมือนบ้านในปัจจุบัน นอกจากจะมีประวัติ และแนวคิดเพื่อการอนุรักษ์ที่น่าประทับใจแล้ว พี่ที่เฝ้าบ้านยังเล่าให้ฟังว่า บ้านหลังนี้ยังมีเจ้าของกลับมาอยู่จริงอีกด้วย
เรียกว่า...ร่วมสมัยคงไม่ผิดมากนัก
ไม่ไกลจากบ้านขุนฯ ยังเป็นที่ตั้งของ ‘บ้านเลขที่ 5’ ซึ่งเป็นบ้านของครอบครัวชาวจีนในสมัยก่อนที่ยังคงมีการอนุรักษ์ไว้ โดยปัจจุบันได้มอบหมายให้เป็น co-working space ดูแลจัดการโดยมอ.วิทยาเขตปัตตานี ทำให้ตัวบ้านแม้จะเก่าแก่แต่ยังได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี สามารถเดินมาเยี่ยมชมความสวยงามของสถาปัตยกรรม สูดกลิ่นอายความขลังในสมัยโบราณได้
เดินมาอีกไม่ไกลก็จะเป็นที่ตั้งของ ‘ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว’ ตัวศาลเจ้าสีแดงอีกฝั่งหนึ่งก็เป็นศาลของเทพเจ้าองค์อื่นโดดเด่นสะดุดตามาแต่ไกล ภายในศาลมีควันธูปลอยคละคลุ้ง มีเทพเจ้าหลายจุดให้เดินกราบไหว้ ใครที่ต้องการแบงค์มงคลสามารถทำการยืมเงินกับเจ้าแม่ได้ที่หน้าศาลเลย เราไหว้ภายในศาลเสร็จก็เดินออกมาด้านหน้า อาคารติดกันเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ฯ มีการจัดนิทรรศการที่น่าสนใจ และจำลองภาพงานแห่เจ้าแม่ไว้ให้ชม เกี้ยวมากมายหลากหลายที่สืบทอดกันมาหลายสิบปี เป็นเทศกาลขนาดใหญ่ที่ใครมีโอกาสไม่ควรพลาด
ท้องร้องหน่อย ๆ หิวแล้วเล็กน้อย เรามีโอกาสได้แวะไปที่คาเฟ่ ‘โรงปี๊บ’ คาเฟ่ที่เพิ่งเปิดใหม่ไม่นาน เมื่อก่อนคาเฟ่แห่งนี้เป็นโรงงานผลิตปี๊บเก่า ซึ่งยังคงจำลองภาพเอาไว้ เครื่องจักรยังอยู่ที่เดิม ตกแต่งแบบวินเทจ ทำให้มีมุมถ่ายรูปมากมาย เครื่องดื่ม และอาหารรสชาติอร่อย ในราคาที่ไม่แพงจนเกินไป
และมาปัตตานีจะพลาดอาหารถิ่นได้ยังไง เราได้ชิมราดหน้าของร้าน ‘นำรส’ ซึ่งอร่อยมากจริง ๆ อร่อยเด็ดโดยไม่ต้องปรุง ที่สำคัญยังให้ปริมาณเยอะ รวมถึงไก่สะเต๊ะจากร้านข้างทาง ที่รสชาติเข้มข้น อร่อยแบบดั้งเดิม
จากจังหวัดปัตตานี คราวนี้ยิงยาวไปสู่อ.เบตง ถนนลาดปูนอย่างดี มีด่านตรวจเป็นระยะ ๆ ใช้เวลานั่งรถนานจนเมื่อยอยู่เหมือนกัน เริ่มมีโค้งให้เห็นกันมากขึ้น เรามาถึงจุดชมวิวยอดฮิตของจังหวัดยะลาอย่าง ‘สะพานแม่หวาด’ ก็เกือบเย็นแล้ว
จากสะพานแม่หวาดมองลงไปจะเห็นสันเขื่อนบางลาง สายน้ำทอดยาวไปสู่ผืนน้ำของป่าฮาลาบาลาที่ได้รับฉายาว่า ‘แอมะซอนแห่งเอเชีย’ เรายังไม่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมในครั้งนี้ แต่ครั้งหน้ารับรองว่าต้องไม่พลาดอย่างแน่นอน ที่สะพานซึ่งตั้งอยี่ในเขตของอ.ธารโต มีทั้งนักท่องเที่ยวและชาวบ้านพากันมาจอดรถชมความเงียบสงบ ในทิวทัศน์กว้างไกล สวยงามราวกับภาพวาด บริเวณนั้นยังมีของกินเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ได้ซื้อกันเป็นที่ระลึก
[CR] สงขลา...ยะลา-ปัตตานี : สารคดีชีวิตที่ถูกลืม
จากหาดใหญ่เป็นถนนลาดปูนอย่างดี ขับตรงมาเรื่อย ๆ ยังไม่ค่อยมีโค้งสักเท่าไหร่ ยะลายังไม่ใช่ปลายทางแรกของเราในวันนี้ เพราะตั้งใจแล้วว่าเราจะแวะไปที่จังหวัดปัตตานีกันก่อน...แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว ภาพข่าวเก่า ๆ ปนเปกับภาพการท่องเที่ยวผสมผสานไหลเทกันมาเรื่อย ๆ เรานั่งรถมองวิวเพลิน ๆ ใจเต้นตึกตักเพราะจินตนาการไม่ออกว่าปัตตานีจะเป็นเช่นไร
ที่สุสานฯ จะมีชุดเครื่องไหว้ให้เลือก ว่าต้องการชุดใหญ่ ชุดเล็กแค่ไหน หลังจากไหว้เสร็จ เราสามารถเดินชมบรรยากาศรอบ ๆ โดยเฉพาะเนินเดินข้างหลัง ซึ่งมีต้นไม้ขึ้นปกคลุม และต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ทำให้บรรยากาศโดยรอบร่มรื่นไม่น้อย
ความต่างของศาสนา ความไม่เหมือนของความเชื่อ ศรัทธา ทำให้เราต้องทะเลาะกัน จนอยากเอาชีวิตของอีกฝ่ายเชียวหรือ ?
ไม่เหมือนข่าวเลยสักนิด...หากมีโอกาส อยากให้ทุกคนได้ลองเดินทางไป สัมผัสด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าของตัวเอง
ขับเข้ามาใจกลางเมืองของปัตตานี เราได้มีโอกาสแวะไปชมที่ ‘มัสยิดกลางปัตตานี’ ช่วงที่ไปมีการประกอบพิธีละหมาดอยู่ และที่นี่ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้า เราจึงได้แต่เดินชมอยู่รอบ ๆ บรรยากาศร่มรื่นไม่ต่างจากที่อื่น ต้นปาล์มที่ปลูกไว้ชูต้นไสว ราวกับอยู่ต่างประเทศก็ไม่ปาน จุดถ่ายรูปด้านนอกก็สวยงามไม่แพ้กัน
ไม่ไกลจากบ้านขุนฯ ยังเป็นที่ตั้งของ ‘บ้านเลขที่ 5’ ซึ่งเป็นบ้านของครอบครัวชาวจีนในสมัยก่อนที่ยังคงมีการอนุรักษ์ไว้ โดยปัจจุบันได้มอบหมายให้เป็น co-working space ดูแลจัดการโดยมอ.วิทยาเขตปัตตานี ทำให้ตัวบ้านแม้จะเก่าแก่แต่ยังได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี สามารถเดินมาเยี่ยมชมความสวยงามของสถาปัตยกรรม สูดกลิ่นอายความขลังในสมัยโบราณได้
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้