JJNY : 6in1 กสม.ชี้สลาย'จะนะ'│หอค้าลดGDP│ตามสั่งถอดใจ│เด็ก14เสพกัญชาจนแอดมิท│พท.จวกล้มเหลวลัมปีสกิน│ก.ก.อภิปรายหนักตู่

กสม. ชี้ คฝ. สลายการชุมนุม 'จะนะรักษ์ถิ่น' ปี’64 ทำเกินกว่าเหตุ ละเมิดเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ
https://prachatai.com/journal/2022/06/99095
 
 
กสม. เผย ผลการตรวจสอบเหตุสลายการชุมนุมเครือข่าย “จะนะรักษ์ถิ่น” เมื่อเดือนธันวาคม 2564 ชี้ คฝ. ใช้กำลังเกินกว่าเหตุ ละเมิดเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบของประชาชน และละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อสื่อมวลชน จากการยิงแสงเลเซอร์ใส่งสื่อมวลชนและอุปกรณ์ถ่ายภาพ แนะ สตช. ทบทวนแนวปฏิบัติในการจัดการการชุมนุม

16 มิ.ย. 2565 ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนขอให้ตรวจสอบกรณีเหตุการณ์สลายการชุมนุมของเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่น เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2564 บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล สืบเนื่องจากเครือข่ายจะนะกว่า 30 คน ได้เดินทางมารวมตัวเพื่อทวงสัญญาจากรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ จังหวัดสงขลา โดยให้มีการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment: SEA)  แบบมีส่วนร่วมก่อนดำเนินการโครงการ นั้น  
 
กสม. ได้พิจารณาแล้วเห็นว่ากรณีดังกล่าวมีปัญหาที่ต้องพิจารณาว่า เหตุการณ์การสลายการชุมนุมของเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่น เจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัดกองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน (คฝ.) ผู้ถูกร้อง และเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจนครบาลดุสิต มีการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่นหรือไม่ โดยพิจารณาออกเป็น 3 ประเด็น ได้ดังนี้
 
ประเด็นที่หนึ่ง การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในการเข้าควบคุมตัวผู้ชุมนุมของเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่น มีการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่
 
กสม. เห็นว่า การชุมนุมของเครือข่ายฯ เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2564 เป็นการใช้เสรีภาพในการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นไปโดยสงบปราศจากอาวุธที่ไม่ถือว่าเป็นความรุนแรง ในส่วนของเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมการชุมนุมเป็นไปตามแผนปฏิบัติการ โดยมีการเจรจากับผู้ชุมนุมหลายครั้งเพื่อขอให้เคลื่อนย้ายไปชุมนุมนอกบริเวณพื้นที่ทำเนียบรัฐบาล แต่เมื่อล่วงเลยเวลาที่กำหนดให้ผู้ชุมนุมเคลื่อนย้าย กลับใช้วิธีเข้าสลายการชุมนุมและควบคุมตัวผู้ชุมนุมเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยอ้างว่า เนื่องจากในวันที่ 7 ธันวาคม 2564 เป็นวันเปิดทำการ จะมีการใช้เส้นทางหนาแน่น และการชุมนุมมีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 การชุมนุมดังกล่าวเป็นการชุมนุมโดยผิดกฎหมาย กสม. เห็นว่า เหตุผลตามที่กล่าวอ้างนี้ยังไม่อาจพิจารณาได้ว่า เป็นเหตุแห่งความจำเป็นในการเข้าสลายการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการจำกัดเสรีภาพในการชุมนุมของผู้ชุมนุมเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่น และกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายของผู้ชุมนุมตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้รับรองและคุ้มครองไว้ อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
 
ประเด็นที่สอง การดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมของพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลดุสิตต่อผู้ชุมนุมมีการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่
 
เห็นว่า ในการพิจารณาดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมจากการใช้เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธตามรัฐธรรมนูญ แม้ว่าจะอยู่ภายใต้การบังคับใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 หรือในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 เจ้าหน้าที่ซึ่งมีอำนาจบังคับใช้กฎหมายควรพิจารณาถึงความได้สัดส่วนเพื่อคุ้มครองเสรีภาพในการชุมนุม ตลอดจนไม่กระทำการอันใดที่เป็นการจำกัดหรือสร้างภาระแก่ผู้ใช้เสรีภาพดังกล่าวเกินสมควรแก่เหตุ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำและแจ้งข้อกล่าวหาผู้ชุมนุมที่ถูกควบคุมตัวในฐานความผิดตามกฎหมายหลายฉบับ ได้แก่ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ประมวลกฎหมายอาญา พระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. 2535 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 พระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 และพระราชบัญญัติควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ. 2493 ส่งผลให้ผู้ชุมนุมที่ถูกจับต้องเดินทางไปรายงานตัวตามหมายเรียกอยู่เป็นระยะจนถึงปัจจุบัน กสม. เห็นว่า การดำเนินคดีต่อผู้ชุมนุมกรณีนี้ไม่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ เนื่องจากการชุมนุมมีวัตถุประสงค์เพื่อการติดตามทวงถามการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลต่อโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ ซึ่งสุดท้ายแล้วรัฐบาลได้รับข้อเสนอของผู้ชุมนุมไว้เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง การกระทำของพนักงานสอบสวนจึงเป็นการกระทำเกินสมควรแก่เหตุและสร้างภาระแก่ผู้ใช้เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธตามรัฐธรรมนูญ อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
 
ประเด็นที่ 3 การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในเหตุการณ์การชุมนุมของเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่น มีการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อสื่อมวลชนหรือไม่
 
จากการตรวจสอบปรากฏข้อเท็จจริง พบว่า ในการสลายการชุมนุมเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประกาศให้สื่อมวลชนออกจากพื้นที่การชุมนุมและมีการใช้อุปกรณ์ยิงแสงเลเซอร์ส่องไปยังสื่อมวลชนและอุปกรณ์ถ่ายภาพ ทำให้สื่อมวลชนไม่สามารถถ่ายภาพขณะเจ้าหน้าที่เข้าปฏิบัติการสลายการชุมนุมและควบคุมตัวผู้ชุมนุมได้ ทั้งยังอาจทำให้เซ็นเซอร์กล้องได้รับความเสียหายและมีผลต่อการมองเห็นชั่วคราวของดวงตาได้ ดังนั้น หากการใช้สิทธิและเสรีภาพของสื่อมวลชนอยู่ภายใต้ขอบเขตที่กฎหมายกำหนดไว้ เจ้าหน้าที่จะต้องอำนวยความสะดวกและไม่ปิดกั้นสื่อมวลชนในการทำหน้าที่รายงานสถานการณ์และข้อเท็จจริงอย่างเสรี โดยไม่สร้างอุปสรรคอันเป็นการกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชนเกินความจำเป็น จึงเห็นว่า การกระทำดังกล่าวของเจ้าหน้าที่ เป็นการกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของสื่อมวลชนตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้รับรองและคุ้มครองไว้ อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
 
กสม. แนะแนวทางป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
 
ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2565 จึงมีข้อเสนอแนะแนวทางในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สรุปได้ดังนี้
 
1) ทบทวนแนวทางปฏิบัติในการควบคุมและจัดการการชุมนุมซึ่งจะต้องไม่กระทำการใด ๆ ในลักษณะที่เป็นการกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของผู้ชุมนุม และจัดสถานที่ที่ปลอดภัยให้แก่ผู้ชุมนุมที่ใช้สิทธิและเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ
 
2) กำชับแนวทางปฏิบัติต่อการดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมอันสืบเนื่องมาจากการใช้สิทธิและเสรีภาพในการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ โดยให้ดำเนินการอย่างระมัดระวังซึ่งต้องคำนึงถึงความได้สัดส่วนและความจำเป็นตามแต่ละกรณี โดยหลีกเลี่ยงการตั้งข้อหาหรือฐานความผิดที่เป็นการจำกัดหรือสร้างภาระแก่ผู้ใช้สิทธิและเสรีภาพดังกล่าวเกินสมควรแก่เหตุ
 
3) กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งมีหน้าที่ในการควบคุมและดูแลสถานการณ์การชุมนุม อำนวยความสะดวกและเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนทำหน้าที่รายงานสถานการณ์และข้อเท็จจริงอย่างเสรี โดยไม่สร้างอุปสรรคอันเป็นการกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในการปฏิบัติหน้าที่เกินความจำเป็น หากการใช้สิทธิและเสรีภาพของสื่อมวลชนอยู่ภายใต้ขอบเขตที่กฎหมายกำหนดไว้
 
ทั้งนี้ ให้ดำเนินการภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งรายงานผลการตรวจสอบกรณีนี้
 


หอการค้าลด GDP ปี 65 เหลือ 3.1% สงครามยืดเยื้อ
https://www.innnews.co.th/news/economy/news_357746/
 
หอการค้า ปรับลดจีดีพี ปี65 เหลือ 3.1% หลังสงครามยังยืดเยื้อ เงินเฟ้อสูง โควิดฉุดเศรษฐกิจโลก
 
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยถึง “ประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2565” เศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังยังคงมีปัจจัยลบอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วยสงครามรัสเซียยูเครนทำให้ราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์รวมถึงอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังคงยืดเยื้อมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ธนาคารกลางของประเทศเศรษฐกิจหลักปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ปัญหาของการขาดแคลนสินค้าในห่วงโซ่การผลิตมีผลต่อการส่งออก และเศรษฐกิจจีนยังคงมีความไม่แน่นอนโดยมีโอกาสที่จะปรับตัวลดลงหลังการระบาดของโควิด-19 จนต้องใช้มาตรการ Zero COVID รวมถึงความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับจีนอาจมีผลต่อการค้าโลกอีกครั้ง
 
ศูนย์พยากรณ์ฯ จึงปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยในปีนี้ลงเหลือร้อยละ 3.1 จากประมาณการเดิมที่ร้อยละ 4.2 การส่งออกคาดว่าจะเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 6.3 และอัตราเงินเฟ้อขยายตัวร้อยละ 6.0 ภายใต้สมมุติฐานที่เศรษฐกิจโลกเติบโตร้อยละ 2.9 จำนวนนักท่องเที่ยวอยู่ที่ 6.1 ล้านคน อัตราแลกเปลี่ยน 34.25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐและราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 110 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เบล
 
แต่หากราคาพลังงานในตลาดโลกพุ่งสูงถึง 120-130 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลจะส่งผลกระทบทำให้ GDP ของประเทศลดลงเหลือร้อยละ 2.3 ได้
 


แม่ค้าร้านตามสั่ง ช้ำ! สู้ราคาก๊าซหุงต้มไม่ไหว ถอดใจเตรียมกลับบ้านเกิด
https://ch3plus.com/news/economy/ruangden/296399
 
ราคาก๊าซหุงต้มที่จะปรับขึ้นอีก 1 บาท หรือ 15 บาทต่อถัง 15 กิโลฯ ทำแม่ค้าอาหารตามสั่งถอดใจ เตรียมเก็บแผงกลับต่างจังหวัด เพราะจะให้ขึ้นราคาอาหารก็ไม่ช่วยอะไร มีแต่ทำให้ลูกค้าหาย ยิ่งแย่ไปกันใหญ่
 
โดยทีมข่าวลงพื้นที่สำรวจความเห็นแม่ค้าอาหารตามสั่ง หลังคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน หรือ กบง.มีมติปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มอีกกิโลกรัมละ 1 บาท หรือ 15 บาทต่อถัง 15 กิโลฯ ติดต่อกันอีก 3 เดือน รวม 45 บาท ทำให้ราคาก๊าซหุงต้มในเดือนกันยายนนี้ จะพุ่งไปแตะที่ถังละ 408 บาท แต่ถ้าบวกค่าขนส่งเข้าไปด้วย จะทำให้ราคาที่แม่ค้าต้องจ่ายจริง จะสูงถึงถังละ 450-480 บาท ทำให้แม่ค้าแบกรับภาระต้นทุนต่อไปไม่ไหวแล้ว เพราะไม่ใช่แค่ราคาก๊าซหุงต้มที่ขึ้น แต่ราคาวัตถุดิบอื่น ทั้งหมู ไก่ ผัก น้ำมันปาล์มขวด ก็ยังพุ่งไม่หยุด
 
บางร้านประกาศขึ้นราคาอาหาร 5 บาทต่อจาน ในนวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ แต่เมื่อราคาก๊าซจะขึ้นอีก 3 เดือนติด ก็ต้องกลับมาดูกันใหม่ว่า ราคาที่จะปรับขึ้น 5 บาท จะช่วยได้หรือไม่ เพราะกังวลว่า การปรับขึ้นราคา อาจทำให้ลูกค้าลดลง ยิ่งจะทำให้สถานการณ์แย่ไปกันใหญ่ ต้นทุนพุ่ง ลูกค้าหาย
 
เพราะฉะนั้นทางเลือกหลังจากนี้ อาจไม่ใช่การปรับขึ้นราคาขาย แต่จะเป็นการตัดสินใจเลิกค้าขาย แล้วกลับไปใช้ชีวิตในต่างจังหวัดแทน เพราะทุกวันนี้ ค้าขายก็แทบไม่ได้กำไรอยู่แล้ว ไม่มีเหลือเก็บ จะกลับไปใช้เตาถ่าน ก็มีข้อจำกัดเรื่องสถานที่ และกังวลเรื่องความปลอดภัย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่