JJNY : ปริญญาชี้คฝ.ผิดกติกา UN│รถพุ่มพวงโอดน้ำมันแพง│Shopeeเตรียมปลดพนง.จำนวนมาก ‘ไทย’โดนด้วย│ปารีณาไม่รอด! ศาลอุทธรณ์

ปริญญา ชี้คฝ. ยิงกระสุนยาง ผิดกติกา UN แนะบิ๊กตู่ อย่าให้มีครหา ใช้ตร.รักษาอำนาจตัวเอง
https://www.matichon.co.th/politics/news_3398520

 
เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เผยแพร่ข้อเขียน เรื่อง การใช้กระสุนยางที่ไม่สอดคล้องกับกติกาของสหประชาชาติ ผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว โดยมีรายละเอียดทั้งหมดดังนี้
 
“แนวปฏิบัติของสหประชาชาติด้านสิทธิมนุษยชนในเรื่องการใช้อาวุธที่มีความร้ายแรงต่ำในการบังคับใช้กฎหมาย (Guidance on less-lethal weapons in law enforcement) ได้กำหนดวิธีการใช้กระสุนยาง ไว้ที่ข้อ 7.5.2 ว่า
 
“Kinetic impact projectiles should generally be used only in direct fire with the aim of striking the lower abdomen or legs of a violent individual and only with a view to addressing an imminent threat of injury to either a law enforcement official or a member of the public”
 
แปลได้ความว่า “โดยหลักแล้วกระสุนยางควรใช้เฉพาะการยิงโดยตรงที่เล็งไปที่ท้องส่วนล่าง หรือขาของผู้ก่อความรุนแรง และเฉพาะเมื่อเห็นว่าจะเกิดภยันตรายต่อเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมาย หรือต่อสมาชิกคนหนึ่งคนใดของสังคม”
 
ว่าง่ายๆ สหประชาชาติกำหนดเงื่อนไขในการใช้กระสุนยางไว้สองข้อคือ หนึ่ง จะต้องเล็งต่ำไปที่ท้องส่วนล่างหรือขา ของผู้ก่อความรุนแรง จะยิงส่งเดชไม่ได้ และ สอง ใช้กระสุนยาง เฉพาะเพื่อป้องกันอันตรายที่กำลังเกิดกับเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายหรือประชาชน เท่านั้น
 
แต่การใช้กระสุนยางในการควบคุมฝูงชนที่ผ่านๆ มา และล่าสุดที่ดินแดงในช่วงสองวันนี้ จากภาพที่เห็นทางสื่อ เห็นได้ชัดว่ามีการยิงแบบประทับบ่าที่ไม่ได้เล็งต่ำหรือเล็งขา นั่นหมายความว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่ได้ปฏิบัติตามแนวทางของสหประชาชาติ ครับ
 
แน่นอนว่า ผู้ชุมนุมควรต้องชุมนุมโดยสงบ ไม่ใช้ความรุนแรง แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำหน้าที่ควบคุมฝูงชน หรือ คฝ. ก็ต้องไม่ใช้ความรุนแรงเช่นกัน เพราะหน้าที่คือ ควบคุมฝูงชน ไม่ใช่ไปตีกับผู้ชุมนุม
 
ต้องไม่ลืมว่า คฝ.ไม่ใช่ฝ่ายตรงข้ามกับผู้ชุมนุม แต่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่ควบคุมดูแลให้การชุมนุมเป็นไปโดยเรียบร้อย ถ้าเกิดความรุนแรงขึ้นมาก็ต้องใช้มาตรการที่ละมุนละม่อมที่สุด หรือรุนแรงน้อยที่สุดในการลดความรุนแรงลงมาจนสถานการณ์สงบลง ไม่ใช่เติมไฟเข้าไป และถ้าจำเป็นถึงขนาดต้องใช้กระสุนยาง ก็ใช้กระสุนยางได้ แต่ต้องยิงต่ำตามที่กล่าวไปข้างต้น
 
ถามต่อว่า แล้วใครต้องรับผิดชอบต่อการยิงกระสุนยางประทับบ่าแบบนี้ คำตอบคือ นอกจากท่าน ผบ.ตร.แล้ว ก็คือคนที่อยู่เหนือท่าน ผบ.ตร. ซึ่งก็คือ นายกรัฐมนตรี เพราะ ตามมาตรา 6 ของพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ นายกรัฐมนตรีเป็นผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ท่านนายกรัฐมนตรีจึงต้องรับผิดชอบในการบังคับบัญชาให้ คฝ. ใช้กระสุนยางโดยยิงต่ำ ไม่ใช่ผิดกติกาประทับบ่ายิงสูงอย่างนี้ครับ
 
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อ ท่านนายกรัฐมนตรีเป็นคู่ขัดแย้งกับผู้ชุมนุม เพราะผู้ชุมนุมมาชุมนุมประท้วงท่าน ท่านจึงยิ่งต้องดูแลรับผิดชอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องในการควบคุมฝูงชน หาไม่แล้วจะกลายเป็นว่า ท่านนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นเครื่องมือในการปกป้องอำนาจตนเอง ดังที่คนจำนวนมากเข้าใจกันเช่นนั้นครับ”

https://www.facebook.com/prinya.thaewanarumitkul/posts/pfbid0pDjWNCq1u2ieQ5Zp8RS4iNg3bhkXRWN23zwVet34d99VgxzJczvhZAz89UPPpnBel
 


รถพุ่มพวงโอดน้ำมันแพงรายได้หายกว่าครึ่ง
https://www.innnews.co.th/news/local/news_356208/

รถพุ่มพวงโอด น้ำมันแพง ของแพง รายได้หายไปกว่าครึ่ง แบกรับแทบไม่ไหว วอนรัฐแก้ปัญหาด่วน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าปัญหาน้ำมันแพง และสินค้าอุปโภค-บริโภคขึ้นราคา ได้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะอาชีพรถเร่ขายกับข้าว หรือ รถพุ่มพวง ที่ต้องตระเวนขายกับข้าวตามหมู่บ้าน ชุมชน ได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัญหาสินค้าและน้ำมันที่แพงขึ้น
ซึ่งนางทองยุ่น อายุ 52 ปี ชาวบ้านหนองแดง ตำบลกุดโบสถ์ อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา ทำอาชีพรถเร่ขายกับข้าว มากว่า 15 ปี เปิดเผยว่า ปกติจะเร่ขายสินค้าจำพวกกับข้าว ผัก ผลไม้ ตามหมู่บ้านและตามไร่สวนให้กับชาวบ้านและเกษตรกรที่ออกไปทำงานในช่วงเช้า ตั้งแต่ทำอาชีพนี้มา ไม่เคยเจอปัญหาของแพงและน้ำมันแพงเท่านี้มาก่อน เมื่อก่อนจะขึ้นราคาแค่บางอย่าง ไม่ได้ขึ้นพร้อมๆ กัน

แต่ตอนนี้ทุกอย่างขึ้นราคาหมด ทำให้ต้องประสบกับปัญหาต้นทุนค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ตนจึงต้องซื้อสินค้ามาตุนเอาไว้จำนวนมากๆ เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกซื้อ เพราะหากซื้อสินค้ามาขายน้อย ลูกค้าก็จะไม่มีตัวเลือก ทำให้ไม่อยากมาซื้อสินค้าของตน ส่วนราคาขาย จำเป็นต้องปรับราคาเพิ่มขึ้นบ้าง ชิ้นละ 3-4 บาท
 
ซึ่งเมื่อราคาสินค้าปรับเพิ่มขึ้น ลูกค้าก็ไม่มีทุนมาซื้อสินค้า ทำให้หายหน้าไปหลายรายแล้ว ส่วนบางรายที่ยังมาอุดหนุนอยู่ เคยซื้อครั้งละ 200-300 บาท ก็ซื้อลดลงไปกว่าครึ่ง เหลือเพียงครั้งละ 100บาทเท่านั้น รายได้หดหาย แทบไม่เหลือกำไร

อีกทั้งสินค้าก็เหลืออยู่เป็นจำนวนมาก ต้องตระเวนขายของนานขึ้น จากเดิมขายตอน 6 โมงเช้าถึงเที่ยง แต่ปัจจุบันนี้ ต้องขับเร่รถขายไปเรื่อยๆ จนถึงเย็น บางวันก็ขายหมด บางวันก็เหลือ ไม่รู้จะทำยังไง เคยคิดอยากหยุดทำอาชีพนี้ แต่ก็หยุดไม่ได้ เพราะไม่รู้จะไปทำอาชีพอะไรในช่วงวิกฤติแบบนี้ หากจะไปทำอาชีพเกษตร ก็คงไม่ไหวเพราะต้นทุนปุ๋ยก็แพง จำเป็นต้องเดินหน้ายึดอาชีพนี้ต่อไป จึงอยากวิงวอนให้ภาครัฐได้เห็นใจ เร่งแก้ไขปัญหาปากท้องให้กับประชาชนโดยเร็ว
 

  
Shopee เตรียมปลดพนักงานจำนวนมากในต่างแดน ‘ไทย’ โดนด้วย
https://www.matichon.co.th/foreign/news_3398748

Shopee เตรียมปลดพนักงานจำนวนมากในต่างแดน ‘ไทย’ โดนด้วย
 
Sea Group ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Shopee ยักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซที่มีสำนักงานใหญ่สิงคโปร์เตรียมที่จะปลดพนักงานจำนวนมากของบริษัทที่ปฏิบัติงานในต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงไทย อินโดนีเซีย และเวียดนาม ซึ่งถือเป็นการปลดพนักงานครั้งใหญ่เพื่อให้สอดคล้องกับรูปแบบธุรกิจในปัจจุบัน
 
ทั้งนี้เข้าใจว่ากิจการส่วนที่จะมีการเลิกจ้างพนักงานคือพนักงานที่ทำงานใน ShopeePay และ ShopeeFood แต่ยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับจำนวนคนที่จะถูกปลดออกในครั้งนี้แต่อย่างใด โดยพนักงานที่ถูกเลิกจ้างจะได้รับแจ้งผ่านทางอีเมล์ในเร็วๆ นี้
 
การตัดสินใจเลิกจ้างพนักงานดังกล่าวได้มีการแจ้งในการประชุมทาวน์ฮอลระหว่างประเทศ ที่เป็นการพบปะระหว่างผู้บริหารของ Sea Group กับพนักงาน แต่ผู้บริหารไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับเหตุผลในการตัดสินใจดังกล่าวแต่อย่างใด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่