JJNY : สั่งตร.เปิดตัวเลข‘แก๊สน้ำตา-กระสุนยาง’คุมม็อบ│สงครามสู่'วิกฤตอาหาร'ป่วนโลก│เปิดรายชื่อชำแหละงบ│'ก้าวไกล' ฉะกลาโหม

สั่งตำรวจเปิดตัวเลข ‘แก๊สน้ำตา-กระสุนยาง’ ที่ใช้คุมม็อบ ตั้งแต่ปี 2563 แก่สื่อมวลชน
https://thematter.co/brief/176866/176866
 
 
ข่าวนี้ว่าด้วยการใช้ทรัพยากรของรัฐที่ซื้อโดยเงินภาษีประชาชน และการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐว่าทำเกินกว่าเหตุหรือไม่
 
อย่างที่รู้กันว่า ตั้งแต่ปี 2563 – ปัจจุบัน มีการชุมนุมทางการเมืองหลายครั้ง ซึ่ง ‘เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ’ เป็นสิ่งที่ถูกรับรองทั้งในรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ม.44 กติการะหว่างประเทศที่ไทยไปลงนาม รวมถึงอยู่ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ที่ใช้มาหลายสิบปี

 แต่การใช้กำลังเข้าควบคุมการชุมนุมใน กทม. ของตำรวจไทย โดยเฉพาะจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) หลายครั้งหลายคนก็ถูกวิจารณ์ว่า เกินกว่าเหตุไปหรือไม่
 
อย่างเรื่องการใช้ ‘กระสุนยาง’ ที่ปรากฎทั้งภาพถ่ายและคลิปวีดิโอหลายครั้งว่า มีผู้ไม่เกี่ยวข้องถูกยิงได้รับบาดเจ็บ กระทั่งสื่อมวลชนเองก็ตาม ทั้งๆ ที่ในคู่มือของตำรวจเองระบุว่า “..การยิงกระสุนยาง ให้ยิงต่อเป้าหมายที่กระทำการหรือมีท่าทีคุกคามต่อชีวิตบุคคลอื่น รวมทั้งต้องกำหนดเป้าหมายโดยชัดเจน ไม่ยิงโดยไม่แยกแยะหรือไม่เลือกเป้าหมาย ไม่ใช้การยิงอัตโนมัติจะต้องเล็งยิงให้กระสุนยางกระทบ #ส่วนล่างของร่างกาย ของผู้ที่เป็นเป้าหมาย..” ซึ่งส่วนทางกับตำรวจยศสูงบางคนก็อ้างว่า ให้ยิง ‘ส่วนหนา’ ของร่างกายได้
 
คำถามคือ เราจะเชื่อคู่มือที่เป็นเอกสาร หรือเชื่อคำพูดของคนบางคนดี?
 
ผู้สื่อข่าว The MATTER สนใจว่า นับแต่ที่ตำรวจเริ่มใช้กำลังและเครื่องมือ โดยเฉพาะกระสุนยางและแก๊สน้ำตา เข้าคุมม็อบ ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา มีการใช้กำลังพล กระสุนยาง และแก๊สน้ำตา ไปมากน้อยเพียงใด โดยให้แยกเป็นรายเหตุการณ์ จึงใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ม.41(1) และ ม.59 รวมถึง พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ ยื่นขอข้อมูลดังกล่าว ครั้งแรกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติก่อน (สตช.) แต่ทาง สตช.บอกว่า ไม่เกี่ยวข้อง ต้องไปยื่นขอกับทาง บช.น. จึงยื่นขอกับทาง บช.น.อีกที
 
ทาง บช.น. ปฏิเสธจะเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว อ้างว่าจะทำให้การบังคับใช้กฎหมายเสื่อมประสิทธิภาพ เราจึงยื่นอุทธรณ์ไปตามระบบ
 
ล่าสุด เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2565 มีข่าวดี เมื่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร (กวฉ.) สาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดิน และการบังคับใช้กฎหมาย คณะที่ 3 มีคำวินิจฉัยสั่งให้ บช.น. ต้องเปิดเผยข้อมูลตัวเลขกำลังพล จำนวนกระสุนยางและแก๊สน้ำตา ที่ใช้คุมม็อบ ตั้งแต่ปี 2563 แก่ผู้ยื่นขอข้อมูล โดยระบุว่า “การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว ไม่ทำให้การบังใช้กฎหมายเสื่อมประสิทธิภาพ ..รวมถึงจะเป็นการแสดงถึงความโปร่งใสและตำรวจสอบได้ในการปฏิบัติหน้าที่
 
อย่างไรก็ตาม การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว ทาง กวฉ.ให้เปิดเผยเป็น ‘ยอดรวม’ ทั้งตัวเลขกำลังพล และจำนวนกระสุนยางกับแก๊สน้ำตาที่เบิกมา ใช้ไป และส่งคืน โดยไม่มีการแยกรายเหตุการณ์
 
ทั้งนี้ ตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ ม.37 วรรคสอง คำวินิจฉัยของ กวฉ. “ให้เป็นที่สุด” หากผู้เกี่ยวข้องไม่ปฏิบัติตามกฎหมายนี้ก็อาจมีบทลงโทษทางวินัยได้
 
เหตุผลที่เราต้องขอข้อมูลเกี่ยวกับปฏิบัติการคุมม็อบของตำรวจ ก็เนื่องมาจากทรัพยากรต่างๆ ที่ใช้ไป มาจากเงินภาษีของประชาชนทุกคน ไม่รวมถึงว่าคาดหวังให้การทำงานของตำรวจมีมาตรฐาน จำเป็น และได้สัดส่วน ไม่ว่าจะกับการชุมนุมในประเด็นใด เพราะอย่างที่ว่าไว้ตอนต้น ‘เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ’ เป็นสิ่งที่ถูกรับรองทั้งกฎหมายในประเทศและระหว่างประเทศ
 
ทั้งนี้ เราจะรอหนังสือคำวินิจฉัยของ กวฉ.อย่างเป็นทางการ ก่อนจะทำเรื่องยื่นขอข้อมูลจาก บช.น.ต่อไป
 
สำหรับคดีฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก สตช. ต่อศาลแพ่ง กรณียิงกระสุนยางใส่สื่อมวลชนจนได้รับบาดเจ็บ จะมีการสืบพยานช่วงหลายเดือน ก.ค. 2565 มีความคืบหน้าอย่างไร The MATTER จะมารายงานให้ทราบต่อไป
  
อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก
 
https://www.facebook.com/photo?fbid=388919769933244&set=a.311479607677261 (คำวินิจฉัยของ กวฉ. ที่สั่งให้ บช.น.เปิดข้อมูลเรื่องแก๊สน้ำตากับกระสุนยาง)
 
https://peaceresourcecollaborative.org/deep-south/policies-and-laws/crowdcontrol-handbook# (คู่มือการทำงานของตำรวจ ในการคุมม็อบ)
 


  
สงครามรัสเซีย-ยูเครน สู่ 'วิกฤตอาหาร' ป่วนโลก
https://www.matichon.co.th/foreign/news_3380413
 
สงครามรัสเซีย-ยูเครน สู่ ‘วิกฤตอาหาร’ ป่วนโลก
 
วิกฤตสงครามในยูเครนซึ่งเกิดขึ้นนับตั้งแต่รัสเซียนำกำลังรุกรานยูเครนตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ไม่ได้ส่งผลให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของทั้งสองฝ่ายเท่านั้น แต่ยังสร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลกด้วย โดยเฉพาะมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียจากชาติตะวันตก ที่ส่งผลให้ราคาพลังงานเพิ่มสูงขึ้นและเกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรงลุกลามไปทั่วโลก
 
ประเด็นที่น่าห่วงและหลายฝ่ายออกมาเตือนอย่างพร้อมเพรียงกันก็คือ เรื่อง “วิกฤตอาหารโลก” ที่ไม่ใช่เรื่องของการขาดแคลนอาหาร หรือราคาอาหารเพิ่มสูงขึ้นเท่านั้น แต่อาจนำไปสู่ความรุนแรงในระดับจลาจลในหลายประเทศก็เป็นไปได้
 
วิกฤตการณ์อาหารครั้งนี้สาเหตุไม่ได้มาจากมาตรการคว่ำบาตรพลังงานที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อเพียงอย่างเดียว แต่มีส่วนสำคัญมาจากข้อเท็จจริงที่ว่า “รัสเซีย” และ “ยูเครน” นั้นเป็นหนึ่งผู้ส่งออกอาหารอย่าง “น้ำมันดอกทานตะวัน” และ “ข้าวสาลี” รายใหญ่ที่สุดในโลกด้วย
 
ปัจจุบันแม้ว่าโลกกำลังพัฒนาในหลายๆ พื้นที่ทั่วโลกจะบริโภค “ข้าว” เป็นแหล่งพลังงานหลัก แต่ “ข้าวสาลี” และ “น้ำมันดอกทานตะวัน” ก็เป็นแหล่งพลังงานสำคัญที่เลี้ยงดูประชากรโลกจำนวนมากด้วยเช่นกัน
 
จากข้อมูลล่าสุดมีการประมาณการเอาไว้ว่า “ข้าวสาลี” ให้พลังงานกับประชากรโลกคิดเป็นสัดส่วนถึง 15 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่น้ำมันพืช มีน้ำมันดอกทานตะวัน ที่เป็นน้ำมัน 1 ใน 4 ชนิดหลักของโลก ให้พลังงานกับมนุษยชาติคิดเป็นสัดส่วนถึง 10 เปอร์เซ็นต์
 
สำหรับรัสเซียและยูเครน ทั้งสองประเทศมีบทบาทในฐานะผู้ส่งออก “น้ำมันดอกทานตะวัน” รวมกันคิดเป็นสัดส่วนถึง 53 เปอร์เซ็นต์ ของการส่งออกน้ำมันดอกทานตะวันทั่วโลก และยังเป็นผู้ส่งออก “ข้าวสาลี” รวมกันคิดเป็นสัดส่วนถึง 27 เปอร์เซ็นต์ของการส่งออกทั่วโลกด้วย
 
ด้วยภาวะสงครามทำให้ข้าวสาลีที่อยู่ในสต๊อกประเทศยูเครนจำนวนมากไม่สามารถส่งออกได้ ขณะที่บริษัทขนส่งทางเรือก็ไม่อยากเสี่ยงที่จะเข้าไปขนสินค้าในน่านน้ำที่รัสเซียปิดทางเข้าออกและเต็มไปด้วยทุ่นระเบิด
 
แน่นอนว่าความต้องการสินค้าทั้งสองชนิดในตลาดโลกจะไม่ลดลง สวนทางกับปริมาณสินค้าในตลาดที่ไม่เพียงพอกับความต้องการ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ราคาสินค้าทั้งสองชนิดจะเพิ่มสูงขึ้น
 
วิกฤตครั้งนี้ถูกซ้ำเติมให้หนักหนาสาหัสขึ้นไปอีกเมื่อผู้ผลิตอาหารรายใหญ่หลายชาติเริ่มใช้มาตรการ “กักตุนอาหาร” ไม่ว่าจะเป็น “อินเดีย” ที่ประกาศห้ามส่งออก “ข้าวสาลี” เมื่อกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา หลังจากเกิดคลื่นความร้อนส่งผลกระทบกับปริมาณผลผลิต
 
ขณะที่ “อินโดนีเซีย” ผู้ผลิตน้ำมันปาล์มรายใหญ่ที่สุดของโลกสั่งระงับการส่งออก “น้ำมันปาล์มดิบ” และสินค้าที่เกี่ยวข้องเมื่อเดือนเมษายน ขณะที่ “ฝรั่งเศส” ต้องเผชิญกับความแห้งแล้งและอุณหภูมิที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในเดือนพฤษภาคม ส่งผลกระทบกับผลผลิตธัญพืชอย่างรุนแรง เหตุการณ์เหล่านี้ล้วนแล้วแต่จะทำให้วิกฤตการณ์ทางอาหารเลวร้ายลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
 
ไม่เฉพาะแหล่งผลิตอาหารที่ได้รับผลกระทบเท่านั้น แต่ราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นก็ส่งผลกระทบให้ต้นทุนการผลิต “ปุ๋ย” ที่เป็นส่วนสำคัญสำหรับการผลิตพืชพันธุ์ธัญญาหารทั่วโลกเพิ่มสูงตามไปด้วย
 
โดยเฉพาะ “รัสเซีย” และชาติพันธมิตรอย่าง “เบลารุส” ซึ่งอยู่ภายใต้มาตรการคว่ำบาตร ก็เป็นผู้ผลิตโพแทช (Potash) แร่สำคัญในการผลิตปุ๋ย โดยทั้งสองชาติมีสัดส่วนการส่งออกโพแทชมากถึง 40% ของการส่งออกทั่วโลก ส่งผลราคาปุ๋ยเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังเกิดสงครามเช่นกัน
 
ด้วยสาเหตุที่กล่าวมาทั้งหมดส่งผลให้ราคาข้าวสาลีพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ โดยขึ้นถึงจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงเดือนมีนาคม และพุ่งขึ้นอีกครั้งเมื่อสัปดาห์ก่อน
 
ด้านราคาน้ำมันพืชพุ่งสูงขึ้นเช่นเดียวกัน โดย “สถาบันวิจัยนโยบายอาหารนานาชาติ” ระบุว่า ราคาน้ำมันพืชพุ่งสูงขึ้นอย่างมากหากเทียบกับก่อนเกิดสงคราม โดยล่าสุดราคาเพิ่มสูงขึ้นไปแล้ว โดยเฉลี่ยราว 30 เปอร์เซ็นต์
 
วิกฤตการณ์ด้านอาหารที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำให้ราคาอาหารสูงขึ้นจนทำให้คนยากจนไม่สามารถเข้าถึงอาหารได้เท่านั้น แต่อาจทำให้เกิดความรุนแรงตามมาได้เช่นกัน โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ถึงความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นจากราคาอาหารที่พุ่งสูงเอาไว้ ก่อนที่จะเกิดเหตุขึ้นจริงๆ ที่ประเทศศรีลังกา เมื่อประชาชนออกมารวมตัวประท้วงค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาอาหารพุ่งสูงขึ้นถึง 46.6 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกันกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ไม่เว้นแม้แต่อิหร่าน ที่มีรายงานว่าประชาชนออกมาประท้วงหลังจากราคาอาหารพุ่งสูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน
 
สถานการณ์ดังกล่าวตรงกันกับรายงานการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา หรืออังค์ถัด ที่ออกมาเตือนว่าความรุนแรงในช่วง 10 ปีล่าสุดนั้นมีรูปแบบที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับราคาอาหารที่พุ่งสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์จลาจลเนื่องจากการขาดแคลนอาหารในหลายประเทศระหว่างปี 2007-2008 เช่นเดียวกับเหตุอาหรับสปริงในปี 2011 และสถานการณ์รูปแบบเดียวกันนั้นกำลังจะเกิดขึ้นในเวลานี้ด้วยแล้ว
 
อังค์ถัดระบุด้วยว่า ประเทศใน “แอฟริกา” ที่มีถึง 25 ประเทศที่นำเข้าข้าวสาลีจากยูเครนและรัสเซียคิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของการนำเข้าข้าวสาลีทั้งหมดจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตในครั้งนี้มากที่สุด

แน่นอนว่าเสียงเรียกร้องจากนานาชาติ ไม่ว่าจากโครงการอาหารโลก (ดับเบิลยูเอฟพี) หรือ นายอันโตนิอู กุแตเรซ เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เรียกร้องให้นานาชาติหาทางออกของปัญหานี้ รวมถึงเรียกร้องไปยังรัสเซีย ผู้ก่อสงครามในครั้งนี้เปิดทางให้มีการส่งออกธัญพืชจากยูเครน หาแนวทางเปิดทางให้ผลผลิตด้านอาหารจากรัสเซียเข้าถึงตลาดโลก เพื่อลดผลกระทบด้านราคาอาหารทั่วโลกลง
 
อย่างไรก็ตาม รัสเซียยังคงยืนยันว่า จะยอมร่วมมือด้วยหากชาติตะวันตกยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียลง หนทางที่ไม่น่าจะเป็นทางเลือกที่ชาติตะวันตกจะยอมทำตามได้ง่ายๆ

ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ตราบใดก็ตามที่นานาชาติยังไม่สามารถหาหนทางแก้ไขปัญหาร่วมกันได้ ขณะที่รัสเซียยังคงเดินหน้ารุกรานยูเครนต่อไป คงพอจะคาดการณ์ได้ว่า “วิกฤตอาหารโลก” ครั้งนี้จะยังคงดำเนินต่อไปและอาจรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่