คนกรุงไม่แปลกใจ“ชัชชาติ”ชนะเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. เชื่อส่งผลทางลบต่อคะแนนนิยมรัฐบาล
https://www.dailynews.co.th/news/1093975/
“นิด้าโพล”เผยผลสำรวจ ผลกระทบของการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ต่อการเมืองระดับชาติ พบคนกรุงไม่แปลกใจ “ชัชชาติ”ชนะเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. แต่จะส่งผลในทางลบต่อคะแนนนิยมรัฐบาล
เมื่อวันที่ 29 พ.ค.ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “
นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง
“ผลกระทบของการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ต่อการเมืองระดับชาติ” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 25-27 พฤษภาคม 2565 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,322 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับผลกระทบของการเลือกตั้ง ผู้ว่าฯ กทม. ต่อการเมืองระดับชาติ การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบบง่าย (Simple Random Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนด ค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0
จากการสำรวจเมื่อถามถึงความรู้สึกของประชาชนต่อการที่ ดร.
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ได้รับเลือกตั้งให้เป็นผู้ว่าฯ กทม. พบว่า
ตัวอย่าง ร้อยละ77.76 ระบุว่า ไม่แปลกใจเลย เพราะ เป็นคนเก่ง มีคุณสมบัติเพียบพร้อม มีความมุ่งมั่น ตั้งใจทำงาน และลงพื้นที่รับฟังเสียงจากประชาชน อย่างสม่ำเสมอ จึงได้รับความไว้วางใจจากคนกรุงเทพฯ
รองลงมา ร้อยละ 8.85 ระบุว่า ไม่ค่อยแปลกใจ เพราะ มีภาวะผู้นำ มีความเป็นกลางสามารถทำงานได้กับทุกฝ่าย ขณะที่บางส่วนระบุว่า คนกรุงเทพฯ ต้องการการเปลี่ยนแปลง
ร้อยละ 7.34 ระบุว่า แปลกใจมาก เพราะ ผลงาน ในการพัฒนา กทม. ของ ดร.
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ยังไม่มี แต่กลับได้รับคะแนนเสียงเป็นจำนวนมาก
ขณะที่บางส่วนระบุว่า ไม่คิดว่าคะแนนเสียง ที่ได้รับจะถล่มทลายทิ้งห่างคู่แข่งมากขนาดนี้
และร้อยละ 6.05 ระบุว่า ค่อนข้างแปลกใจ เพราะ ลงสมัครในนามอิสระ ไม่สังกัดพรรคการเมือง แต่กลับชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย
ท้ายที่สุดเมื่อถามประชาชนถึงผลกระทบต่อการเมืองในระดับชาติจากการที่ ดร.
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯ กทม.พบว่า
ตัวอย่าง ร้อยละ 38.88 ระบุว่า คาดว่าจะส่งผลในทางลบต่อคะแนนนิยมของรัฐบาล
รองลงมา ร้อยละ 32.53 ระบุว่า จะไม่ส่งผลใด ๆต่อคะแนนนิยมของรัฐบาล
ร้อยละ 15.96 ระบุว่า เป็นแค่การเลือกตั้งในจังหวัดหนึ่งเท่านั้น
ร้อยละ 9.53 ระบุว่า อาจมีการยุบสภาเร็วขึ้น กว่าที่คาดการณ์ไว้
ร้อยละ 8.40 ระบุว่า จะส่งผลต่อการเลือกตั้ง ส.ส. ในกรุงเทพฯ เท่านั้น
ร้อยละ 6.43 ระบุว่า สังคมไทยจะเผชิญกับความขัดแย้งหรือการแบ่งฝ่ายทางการเมืองมากขึ้น
ร้อยละ 6.35 ระบุว่า สังคมไทยได้ก้าวข้ามความขัดแย้งหรือการแบ่งฝ่ายทางการเมืองแล้ว
ร้อยละ 4.99 ระบุว่า พรรค/กลุ่มการเมือง ฝ่ายค้านจะเกาะกระแส ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ในการต่อต้านรัฐบาล
ร้อยละ 3.33 ระบุว่า รัฐบาลจะอยู่ยาวเพื่อหาทาง สร้างคะแนนนิยมเพิ่มมากขึ้น
และร้อยละ 2.12 ระบุว่า บางพรรคอาจถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลเพื่อเอาตัวรอด
ม็อบหน้ายูเอ็น ประกาศจันทร์นี้ มุ่งหน้าทำเนียบ หยุดร่างกม. คุมNGOv
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7082779
ม็อบหน้ายูเอ็น ประกาศจันทร์นี้ มุ่งหน้าทำเนียบรัฐบาล หยุดร่างกม. คุมNGO วอนพรรคการเมืองร่วมแสดงท่าทีจุดยืน โดยพร้อมเพรียงกัน เพื่อให้เห็นถึงภัยร้ายนี้
วันที่ 28 พ.ค.2565 ขบวนต่อต้านร่างกฎหมายทำลายการรวมกลุ่มของประชาชน ออกประกาศเคลื่อนไหวใหญ่ไปที่ทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 30 พ.ค.นี้ โดยจะตั้งแถวเดินจากหมู่บ้านราษฎร์ธรรมนูญ หน้าอาคารสหประชาชาติ ถนนราชดำเนินนอก ในเวลา 09.00 น. เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลมีมติ ครม. ยกเลิกการผลักดันร่างพ.ร.บ.การดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร
ทั้งนี้ทางขบวนต่อต้านร่างกฎหมายได้เชิญชวนพี่น้องประชาชน รวมถึงพรรคการเมืองให้มาแสดงท่าทีและจุดยืนที่หน้าทำเนียบรัฐบาลในเวลา 15.00 น.ของวันที่ 30 พ.ค.
โดยแถลงการณ์ของกลุ่มได้หวังว่าจะได้รับความร่วมมือจากทุกพรรคการเมืองที่เห็นถึงภัยร้ายแรงที่จะกระทำต่อสิทธิ เสรีภาพ ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชนจากร่างกฎหมายฉบับนี้หากถูกประกาศใช้บังคับ
"ยูโอบี" วิเคราะห์วิกฤตยูเครน-รัสเซียผลกระทบต่อการลงทุน
https://siamrath.co.th/n/352242
นาย
ยุทธชัย เตยะราชกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทยเปิดเผยว่า ในช่วงเวลาที่ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครนยังคงยืดเยื้ออย่างต่อเนื่อง สินทรัพย์ทางการเงินเกิดแรงเทขาย ความผันผวนเพิ่มขึ้นในสินทรัพย์เสี่ยง นักลงทุนทั่วโลกต่างพยายามทำความเข้าใจผลกระทบที่เกิดขึ้นในตลาด สถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นกับความขัดแย้งที่กำลังดำเนินอยู่ เห็นได้ชัดเจนว่าผลกระทบส่วนใหญ่จะเกิดกับรัสเซีย เนื่องจากพันธมิตรชาติตะวันตกส่วนใหญ่ มีมาตรการคว่ำบาตรต่อบริษัทในรัสเซีย สถาบันการเงิน และธนาคารกลาง ผู้ได้รับผลกระทบรองลงมาคือ ยุโรป เนื่องจากยุโรปต้องพึ่งพาน้ำมันและะก๊าซจากรัสเซีย ซึ่งมีแนวโน้มที่จะทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น และเศรษฐกิจชะลอตัวในประเทศแถบยุโรป
ส่วนสหรัฐอเมริกาได้จำกัดการค้า การพึ่งพาน้ำมันและก๊าซจากรัสเซีย และมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อย แต่หากเกิดสงครามที่ยืดเยื้อจนอาจจะนำไปสู่การบาดเจ็บล้มตายของประชาชนเป็นจำนวนมาก เราคาดว่า อาจมีแรงเทขาย และแรงกดดันด้านราคาในอุตสาหกรรมพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ สำหรับสถานการณ์นี้ การคว่ำบาตรจะมีมากขึ้น และเศรษฐกิจรัสเซียจะถูกแยกออกจากประเทศอื่นๆทั่วโลก
เมื่อเรามองย้อนกลับไปที่เหตุการณ์ขัดแย้งแบ่งแยกดินแดนในอดีต เช่น สงครามอ่าว สงครามอัฟกานิสถาน สงครามอิรัก และวิกฤตไครเมียในปี 2014 สิ่งหนึ่งที่สังเกตุได้ คือตลาดปรับตัวลงในช่วงที่คาดว่าจะเกิดสงคราม และตลาดมีแนวโน้มที่จะลดลงถึงจุดต่ำสุด เมื่อสงครามเริ่มต้นขึ้น ประเด็นสำคัญของการวิเคราะห์นี้ คือความเสี่ยงจากเหตุการณ์ทางขัดแย้งแบ่งแยกดินแดนในอดีตส่วนใหญ่จะผ่านไปโดยไม่มีผลกระทบทางเศรษฐกิจในระยะยาว
สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย ที่ไม่ต้องการให้มูลค่าเงินของพวกเขาผันผวนมากนัก ตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมในการกระจายสินทรัพย์ของตนผ่านสินทรัพย์ที่หลากหลาย (Multi-Asset) ซึ่งจะช่วยบริหารจัดการความเสี่ยงได้ คว้าโอกาสในยามที่ตลาดฟื้นตัวได้ โดยสามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากผลของวิกฤตการณ์รัสเซีย-ยูเครน
- เลือกลงทุนในพันธบัตรอัตราดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate Bonds) และลดระยะเวลาของพอร์ตการลงทุน แต่ให้อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น เช่น ตราสารหนี้เพื่อส่งเสริมความยั่งยืน เช่น Green Bonds เนื่องจากหลังจากการประชุม COP26 - การประชุมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติปี 2564 การลงทุนอย่างยั่งยืนหรือสังคมและธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม (ESG) ทำให้เกิดโอกาสทางธุรกิจมากมายสำหรับธุรกิจที่สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั่วโลก ซึ่งจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับนักลงทุนในระยะยาว
- ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน อสังหาริมทรัพย์ และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) เป็นอีกวิธีการในการกระจายแหล่งรายได้ การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เหล่านี้สามารถสร้างรายได้ให้กับนักลงทุน ดังนั้นนักลงทุนสามารถพิจารณาสินทรัพย์เหล่านี้นอกเหนือจากตราสารหนี้และตราสารทุนทั่วไปเพื่อเป็นทางเลือกในการสร้างรายได้
- ปัจจัยเชิงโครงสร้างระยะยาว และเมกะเทรนด์ในระยะยาวก็เป็นสิ่งสำคัญที่นักลงทุนควรพิจารณาด้วยเช่นกัน ปัจจัยขับเคลื่อนเหล่านี้ได้แก่ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) หุ่นยนต์ และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นสิ่งที่ยังคงพัฒนาต่อไปโดยไม่เกี่ยวกับผลของสงครามในครั้งนี้ และกระบวนการ Digitalisation ของโลกยังคงดำเนินต่อไป กลุ่มการดูแลสุขภาพ (Health Care) เป็นอีกหนึ่งเมกะเทรนด์ที่น่าจับตามอง เนื่องจากมีประชากรสูงอายุทั่วโลก ความเจ็บป่วยและโรคภัยไข้เจ็บจำนวนมากมายที่ยังคงระบาดไปทั่วโลก
สำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสการลงทุนและรับความเสี่ยงได้สูง การลงทุนในกลุ่มการเงินของสหรัฐฯและยุโรปยังคงน่าสนใจ ท้ายที่สุดแล้ว ธนาคารกลางทั่วโลกจะเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ย และส่วนต่างของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) จะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้กับธนาคารเหล่านี้ได้ ทองคำและพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นเป็นทรัพย์สินที่นักลงทุนนิยมถือครองในช่วงที่สถานการณ์ไม่แน่นอนและมีการปิดรับความเสี่ยง (risk-off) ในขณะที่มีคำถามถึงความแข็งแกร่งของเงินดอลลาร์สหรัฐ ทองคำมักจะเป็นแหล่งเก็บมูลค่าและโอกาสที่นักลงทุนควรคำนึงถึง เป็นสินทรัพย์สำหรับนักลงทุนที่มองหาความปลอดภัย
ถือเป็นเรื่องปกติที่นักลงทุนจะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนมากกว่าหนึ่งครั้งในเส้นทางการลงทุน ดังนั้น เราจึงแนะนำให้นักลงทุนเริ่มลงทุนโดยใช้การเฉลี่ยต้นทุน (DCA) หลักการ Risk-First ของยูโอบี สามารถช่วยให้เส้นทางการลงทุนราบรื่นขึ้น โดยแนะนำกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมสำหรับพอร์ตโฟลิโอให้หลากหลาย ที่สอดคล้องกับความเสี่ยงของนักลงทุนแต่ละท่าน ก่อนตัดสินใจลงทุนใดๆ นักลงทุนควรแน่ใจว่ามีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังลงทุนและได้พิจารณาปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นแล้ว
ที่มา: UOB Investment Insights: Implications of the Ukraine Crisis.
JJNY : คนกรุงไม่แปลกใจ“ชัชชาติ”ชนะ│ม็อบประกาศมุ่งหน้าทำเนียบ│"ยูโอบี"วิเคราะห์วิกฤตยูเครน-รัสเซีย│พท.เปิดงบประมาณ2566
https://www.dailynews.co.th/news/1093975/
“นิด้าโพล”เผยผลสำรวจ ผลกระทบของการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ต่อการเมืองระดับชาติ พบคนกรุงไม่แปลกใจ “ชัชชาติ”ชนะเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. แต่จะส่งผลในทางลบต่อคะแนนนิยมรัฐบาล
เมื่อวันที่ 29 พ.ค.ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “ผลกระทบของการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ต่อการเมืองระดับชาติ” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 25-27 พฤษภาคม 2565 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,322 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับผลกระทบของการเลือกตั้ง ผู้ว่าฯ กทม. ต่อการเมืองระดับชาติ การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบบง่าย (Simple Random Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนด ค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0
จากการสำรวจเมื่อถามถึงความรู้สึกของประชาชนต่อการที่ ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ได้รับเลือกตั้งให้เป็นผู้ว่าฯ กทม. พบว่า
ตัวอย่าง ร้อยละ77.76 ระบุว่า ไม่แปลกใจเลย เพราะ เป็นคนเก่ง มีคุณสมบัติเพียบพร้อม มีความมุ่งมั่น ตั้งใจทำงาน และลงพื้นที่รับฟังเสียงจากประชาชน อย่างสม่ำเสมอ จึงได้รับความไว้วางใจจากคนกรุงเทพฯ
รองลงมา ร้อยละ 8.85 ระบุว่า ไม่ค่อยแปลกใจ เพราะ มีภาวะผู้นำ มีความเป็นกลางสามารถทำงานได้กับทุกฝ่าย ขณะที่บางส่วนระบุว่า คนกรุงเทพฯ ต้องการการเปลี่ยนแปลง
ร้อยละ 7.34 ระบุว่า แปลกใจมาก เพราะ ผลงาน ในการพัฒนา กทม. ของ ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ยังไม่มี แต่กลับได้รับคะแนนเสียงเป็นจำนวนมาก
ขณะที่บางส่วนระบุว่า ไม่คิดว่าคะแนนเสียง ที่ได้รับจะถล่มทลายทิ้งห่างคู่แข่งมากขนาดนี้
และร้อยละ 6.05 ระบุว่า ค่อนข้างแปลกใจ เพราะ ลงสมัครในนามอิสระ ไม่สังกัดพรรคการเมือง แต่กลับชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย
ท้ายที่สุดเมื่อถามประชาชนถึงผลกระทบต่อการเมืองในระดับชาติจากการที่ ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯ กทม.พบว่า
ตัวอย่าง ร้อยละ 38.88 ระบุว่า คาดว่าจะส่งผลในทางลบต่อคะแนนนิยมของรัฐบาล
รองลงมา ร้อยละ 32.53 ระบุว่า จะไม่ส่งผลใด ๆต่อคะแนนนิยมของรัฐบาล
ร้อยละ 15.96 ระบุว่า เป็นแค่การเลือกตั้งในจังหวัดหนึ่งเท่านั้น
ร้อยละ 9.53 ระบุว่า อาจมีการยุบสภาเร็วขึ้น กว่าที่คาดการณ์ไว้
ร้อยละ 8.40 ระบุว่า จะส่งผลต่อการเลือกตั้ง ส.ส. ในกรุงเทพฯ เท่านั้น
ร้อยละ 6.43 ระบุว่า สังคมไทยจะเผชิญกับความขัดแย้งหรือการแบ่งฝ่ายทางการเมืองมากขึ้น
ร้อยละ 6.35 ระบุว่า สังคมไทยได้ก้าวข้ามความขัดแย้งหรือการแบ่งฝ่ายทางการเมืองแล้ว
ร้อยละ 4.99 ระบุว่า พรรค/กลุ่มการเมือง ฝ่ายค้านจะเกาะกระแส ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ในการต่อต้านรัฐบาล
ร้อยละ 3.33 ระบุว่า รัฐบาลจะอยู่ยาวเพื่อหาทาง สร้างคะแนนนิยมเพิ่มมากขึ้น
และร้อยละ 2.12 ระบุว่า บางพรรคอาจถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลเพื่อเอาตัวรอด
ม็อบหน้ายูเอ็น ประกาศจันทร์นี้ มุ่งหน้าทำเนียบ หยุดร่างกม. คุมNGOv
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7082779
ม็อบหน้ายูเอ็น ประกาศจันทร์นี้ มุ่งหน้าทำเนียบรัฐบาล หยุดร่างกม. คุมNGO วอนพรรคการเมืองร่วมแสดงท่าทีจุดยืน โดยพร้อมเพรียงกัน เพื่อให้เห็นถึงภัยร้ายนี้
วันที่ 28 พ.ค.2565 ขบวนต่อต้านร่างกฎหมายทำลายการรวมกลุ่มของประชาชน ออกประกาศเคลื่อนไหวใหญ่ไปที่ทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 30 พ.ค.นี้ โดยจะตั้งแถวเดินจากหมู่บ้านราษฎร์ธรรมนูญ หน้าอาคารสหประชาชาติ ถนนราชดำเนินนอก ในเวลา 09.00 น. เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลมีมติ ครม. ยกเลิกการผลักดันร่างพ.ร.บ.การดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร
ทั้งนี้ทางขบวนต่อต้านร่างกฎหมายได้เชิญชวนพี่น้องประชาชน รวมถึงพรรคการเมืองให้มาแสดงท่าทีและจุดยืนที่หน้าทำเนียบรัฐบาลในเวลา 15.00 น.ของวันที่ 30 พ.ค.
โดยแถลงการณ์ของกลุ่มได้หวังว่าจะได้รับความร่วมมือจากทุกพรรคการเมืองที่เห็นถึงภัยร้ายแรงที่จะกระทำต่อสิทธิ เสรีภาพ ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชนจากร่างกฎหมายฉบับนี้หากถูกประกาศใช้บังคับ
"ยูโอบี" วิเคราะห์วิกฤตยูเครน-รัสเซียผลกระทบต่อการลงทุน
https://siamrath.co.th/n/352242
นายยุทธชัย เตยะราชกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทยเปิดเผยว่า ในช่วงเวลาที่ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครนยังคงยืดเยื้ออย่างต่อเนื่อง สินทรัพย์ทางการเงินเกิดแรงเทขาย ความผันผวนเพิ่มขึ้นในสินทรัพย์เสี่ยง นักลงทุนทั่วโลกต่างพยายามทำความเข้าใจผลกระทบที่เกิดขึ้นในตลาด สถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นกับความขัดแย้งที่กำลังดำเนินอยู่ เห็นได้ชัดเจนว่าผลกระทบส่วนใหญ่จะเกิดกับรัสเซีย เนื่องจากพันธมิตรชาติตะวันตกส่วนใหญ่ มีมาตรการคว่ำบาตรต่อบริษัทในรัสเซีย สถาบันการเงิน และธนาคารกลาง ผู้ได้รับผลกระทบรองลงมาคือ ยุโรป เนื่องจากยุโรปต้องพึ่งพาน้ำมันและะก๊าซจากรัสเซีย ซึ่งมีแนวโน้มที่จะทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น และเศรษฐกิจชะลอตัวในประเทศแถบยุโรป
ส่วนสหรัฐอเมริกาได้จำกัดการค้า การพึ่งพาน้ำมันและก๊าซจากรัสเซีย และมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อย แต่หากเกิดสงครามที่ยืดเยื้อจนอาจจะนำไปสู่การบาดเจ็บล้มตายของประชาชนเป็นจำนวนมาก เราคาดว่า อาจมีแรงเทขาย และแรงกดดันด้านราคาในอุตสาหกรรมพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ สำหรับสถานการณ์นี้ การคว่ำบาตรจะมีมากขึ้น และเศรษฐกิจรัสเซียจะถูกแยกออกจากประเทศอื่นๆทั่วโลก
เมื่อเรามองย้อนกลับไปที่เหตุการณ์ขัดแย้งแบ่งแยกดินแดนในอดีต เช่น สงครามอ่าว สงครามอัฟกานิสถาน สงครามอิรัก และวิกฤตไครเมียในปี 2014 สิ่งหนึ่งที่สังเกตุได้ คือตลาดปรับตัวลงในช่วงที่คาดว่าจะเกิดสงคราม และตลาดมีแนวโน้มที่จะลดลงถึงจุดต่ำสุด เมื่อสงครามเริ่มต้นขึ้น ประเด็นสำคัญของการวิเคราะห์นี้ คือความเสี่ยงจากเหตุการณ์ทางขัดแย้งแบ่งแยกดินแดนในอดีตส่วนใหญ่จะผ่านไปโดยไม่มีผลกระทบทางเศรษฐกิจในระยะยาว
สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย ที่ไม่ต้องการให้มูลค่าเงินของพวกเขาผันผวนมากนัก ตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมในการกระจายสินทรัพย์ของตนผ่านสินทรัพย์ที่หลากหลาย (Multi-Asset) ซึ่งจะช่วยบริหารจัดการความเสี่ยงได้ คว้าโอกาสในยามที่ตลาดฟื้นตัวได้ โดยสามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากผลของวิกฤตการณ์รัสเซีย-ยูเครน
- เลือกลงทุนในพันธบัตรอัตราดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate Bonds) และลดระยะเวลาของพอร์ตการลงทุน แต่ให้อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น เช่น ตราสารหนี้เพื่อส่งเสริมความยั่งยืน เช่น Green Bonds เนื่องจากหลังจากการประชุม COP26 - การประชุมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติปี 2564 การลงทุนอย่างยั่งยืนหรือสังคมและธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม (ESG) ทำให้เกิดโอกาสทางธุรกิจมากมายสำหรับธุรกิจที่สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั่วโลก ซึ่งจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับนักลงทุนในระยะยาว
- ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน อสังหาริมทรัพย์ และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) เป็นอีกวิธีการในการกระจายแหล่งรายได้ การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เหล่านี้สามารถสร้างรายได้ให้กับนักลงทุน ดังนั้นนักลงทุนสามารถพิจารณาสินทรัพย์เหล่านี้นอกเหนือจากตราสารหนี้และตราสารทุนทั่วไปเพื่อเป็นทางเลือกในการสร้างรายได้
- ปัจจัยเชิงโครงสร้างระยะยาว และเมกะเทรนด์ในระยะยาวก็เป็นสิ่งสำคัญที่นักลงทุนควรพิจารณาด้วยเช่นกัน ปัจจัยขับเคลื่อนเหล่านี้ได้แก่ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) หุ่นยนต์ และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นสิ่งที่ยังคงพัฒนาต่อไปโดยไม่เกี่ยวกับผลของสงครามในครั้งนี้ และกระบวนการ Digitalisation ของโลกยังคงดำเนินต่อไป กลุ่มการดูแลสุขภาพ (Health Care) เป็นอีกหนึ่งเมกะเทรนด์ที่น่าจับตามอง เนื่องจากมีประชากรสูงอายุทั่วโลก ความเจ็บป่วยและโรคภัยไข้เจ็บจำนวนมากมายที่ยังคงระบาดไปทั่วโลก
สำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสการลงทุนและรับความเสี่ยงได้สูง การลงทุนในกลุ่มการเงินของสหรัฐฯและยุโรปยังคงน่าสนใจ ท้ายที่สุดแล้ว ธนาคารกลางทั่วโลกจะเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ย และส่วนต่างของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) จะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้กับธนาคารเหล่านี้ได้ ทองคำและพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นเป็นทรัพย์สินที่นักลงทุนนิยมถือครองในช่วงที่สถานการณ์ไม่แน่นอนและมีการปิดรับความเสี่ยง (risk-off) ในขณะที่มีคำถามถึงความแข็งแกร่งของเงินดอลลาร์สหรัฐ ทองคำมักจะเป็นแหล่งเก็บมูลค่าและโอกาสที่นักลงทุนควรคำนึงถึง เป็นสินทรัพย์สำหรับนักลงทุนที่มองหาความปลอดภัย
ถือเป็นเรื่องปกติที่นักลงทุนจะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนมากกว่าหนึ่งครั้งในเส้นทางการลงทุน ดังนั้น เราจึงแนะนำให้นักลงทุนเริ่มลงทุนโดยใช้การเฉลี่ยต้นทุน (DCA) หลักการ Risk-First ของยูโอบี สามารถช่วยให้เส้นทางการลงทุนราบรื่นขึ้น โดยแนะนำกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมสำหรับพอร์ตโฟลิโอให้หลากหลาย ที่สอดคล้องกับความเสี่ยงของนักลงทุนแต่ละท่าน ก่อนตัดสินใจลงทุนใดๆ นักลงทุนควรแน่ใจว่ามีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังลงทุนและได้พิจารณาปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นแล้ว
ที่มา: UOB Investment Insights: Implications of the Ukraine Crisis.