ผมเขียนกระทู้นี้เพราะอยากระบายความรู้สึกตลอด 2 ปีที่ต้องเผชิญกับโรคโควิด 19 ระบาด ตลอด 2 ปีนี้ชีวิตผมเปลี่ยนไปเยอะมาก เปลี่ยนไปในทางแย่ลงทั้งจิตใจและร่างกาย ในทางจิตใจผมรู้สึกหดหู่กับสถานการณ์ที่เผชิญอยู่อย่างยาวนานจนไม่เหลือความสามารถในการคิดบวก ต่อเนื่องมาถึงความเครียดจนส่งผลต่อร่างกาย โดยเฉพาะกรดไหลย้อนที่เป็นหนักขึ้น ผมอยากจะกล่าวถึงความไม่น่าอยู่ของโลกนี้ใน 3 ระดับ
1.ในระดับตัวเอง ก่อนที่จะเกิดโควิดระบาดผมมีความสุขกับการอยู่คนเดียวได้ด้วยการกินและการท่องเที่ยวเดินทาง ผมชอบตามใจตัวเอง ชอบหาของอร่อยกิน แก้เครียด แก้เบื่อ แก้เหงาด้วยการหาของกินอร่อยๆไปทั่ว แต่พอมีการระบาดของโควิดในช่วงแรกผมเครียดมาก ร้านอร่อยๆที่เคยกินปิดหมด ในขณะนั้นผมก็อดทนคิดว่าคงไม่กี่เดือนทุกอย่างคงปกติ แต่มันก็ไม่ปกติเหมือนเดิม ร้านอร่อยๆบางร้านที่เคยกินหายไป นั่งกินไม่ได้ เงื่อนไขในการกินเยอะ โดยเฉพาะการห้ามดื่มแอลกอฮอล์ในร้าน ในขณะที่การเดินทางท่องเที่ยวไม่ว่าช่วงแรกหรือปัจจุบันนี้มันแย่ลงไปเยอะ เมื่อพิจารณาจากสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละที่ที่ผมไปในสถานการณ์ตอนนี้ก็เปิดบริการไม่ปกติสักที่ บางที่ปิดถาวร นักท่องเที่ยวบางตา เงียบเหงา บรรยากาศแบบนี้ผมเที่ยวก็ไม่มีความสุข โดยส่วนตัวผมเป็นคนชอบคุยชอบถาม ไปเที่ยวที่ไหนก็จะถามถึงสถานการณ์ของที่นั้น ซึ่งทุกที่ที่ไปสถานการณ์แย่หมด ผมในฐานะนักท่องเที่ยวก็ได้แต่ให้กำลังใจผู้ประการการท่องเที่ยวว่าเดี๋ยวมันก็ดีขึ้น ทั้งที่ในใจผมก็ไม่รู้ว่ามันจะดีขึ้นเมื่อไหร่ จนบางครั้งผมก็รู้สึกไม่อยากเที่ยวแล้วเพราะไปแล้วทุกอย่างไม่กลับมาเหมือนเดิม ผมไปแล้วก็ไม่สนุก
ตรงกันข้ามถ้าผมไม่เที่ยว ไม่เดินทาง แล้วต้องอยู่นิ่งๆเหมือนกักตัวเองผมก็ทำไม่ได้ ผมอยู่นิ่งๆคนเดียวไม่ได้ การนิ่งๆทำอะไรซ้ำๆจำเจๆเป็นเรื่องน่าเบื่อและตอกย้ำว่าชีวิตมันไม่มีความหมาย หมดแรงบันดาลใจ หมดกำลังใจในการริเริ่ม ยิ่งผมอยู่คนเดียวชีวิตยิ่งเฉา ผมไม่สามารถปรับตัวนิวนอร์มอลเพื่ออยู่กับโควิดได้ ผมลืมบอกไปว่าผมโสด ความโสดของผมมีผลลบต่อการอยู่คนเดียวมาก มันเหงาทวีคูณ โดยปกติแล้วความโสดหรือการอยู่คนเดียวไม่เคยมีปัญหาต่อจิตใจผม ยามใดที่ผมเหงาผมก็แค่ออกไปเที่ยว ไปหาอะไรกิน หรือถ้าเหงาและท้อแท้ชีวิตมาก ผมมีครอบครัว มีเพื่อนให้กลับไปหา พอหายเบื่อ หายเหงาก็กับมาใช้ชีวิตคนเดียว ชีวิตผมวนแบบนี้มานานแล้ว จนกระทั่งมีโควิดเข้ามา ในตอนที่โรคนี้ระบาดใหม่ๆ ชีวิตผมแย่มากเพราะต้องกักตัวไปหาใครไม่ได้เลย แม้แต่ปัจจุบันนี้ก็ไม่ถือว่าดีขึ้นเพราะการรวมตัวกันแต่ละครั้งไม่ว่ารวมญาติ รวมเพื่อน ผมก็กังวลว่า การรวมตัวทุกครั้งจะทำให้ผมหรือคนใกล้ตัวผมเสี่ยงติดโควิดหรือไม่ แม้ตอนนี้จะดีขึ้นเมื่อหลายคนรอบตัวผมฉีดวัคซีนกันแล้ว แต่ความกลัวกังวลก็มิได้หมดไป
2.ในระดับประเทศ
สถานการณ์โควิด 19 สำแดงชัดว่าผมไม่ใช่เจ้าของประเทศนี้ ความรู้สึกอยู่ในประเทศนี้อย่างไร้คุณค่า ถูกด้อยค่า เป็นปัญหา เป็นภาระของประเทศมันชัดเจนมากในช่วงโควิดระบาด ย้อนกลับไปที่โควิดระบาดหนักรอบแรก ในช่วงที่ล็อคดาวน์ประชาชนถูกสั่งให้อยู่กับบ้าน การเยียวยาต้องลงทะเบียน การติดโควิดเป็นตราบาป เป็นที่รังเกียจ การใช้ชีวิตปกติดแล้วติดโวคิดเพราะไม่ป้องกันตัวเองต้องถูกประจาน การแพร่กระจายโรคในระยะต่อมากลายเป็นความผิดของประชาชนทั้งประเทศ ทั้งที่การระบาดโควิดเกิดมาจากการปล่อยปละละเลยนักท่องเที่ยวจีน การปล่อยให้มีการเล่นการพนัน สนามมวย แรงงานเถื่อน และสถานบันเทิง แต่คนผิดคือประชาชนไม่ใช่รัฐบาล
ในขณะที่การเยียวยาก็เป็นการเลือกเฉพาะกลุ่มผ่านโครงการต่างๆ โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน จุดมุ่งหมายของโครงการเหล่านี้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่าจะให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น ความรู้สึกของผมต่อโครงการเหล่านี้ ผมรู้สึกว่าผมเป็นเพียงเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อการท่องเที่ยว ผมต้องทำตัวให้สะอาดปราศจากโรค โควิดในประเทศไทยต้องเป็นศูนย์เพื่อให้นักท่องเที่ยวต่างชาติอยากมาเที่ยวประเทศไทย แรงงานในโรงงานต้องถูกกักตัว ยอมจำนนต่อการฉีดวัคซีนแบบไม่มีทางเลือกเพื่อให้กลไกอุตสาหกรรมเดินต่อไป การจัดหาวัคซีนที่ล่าช้าและบีบบังคับให้ประชาชนไม่มีทางเลือกต้องยอมตามที่รัฐสั่ง ใครไม่ยอมใครไม่ทำตามจะถูกตีตราเป็นพวกสร้างปัญหา ทั้งที่ทั้งหมดนี้มันคือชีวิตเราแต่เราไม่มีทางเลือกอะไรเลย นี่คือความด้อยค่า ไร้ค่า ที่รัฐทำกับเราแบบนี้ได้เพราะรัฐไม่ได้เห็นเราเป็นเจ้าของประเทศ
3.ในระดับโลก
2 ปีที่โควิดระบาด ในช่วงที่ล็อคดาวน์ผมผลิตขยะพลาสติกเยอะมาก เยอะจนผมละอายใจที่ต้องทิ้งขยะพลาสติกเหล่านี้อย่างชุ่ยๆ ตอนแรกผมพยายามล้าง แยกขยะพลาสติก แต่สถานการณ์นี้มันไม่จบง่ายๆ นานไปเข้าผมก็รู้สึกชีวิตมีภาระมากขึ้นจึงเลิกทำ แต่หลายเดือนผ่านไปจนกลายเป็นปีเริ่มมีข่าวพลาสติกเพิ่มสูงขึ้นเป็นทวีคูณ ขยะจากหน้ากากอนามัยจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะข่าวนาโนพลาสติกที่ปนเปื้อนในอาหารโดยเฉพาะสัตว์น้ำ มันเพิ่มความกลัวและกังวลใจของผมมาก อย่างที่บอกผมเป็นคนที่มีความสุขกับการกินโดยเฉพาะอาหารทะเล เท่าที่ผมตามข่าวนาโนพลาสติก เรื่องนี้เป็นปัญหาใหม่ของโลก ไม่มีใครศึกษาผลกระทบระยะยาวว่าจะส่งผลต่อสุขภาพของมนุษย์อย่างไร แต่ในสัตว์ทะเลนาโนพลาสติกทำให้เกิดการอุดตันในลำไส้สัตว์ ภาวะโฮร์โมนสัตว์เปลี่ยน ในมนุษย์สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นคือ นาโนพลาสติกจะนำพาสารก่อมะเร็งติดมาในร่างกายมนุษย์ ในอนาคตมนุษย์จะเป็นมะเร็งง่ายขึ้น และด้วยความเล็กของนาโนพลาสติกมันสามารถเข้าสู่กระแสเลือดจนอาจเกิดการอุดตันในเส้นเลือดได้ เรื่องนี้สร้างความกังวลและความกลัวให้กลับผม มันทำให้ความสุขในการกินผมหายไปจนผมต้องกลับมาแยกขยะพลาสติกตามเดิม
อีกเรื่องคือสภาวะโลกร้อนที่มันรุนแรงมากในช่วงที่โควิดระบาด ที่ผ่านมาผมไม่ได้สนใจเรื่องโลกร้อนเท่าไหร่ เพราะอาจไม่มีมีเวลามาสนใจ จนผมต้องมาอยู่นิ่งๆจากการล็อคดาวน์ผมถึงได้ตระหนักว่าโลกนี้มันโคตรร้อน ยิ่งว่างตามข่าวก็ยิ่งรู้ว่าโลกนี้กำลังไม่ปกติ ภัยธรรมชาติเกิดขึ้นบ่อยและรุนแรงมาก ฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ก็เยอะ อากาศก็ไม่น่าหายใจ เวลาผมไปเที่ยว อยู่บ้านก็เจอฝุ่นพิษ และอากาศร้อนๆแบบไม่มีทางเลือก ทำให้ผมโหยหาอากาศดีๆหายใจสบายในตอนเด็กๆ ผมอยากกลับไปหาโลกตอนนั้นแต่คงยาก
ที่กล่าวมาทั้ง 3 ข้อเป็นเรื่องที่ผมอยากระบายว่าโลกนี้มันไม่น่าอยู่เหมือนเดิมแล้ว และต่อไปก็คงจะแย่กว่านี้ ยิ่งคิดยิ่งไม่มีความสุข และรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสุขในสถานการณ์ตอนนี้เลย
หลังโควิดโลกไม่น่าอยู่เหมือนเดิม
1.ในระดับตัวเอง ก่อนที่จะเกิดโควิดระบาดผมมีความสุขกับการอยู่คนเดียวได้ด้วยการกินและการท่องเที่ยวเดินทาง ผมชอบตามใจตัวเอง ชอบหาของอร่อยกิน แก้เครียด แก้เบื่อ แก้เหงาด้วยการหาของกินอร่อยๆไปทั่ว แต่พอมีการระบาดของโควิดในช่วงแรกผมเครียดมาก ร้านอร่อยๆที่เคยกินปิดหมด ในขณะนั้นผมก็อดทนคิดว่าคงไม่กี่เดือนทุกอย่างคงปกติ แต่มันก็ไม่ปกติเหมือนเดิม ร้านอร่อยๆบางร้านที่เคยกินหายไป นั่งกินไม่ได้ เงื่อนไขในการกินเยอะ โดยเฉพาะการห้ามดื่มแอลกอฮอล์ในร้าน ในขณะที่การเดินทางท่องเที่ยวไม่ว่าช่วงแรกหรือปัจจุบันนี้มันแย่ลงไปเยอะ เมื่อพิจารณาจากสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละที่ที่ผมไปในสถานการณ์ตอนนี้ก็เปิดบริการไม่ปกติสักที่ บางที่ปิดถาวร นักท่องเที่ยวบางตา เงียบเหงา บรรยากาศแบบนี้ผมเที่ยวก็ไม่มีความสุข โดยส่วนตัวผมเป็นคนชอบคุยชอบถาม ไปเที่ยวที่ไหนก็จะถามถึงสถานการณ์ของที่นั้น ซึ่งทุกที่ที่ไปสถานการณ์แย่หมด ผมในฐานะนักท่องเที่ยวก็ได้แต่ให้กำลังใจผู้ประการการท่องเที่ยวว่าเดี๋ยวมันก็ดีขึ้น ทั้งที่ในใจผมก็ไม่รู้ว่ามันจะดีขึ้นเมื่อไหร่ จนบางครั้งผมก็รู้สึกไม่อยากเที่ยวแล้วเพราะไปแล้วทุกอย่างไม่กลับมาเหมือนเดิม ผมไปแล้วก็ไม่สนุก
ตรงกันข้ามถ้าผมไม่เที่ยว ไม่เดินทาง แล้วต้องอยู่นิ่งๆเหมือนกักตัวเองผมก็ทำไม่ได้ ผมอยู่นิ่งๆคนเดียวไม่ได้ การนิ่งๆทำอะไรซ้ำๆจำเจๆเป็นเรื่องน่าเบื่อและตอกย้ำว่าชีวิตมันไม่มีความหมาย หมดแรงบันดาลใจ หมดกำลังใจในการริเริ่ม ยิ่งผมอยู่คนเดียวชีวิตยิ่งเฉา ผมไม่สามารถปรับตัวนิวนอร์มอลเพื่ออยู่กับโควิดได้ ผมลืมบอกไปว่าผมโสด ความโสดของผมมีผลลบต่อการอยู่คนเดียวมาก มันเหงาทวีคูณ โดยปกติแล้วความโสดหรือการอยู่คนเดียวไม่เคยมีปัญหาต่อจิตใจผม ยามใดที่ผมเหงาผมก็แค่ออกไปเที่ยว ไปหาอะไรกิน หรือถ้าเหงาและท้อแท้ชีวิตมาก ผมมีครอบครัว มีเพื่อนให้กลับไปหา พอหายเบื่อ หายเหงาก็กับมาใช้ชีวิตคนเดียว ชีวิตผมวนแบบนี้มานานแล้ว จนกระทั่งมีโควิดเข้ามา ในตอนที่โรคนี้ระบาดใหม่ๆ ชีวิตผมแย่มากเพราะต้องกักตัวไปหาใครไม่ได้เลย แม้แต่ปัจจุบันนี้ก็ไม่ถือว่าดีขึ้นเพราะการรวมตัวกันแต่ละครั้งไม่ว่ารวมญาติ รวมเพื่อน ผมก็กังวลว่า การรวมตัวทุกครั้งจะทำให้ผมหรือคนใกล้ตัวผมเสี่ยงติดโควิดหรือไม่ แม้ตอนนี้จะดีขึ้นเมื่อหลายคนรอบตัวผมฉีดวัคซีนกันแล้ว แต่ความกลัวกังวลก็มิได้หมดไป
2.ในระดับประเทศ
สถานการณ์โควิด 19 สำแดงชัดว่าผมไม่ใช่เจ้าของประเทศนี้ ความรู้สึกอยู่ในประเทศนี้อย่างไร้คุณค่า ถูกด้อยค่า เป็นปัญหา เป็นภาระของประเทศมันชัดเจนมากในช่วงโควิดระบาด ย้อนกลับไปที่โควิดระบาดหนักรอบแรก ในช่วงที่ล็อคดาวน์ประชาชนถูกสั่งให้อยู่กับบ้าน การเยียวยาต้องลงทะเบียน การติดโควิดเป็นตราบาป เป็นที่รังเกียจ การใช้ชีวิตปกติดแล้วติดโวคิดเพราะไม่ป้องกันตัวเองต้องถูกประจาน การแพร่กระจายโรคในระยะต่อมากลายเป็นความผิดของประชาชนทั้งประเทศ ทั้งที่การระบาดโควิดเกิดมาจากการปล่อยปละละเลยนักท่องเที่ยวจีน การปล่อยให้มีการเล่นการพนัน สนามมวย แรงงานเถื่อน และสถานบันเทิง แต่คนผิดคือประชาชนไม่ใช่รัฐบาล
ในขณะที่การเยียวยาก็เป็นการเลือกเฉพาะกลุ่มผ่านโครงการต่างๆ โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน จุดมุ่งหมายของโครงการเหล่านี้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่าจะให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น ความรู้สึกของผมต่อโครงการเหล่านี้ ผมรู้สึกว่าผมเป็นเพียงเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อการท่องเที่ยว ผมต้องทำตัวให้สะอาดปราศจากโรค โควิดในประเทศไทยต้องเป็นศูนย์เพื่อให้นักท่องเที่ยวต่างชาติอยากมาเที่ยวประเทศไทย แรงงานในโรงงานต้องถูกกักตัว ยอมจำนนต่อการฉีดวัคซีนแบบไม่มีทางเลือกเพื่อให้กลไกอุตสาหกรรมเดินต่อไป การจัดหาวัคซีนที่ล่าช้าและบีบบังคับให้ประชาชนไม่มีทางเลือกต้องยอมตามที่รัฐสั่ง ใครไม่ยอมใครไม่ทำตามจะถูกตีตราเป็นพวกสร้างปัญหา ทั้งที่ทั้งหมดนี้มันคือชีวิตเราแต่เราไม่มีทางเลือกอะไรเลย นี่คือความด้อยค่า ไร้ค่า ที่รัฐทำกับเราแบบนี้ได้เพราะรัฐไม่ได้เห็นเราเป็นเจ้าของประเทศ
3.ในระดับโลก
2 ปีที่โควิดระบาด ในช่วงที่ล็อคดาวน์ผมผลิตขยะพลาสติกเยอะมาก เยอะจนผมละอายใจที่ต้องทิ้งขยะพลาสติกเหล่านี้อย่างชุ่ยๆ ตอนแรกผมพยายามล้าง แยกขยะพลาสติก แต่สถานการณ์นี้มันไม่จบง่ายๆ นานไปเข้าผมก็รู้สึกชีวิตมีภาระมากขึ้นจึงเลิกทำ แต่หลายเดือนผ่านไปจนกลายเป็นปีเริ่มมีข่าวพลาสติกเพิ่มสูงขึ้นเป็นทวีคูณ ขยะจากหน้ากากอนามัยจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะข่าวนาโนพลาสติกที่ปนเปื้อนในอาหารโดยเฉพาะสัตว์น้ำ มันเพิ่มความกลัวและกังวลใจของผมมาก อย่างที่บอกผมเป็นคนที่มีความสุขกับการกินโดยเฉพาะอาหารทะเล เท่าที่ผมตามข่าวนาโนพลาสติก เรื่องนี้เป็นปัญหาใหม่ของโลก ไม่มีใครศึกษาผลกระทบระยะยาวว่าจะส่งผลต่อสุขภาพของมนุษย์อย่างไร แต่ในสัตว์ทะเลนาโนพลาสติกทำให้เกิดการอุดตันในลำไส้สัตว์ ภาวะโฮร์โมนสัตว์เปลี่ยน ในมนุษย์สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นคือ นาโนพลาสติกจะนำพาสารก่อมะเร็งติดมาในร่างกายมนุษย์ ในอนาคตมนุษย์จะเป็นมะเร็งง่ายขึ้น และด้วยความเล็กของนาโนพลาสติกมันสามารถเข้าสู่กระแสเลือดจนอาจเกิดการอุดตันในเส้นเลือดได้ เรื่องนี้สร้างความกังวลและความกลัวให้กลับผม มันทำให้ความสุขในการกินผมหายไปจนผมต้องกลับมาแยกขยะพลาสติกตามเดิม
อีกเรื่องคือสภาวะโลกร้อนที่มันรุนแรงมากในช่วงที่โควิดระบาด ที่ผ่านมาผมไม่ได้สนใจเรื่องโลกร้อนเท่าไหร่ เพราะอาจไม่มีมีเวลามาสนใจ จนผมต้องมาอยู่นิ่งๆจากการล็อคดาวน์ผมถึงได้ตระหนักว่าโลกนี้มันโคตรร้อน ยิ่งว่างตามข่าวก็ยิ่งรู้ว่าโลกนี้กำลังไม่ปกติ ภัยธรรมชาติเกิดขึ้นบ่อยและรุนแรงมาก ฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ก็เยอะ อากาศก็ไม่น่าหายใจ เวลาผมไปเที่ยว อยู่บ้านก็เจอฝุ่นพิษ และอากาศร้อนๆแบบไม่มีทางเลือก ทำให้ผมโหยหาอากาศดีๆหายใจสบายในตอนเด็กๆ ผมอยากกลับไปหาโลกตอนนั้นแต่คงยาก
ที่กล่าวมาทั้ง 3 ข้อเป็นเรื่องที่ผมอยากระบายว่าโลกนี้มันไม่น่าอยู่เหมือนเดิมแล้ว และต่อไปก็คงจะแย่กว่านี้ ยิ่งคิดยิ่งไม่มีความสุข และรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสุขในสถานการณ์ตอนนี้เลย