ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือตั้งใจให้มีภาพยนตร์ที่พูดถึงเรื่องราวของ "พหุจักรวาล" หรือที่เรียกทับศัพท์ว่า "มัลติเวิร์ส" เข้าฉายในระยะเวลาใกล้เคียงกันทั้งสองเรื่องแบบนี้ ใจนึงก็อดคิดไม่ได้ว่าเป็นการตลาดที่เตรียมกันไว้ตั้งแต่แรกหรือเปล่า แต่นั่นก็ไม่น่าสนใจเท่ากับความจริงที่ว่านี่เป็นผลงานจากสตูดิโอเจ้าของหลากภาพยนตร์ไอเดียสุดล้ำขวัญใจนักวิจารณ์อย่าง A24 นำโดยสองผู้กำกับ the Daniels (Daniel Kwan และ Daniel Scheinert) ที่เคยฝากผลงานพล็อตสุดวายป่วงอย่าง Swiss Army Man (2016) ให้กับสตูดิโอนี้เช่นกัน เหมือนเป็นประตูบานแรกที่แสดงความบ้าบิ่นสุดพิลึกพิลั่นในหัวของสองผู้กำกับ นั่นจึงไม่น่าแปลกใจถ้า Everything Everywhere All at Once หรือในชื่อไทย "ซือเจ๊ทะลุมัลติเวิร์ส" จะพาคนดูไปสัมผัสความหลุดโลกและเพี้ยนสุดโต่ง จนไม่รู้จะบรรยายออกมาด้วยคำพูดไหนดีเลยทีเดียว หนำซ้ำยังเป็นภาพยนตร์ที่ใช้ทุนสร้างสูงที่สุดของ A24 อีกด้วย (25ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)

เรื่องราวของ เอเวอลีน หวัง (มิเชล โหย่ว) หญิงชาวจีนที่มาตั้งถิ่นฐานกิจการร้านซักรีดในอเมริกา ต้องเผชิญมรสุมชีวิต ทั้งเรื่องธุรกิจที่ประสบปัญหาขาดทุนสะสม ชีวิตคู่ที่ระหองระแหงกับเวย์มอนด์ (คี ฮุย ควน) สามีของเธอ ความเห็นที่ต่างกันกับลูกสาว (สเตฟานี่ ซู) ในการใช้ชีวิต หนำซ้ำยังถูกพ่อ (เจมส์ ฮ่อง) หัวโบราณคอยกดดันในเรื่องต่างๆ อีกทั้งเจ้าหน้าที่สรรพากร (เจมี ลี เคอร์ติส) ก็ยังจ้องจะเก็บภาษีและดำเนินคดีกับร้านของเธอในฐานะที่เลี่ยงภาษีอีก ท่ามกลางมรสุมนั้นยังไม่ใช่ที่สุด หากแต่ว่าวันหนึ่ง เวย์มอนด์ สามีของเธอได้มาบอกว่า มีจักรวาลคู่ขนานอยู่อีกเป็นอนันต์ และมีศัตรูตัวร้ายที่จะทำลายทุกจักรวาลให้สิ้นซาก เอเวอลีน คือความหวังเดียวที่จะหยุดหายนะในครั้งนี้ ด้วยการใช้ความสามารถของตัวเธอในจักรวาลอื่นๆ จะทำให้เธอแข็งแกร่งพอจะจัดการกับหายนะในครั้งนี้ได้หรือไม่

.
ถ้าการผจญภัยในมัลติเวิร์สของ Doctor Strange in the Multiverse of Madness นั้นมีคำว่าความบ้าคลั่งต่อท้ายแล้ว มัลติเวิร์สใน Everything Everywhere All at Once คงเป็นยิ่งกว่าความบ้าคลั่ง เพราะสิ่งที่หนังประเคนใส่คนดูตลอด 2ชั่วโมง 20 นาที มันคือหลากหลายอารมณ์และเรื่องราว ทั้งความเป็นแอคชั่นศิลปะป้องกันตัว ปรัชญาอันล้ำลึกของการมีอยู่ของจักรวาล ตลกขบขันกับความพิลึกพิลั่นของตัวละคร ความน่ากลัวราวกับภาพยนตร์สยองขวัญ สายสัมพันธ์ครอบครัวที่กระท่อนกระแท่น ความรักและความประนีประนอม ความต่างระหว่างวัย ปัญหาเรื่องเชื้อชาติ การเปิดกว้างเรื่องรสนิยมทางเพศ บลาๆๆ นี่ยังไม่รวมเรื่อง Easter Egg และบรรดาฉากคารวะหนังอีกหลายๆ เรื่องที่ใครรู้มากก็เห็นมากไปอีก หนำซ้ำการตัดต่อและการลำดับภาพก็ยังเล่นกับความรวดเร็วและความบ้าคลั่ง จึงเรียกว่าเป็น 2 ชั่วโมง 20 นาทีที่ไม่รู้จะหาคำไหนมาบรรยายจริงๆ

แต่ท่ามกลางความบ้าคลั่งและความโกลาหลของสิ่งต่างๆในเรื่อง(เพื่อให้คนดูตกอยู่ในสภาพเดียวกับเอเวอลีน) กลับไม่ได้ทำให้คนดูรู้สึกหงุดหงิดจนอยากจะลุกออกจากเก้าอี้แต่อย่างใด ต้องชื่นชมผู้กำกับในการเล่าเรื่องได้อย่างชาญฉลาดและเอาอยู่ในทุกจุด เปรียบเหมือนยืนอยู่ ณ บริเวณใจกลางพายุกำลังแรงสูง (ตาพายุ) ที่แม้โดยรอบจะเต็มไปด้วยความโกลาหล แต่ก็ยังมีจุดที่มีความสงบอย่างน่าประหลาดใจ เช่นกัน ในเรื่องจะเห็นว่า แม้เราจะไม่สามารถรับสารหรือเข้าใจทุกสิ่งที่หนังป้อนให้กับเราได้ แต่ก็ยังสามารถเข้าใจในเส้นเรื่องหลักและภาพรวมของหนังได้เหมือนเดิม โดยที่ไม่ต้องไปนั่งทำความเข้าใจ เหตุผลหรือตรรกะหลายๆอย่างที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องการข้ามพหุจักรวาล กลไกการย้ายจิต หรือกระทั่งคำถามเชิงว่า ทำไมต้องมาจักรวาลนี้ จักรวาลนั้นไปไหน เอเวอลีนในจักรวาลอื่นรู้เรื่องนี้ด้วยหรือไม่จะมาช่วยรึเปล่า มีใครควบคุมเรื่องนี้อีกหรือเปล่า บลาๆ เหล่าคำถามทั้งเชิงเทคนิคและเชิงความเป็นไปได้พวกนี้ ขอให้ตัดทิ้งไปและสนุกกับสิ่งที่หนังเล่าอย่างเดียวก็พอแล้ว (พูดอีกอย่างคือ ไม่ต้องไปคิดตาม คิดไปก็ไม่ได้คำตอบ ฮ่าๆ)

ว่ากันว่าภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จมักมีการเล่าเรื่องที่ไม่ธรรมดา (ไม่ได้หมายถึงเนื้อเรื่องหรือพล็อตนะ) เช่นกัน Everything Everywhere All at Once มีโครงสร้างการเล่าเรื่องที่ชาญฉลาด โดยในช่วงแรกหนังก็จะให้ข้อมูลพื้นฐานอย่าง ชีวิตประจำว่าของเอเวอลีน ปัญหาครอบครัว ภาระหนี้สิน ตัวละครแวดล้อมต่างๆ ที่เราเข้าใจได้ว่าเป็นตัวเกริ่นเรื่องและไม่ค่อยจะสนใจเท่าไหร่นัก แต่เมื่อถึงช่วงหลังกลับกลายเป็นว่า ตัวหนังกลับมาเก็บรายละเอียดของสิ่งเหล่านี้(อย่างละเอียด)ด้วย ไม่เพียงแต่เรื่องราวของตัวละคร ทั้งหลาย รวมถึงแม้แต่คำพูดที่เหมือนจะพูดแล้วผ่านไป ตัวละครที่ดูเหมือนจะใช้แล้วทิ้ง หรือแม้แต่จักรวาลที่มนุษย์มีนิ้วมือเป็นไส้กรอกก็ยังใส่เหตุผลที่ดูตลกว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นมาอีก ทำให้ทุกๆเรื่องราวดูมีมิติเพิ่มขึ้นอย่างมาก เห็นได้ชัดเลย คือ ตัวละคร เวย์มอนด์ สามีของเอเวอลีน และคุณป้าเจ้าหน้าที่สรรพากร ที่กลายเป็นตัวละครที่มีมิติอย่างน่าเหลือเชื่อและเป็นตัวเบิกทางสู่จุดสุดท้ายของหนังที่ต้องการจะเล่าได้มีพลังและเป็นสิ่งที่ตัวหนังต้องการจะสื่อจริงๆ อีกด้วย

.
แม้ตัวหนังจะดูโกลาหลวุ่นวายและบ้าคลั่งเพียงใด แต่เมื่อตัดสิ่งเหล่านั้นออกจะพบว่า เนื้อแท้แล้วหนังไม่ได้เล่าเรื่องที่ยากเกินความเข้าใจเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นเรื่องของครอบครัว ช่วงวัย ความรักความเข้าใจกัน (ในขนบของชาวเอเชีย ซึ่งไม่น่าแปลกใจเพราะ Daniel Kwan หนึ่งในผู้กำกับก็มีเชื้อสายเอเชียด้วย) เพียงแต่มันถูกเบนความสนใจเหมือนเอเวอลีนในช่วงแรกที่สับสนอลหม่านกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เมื่อเธอเริ่มจะเข้าใจและรับมันได้แล้ว ทุกอย่างก็ดูเข้ารูปเข้ารอยมากขึ้นนั่นเอง ซึ่งจุดที่บอกว่าเป็นแบบนั้น คือ เมื่อเอเวอลีนใช้ลูกตาของเล่นมาแปะกลางหน้าผาก เหมือนต้องการจะบอกว่า ตัวเธอได้เบิกเนตร เข้าใจทุกสิ่งแล้ว (แต่คนดูยังเกาหัวแกร๊กๆ ฮ่าๆๆ)

ก็ต้องพูดว่า เป็นภาพยนตร์ที่ใช้ความเป็นมัลติเวิร์สได้คุ้มค่าจริงๆ ทั้งในแง่ของการเล่าเรื่อง การสร้างคำถามเชิงปรัชญา เช่น ตัวเราในอีกจักรวาลหนึ่งจะเป็นอย่างไร ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว สวยหรือขี้เหล่ รวยหรือจน เป็นคนดีหรือเลว ซึ่งในหนังก็พอจะแสดงเรื่องราวเหล่านี้บ้างไปแล้ว และที่สำคัญยังเป็นการเปิดความคิดสร้างสรรค์ในการใส่ Easter Egg ทั้งหลายทั้งปวง เรียกว่า ต่อให้ไม่ใช่คอหนังก็ยังต้องคุ้นๆ กับท่าที หรือฉาก หรือสิ่งของบางอย่าง ที่เกิดขึ้น แม้หลักๆ จะเป็นการคาราวะหนังกำลังภายในซะเป็นส่วนใหญ่ (ไม่น่าแปลกใจเพราะเรื่องราวตั้งอยู่บนความเป็นเอเชีย) แต่ก็มีเรื่องราวอย่างอื่น ทั้งกระบวนการข้ามจักรวาลและการดาวน์โหลดทักษะที่ดูยังไงก็มีต้นทางจาก The Matrix (ดีไม่มีฉากหลบกระสุนของนีโอ ฮ่าๆ) เรื่องราวของเจ้าหนูจากราตาทูย (Ratatouille) ที่เปลี่ยนเป็นแรคคูน ชื่อว่า แรคคาคูนี่ (Raccacoonie) ลิงจาก 2001: A Space Odyssey ที่เป็นต้นเหตุให้มนุษย์นิ้วมือปกติสูญพันธุ์ หรือกระทั่ง In The Mood For Love ของ หว่อง กาไว (Wong Kar-wai) ที่เหมือนยกฉากคุยกันมาทั้งดุ้นแต่เปลี่ยนแค่คนแสดงกับบทสนทนา เพลง Absolutely (Story Of A Girl) ของวง Nine Days ที่เล่นซ้ำหลายครั้งเหมือนเป็นตัวแทนของเอเวอลีน ยังไม่รวม Easter Egg ของนักแสดงหลักอย่าง มิเชล โหย่ว (Michelle Yeoh) ที่มีการล้อผลงานก่อนหน้าของเธออย่าง Crazy Rich Asians และ คี ฮุย ควน (Ke Huy Quan) ที่มีผลงานในวัยเด็กรับบทเป็นตัวละครนักประดิษฐ์ Data จากเรื่อง The Goonies ที่มีกระเป๋าคาดเอวเป็นสัญลักษณ์ก็ยังถูกจับมาใส่ในหนังเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน (ใช้กระเป๋าฟาดไปเลย) แน่นอนว่านี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ใครรู้มากก็ยิ่งเข้าใจมากเป็นเหมือนความสนุกเล็กๆ ที่เข้าใจสิ่งเหล่านี้แต่ก็ไม่ส่งผลต่อตัวเรื่องแต่อย่างใด

ทางด้านนักแสดงก็มีเรื่องราวไม่แพ้กัน จากที่เดิมทีบทตัวเอกถูกวางให้ เฉิน หลง (Jackie Chan) มารับบทนำ แต่กลับเปลี่ยนใจมาใช้ผู้หญิงดำเนินเรื่อง บทนี้จึงตกมาถึงนักแสดงหญิงผู้คร่ำหวอดในฮอลิวูดมาเนิ่นนานอย่าง มิเชล โหย่ว (Michelle Yeoh) ซึ่งนับได้ว่าเป็นบทนำในภาพยนตร์ฮอลิวูดเรื่องแรกของเธอเลยด้วย และก็ไม่น่าผิดหวัง เมื่อมิเชล โหย่ว มอบการแสดงที่ยอดเยี่ยมให้กับหนัง จนคิดว่าอาจจะมีชื่อเธอโผล่ในงานประกาศรางวัลเลยทีเดียว ส่วนทางด้าน คี ฮุย ควน (Ke Huy Quan) แม้จะประกาศเลิกแสดงไปตั้งแต่ปี 2002 แล้ว แต่ก็กลับมารับบทนี้ หนำซ้ำยังจงใจออกแบบตัวละครให้คล้ายคลึงกับ เฉิน หลง ทั้งรูปร่างหน้าตาและลักษณะการต่อสู้ ส่วนอีกคนที่น่าจับตามอง คือ สเตฟานี่ ซู (Stephanie Hsu) ลูกสาวตระกูลหวัง ที่แสดงความบ้าคลั่งของตัวละครได้น่าประทับใจ ทางด้านรุ่นใหญ่อย่าง เจมี ลี เคอร์ติส (Jamie Lee Curtis) และ เจมส์ ฮ่อง (James Hong) ก็โผล่มาขโมยซีนเรียกเสียงฮาได้หลายรอบอยู่เหมือนกัน

ทางด้านงานสร้างก็ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจ เมื่อมีการเปิดเผยว่า ในส่วนของเทคนิคพิเศษด้านภาพ (CGI) นั้น มีทีมงานอยู่เพียงไม่ถึงสิบคน และทุกคนล้วนเป็นมือใหม่ที่ศึกษาวิธีการทำจากอินเทอร์เน็ต ซึ่งนับว่าน่าตกใจไม่น้อยเลย และในส่วนอื่นๆ ก็ถือว่าอยู่ในระดับมาตรฐาน จะรู้สึกตลกตรงที่ ชุดของตัวละคร จอย ลูกสาวของเอเวอลีน มีการเปลี่ยนไปในทุกๆ ฉาก พาลให้นึกถึงจักรวาลหอแต๋วแตกของ พจน์ อานนท์ อยู่แว้บๆ

สรุป Everything Everywhere All at Once เป็นภาพยนตร์ที่ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ และเต็มไปด้วยรายละเอียดยิบย่อยมากมาย แต่ด้วยจุดแข็งที่การเล่าเรื่อง ทำให้แม้จะไม่สามารถเก็บทุกรายละเอียดของภาพยนตร์ได้ ก็ไม่ส่งผลต่อสิ่งที่ภาพยนตร์ต้องการจะสื่อ และยังสร้างสรรค์ด้วยการตัดต่อและการลำดับภาพ รวมถึงองค์ประกอบอื่นๆ ทั้ง นักแสดง และ Easter Egg ที่ใส่เข้ามา ก็ยิ่งทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ดูสมบูรณ์แบบและคู่ควรกับการประสบความสำเร็จทั้งเงินทั้งกล่องเลยทีเดียว

ฝากเพจด้วยนะครับ
Story Decoder
[รีวิว] Everything Everywhere All at Once: ซือเจ้ในมัลติเวิร์สกับการประเคนความบ้าคลั่งขั้นสุด
เรื่องราวของ เอเวอลีน หวัง (มิเชล โหย่ว) หญิงชาวจีนที่มาตั้งถิ่นฐานกิจการร้านซักรีดในอเมริกา ต้องเผชิญมรสุมชีวิต ทั้งเรื่องธุรกิจที่ประสบปัญหาขาดทุนสะสม ชีวิตคู่ที่ระหองระแหงกับเวย์มอนด์ (คี ฮุย ควน) สามีของเธอ ความเห็นที่ต่างกันกับลูกสาว (สเตฟานี่ ซู) ในการใช้ชีวิต หนำซ้ำยังถูกพ่อ (เจมส์ ฮ่อง) หัวโบราณคอยกดดันในเรื่องต่างๆ อีกทั้งเจ้าหน้าที่สรรพากร (เจมี ลี เคอร์ติส) ก็ยังจ้องจะเก็บภาษีและดำเนินคดีกับร้านของเธอในฐานะที่เลี่ยงภาษีอีก ท่ามกลางมรสุมนั้นยังไม่ใช่ที่สุด หากแต่ว่าวันหนึ่ง เวย์มอนด์ สามีของเธอได้มาบอกว่า มีจักรวาลคู่ขนานอยู่อีกเป็นอนันต์ และมีศัตรูตัวร้ายที่จะทำลายทุกจักรวาลให้สิ้นซาก เอเวอลีน คือความหวังเดียวที่จะหยุดหายนะในครั้งนี้ ด้วยการใช้ความสามารถของตัวเธอในจักรวาลอื่นๆ จะทำให้เธอแข็งแกร่งพอจะจัดการกับหายนะในครั้งนี้ได้หรือไม่
.
ถ้าการผจญภัยในมัลติเวิร์สของ Doctor Strange in the Multiverse of Madness นั้นมีคำว่าความบ้าคลั่งต่อท้ายแล้ว มัลติเวิร์สใน Everything Everywhere All at Once คงเป็นยิ่งกว่าความบ้าคลั่ง เพราะสิ่งที่หนังประเคนใส่คนดูตลอด 2ชั่วโมง 20 นาที มันคือหลากหลายอารมณ์และเรื่องราว ทั้งความเป็นแอคชั่นศิลปะป้องกันตัว ปรัชญาอันล้ำลึกของการมีอยู่ของจักรวาล ตลกขบขันกับความพิลึกพิลั่นของตัวละคร ความน่ากลัวราวกับภาพยนตร์สยองขวัญ สายสัมพันธ์ครอบครัวที่กระท่อนกระแท่น ความรักและความประนีประนอม ความต่างระหว่างวัย ปัญหาเรื่องเชื้อชาติ การเปิดกว้างเรื่องรสนิยมทางเพศ บลาๆๆ นี่ยังไม่รวมเรื่อง Easter Egg และบรรดาฉากคารวะหนังอีกหลายๆ เรื่องที่ใครรู้มากก็เห็นมากไปอีก หนำซ้ำการตัดต่อและการลำดับภาพก็ยังเล่นกับความรวดเร็วและความบ้าคลั่ง จึงเรียกว่าเป็น 2 ชั่วโมง 20 นาทีที่ไม่รู้จะหาคำไหนมาบรรยายจริงๆ
แต่ท่ามกลางความบ้าคลั่งและความโกลาหลของสิ่งต่างๆในเรื่อง(เพื่อให้คนดูตกอยู่ในสภาพเดียวกับเอเวอลีน) กลับไม่ได้ทำให้คนดูรู้สึกหงุดหงิดจนอยากจะลุกออกจากเก้าอี้แต่อย่างใด ต้องชื่นชมผู้กำกับในการเล่าเรื่องได้อย่างชาญฉลาดและเอาอยู่ในทุกจุด เปรียบเหมือนยืนอยู่ ณ บริเวณใจกลางพายุกำลังแรงสูง (ตาพายุ) ที่แม้โดยรอบจะเต็มไปด้วยความโกลาหล แต่ก็ยังมีจุดที่มีความสงบอย่างน่าประหลาดใจ เช่นกัน ในเรื่องจะเห็นว่า แม้เราจะไม่สามารถรับสารหรือเข้าใจทุกสิ่งที่หนังป้อนให้กับเราได้ แต่ก็ยังสามารถเข้าใจในเส้นเรื่องหลักและภาพรวมของหนังได้เหมือนเดิม โดยที่ไม่ต้องไปนั่งทำความเข้าใจ เหตุผลหรือตรรกะหลายๆอย่างที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องการข้ามพหุจักรวาล กลไกการย้ายจิต หรือกระทั่งคำถามเชิงว่า ทำไมต้องมาจักรวาลนี้ จักรวาลนั้นไปไหน เอเวอลีนในจักรวาลอื่นรู้เรื่องนี้ด้วยหรือไม่จะมาช่วยรึเปล่า มีใครควบคุมเรื่องนี้อีกหรือเปล่า บลาๆ เหล่าคำถามทั้งเชิงเทคนิคและเชิงความเป็นไปได้พวกนี้ ขอให้ตัดทิ้งไปและสนุกกับสิ่งที่หนังเล่าอย่างเดียวก็พอแล้ว (พูดอีกอย่างคือ ไม่ต้องไปคิดตาม คิดไปก็ไม่ได้คำตอบ ฮ่าๆ)
ว่ากันว่าภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จมักมีการเล่าเรื่องที่ไม่ธรรมดา (ไม่ได้หมายถึงเนื้อเรื่องหรือพล็อตนะ) เช่นกัน Everything Everywhere All at Once มีโครงสร้างการเล่าเรื่องที่ชาญฉลาด โดยในช่วงแรกหนังก็จะให้ข้อมูลพื้นฐานอย่าง ชีวิตประจำว่าของเอเวอลีน ปัญหาครอบครัว ภาระหนี้สิน ตัวละครแวดล้อมต่างๆ ที่เราเข้าใจได้ว่าเป็นตัวเกริ่นเรื่องและไม่ค่อยจะสนใจเท่าไหร่นัก แต่เมื่อถึงช่วงหลังกลับกลายเป็นว่า ตัวหนังกลับมาเก็บรายละเอียดของสิ่งเหล่านี้(อย่างละเอียด)ด้วย ไม่เพียงแต่เรื่องราวของตัวละคร ทั้งหลาย รวมถึงแม้แต่คำพูดที่เหมือนจะพูดแล้วผ่านไป ตัวละครที่ดูเหมือนจะใช้แล้วทิ้ง หรือแม้แต่จักรวาลที่มนุษย์มีนิ้วมือเป็นไส้กรอกก็ยังใส่เหตุผลที่ดูตลกว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นมาอีก ทำให้ทุกๆเรื่องราวดูมีมิติเพิ่มขึ้นอย่างมาก เห็นได้ชัดเลย คือ ตัวละคร เวย์มอนด์ สามีของเอเวอลีน และคุณป้าเจ้าหน้าที่สรรพากร ที่กลายเป็นตัวละครที่มีมิติอย่างน่าเหลือเชื่อและเป็นตัวเบิกทางสู่จุดสุดท้ายของหนังที่ต้องการจะเล่าได้มีพลังและเป็นสิ่งที่ตัวหนังต้องการจะสื่อจริงๆ อีกด้วย
แม้ตัวหนังจะดูโกลาหลวุ่นวายและบ้าคลั่งเพียงใด แต่เมื่อตัดสิ่งเหล่านั้นออกจะพบว่า เนื้อแท้แล้วหนังไม่ได้เล่าเรื่องที่ยากเกินความเข้าใจเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นเรื่องของครอบครัว ช่วงวัย ความรักความเข้าใจกัน (ในขนบของชาวเอเชีย ซึ่งไม่น่าแปลกใจเพราะ Daniel Kwan หนึ่งในผู้กำกับก็มีเชื้อสายเอเชียด้วย) เพียงแต่มันถูกเบนความสนใจเหมือนเอเวอลีนในช่วงแรกที่สับสนอลหม่านกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เมื่อเธอเริ่มจะเข้าใจและรับมันได้แล้ว ทุกอย่างก็ดูเข้ารูปเข้ารอยมากขึ้นนั่นเอง ซึ่งจุดที่บอกว่าเป็นแบบนั้น คือ เมื่อเอเวอลีนใช้ลูกตาของเล่นมาแปะกลางหน้าผาก เหมือนต้องการจะบอกว่า ตัวเธอได้เบิกเนตร เข้าใจทุกสิ่งแล้ว (แต่คนดูยังเกาหัวแกร๊กๆ ฮ่าๆๆ)
ก็ต้องพูดว่า เป็นภาพยนตร์ที่ใช้ความเป็นมัลติเวิร์สได้คุ้มค่าจริงๆ ทั้งในแง่ของการเล่าเรื่อง การสร้างคำถามเชิงปรัชญา เช่น ตัวเราในอีกจักรวาลหนึ่งจะเป็นอย่างไร ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว สวยหรือขี้เหล่ รวยหรือจน เป็นคนดีหรือเลว ซึ่งในหนังก็พอจะแสดงเรื่องราวเหล่านี้บ้างไปแล้ว และที่สำคัญยังเป็นการเปิดความคิดสร้างสรรค์ในการใส่ Easter Egg ทั้งหลายทั้งปวง เรียกว่า ต่อให้ไม่ใช่คอหนังก็ยังต้องคุ้นๆ กับท่าที หรือฉาก หรือสิ่งของบางอย่าง ที่เกิดขึ้น แม้หลักๆ จะเป็นการคาราวะหนังกำลังภายในซะเป็นส่วนใหญ่ (ไม่น่าแปลกใจเพราะเรื่องราวตั้งอยู่บนความเป็นเอเชีย) แต่ก็มีเรื่องราวอย่างอื่น ทั้งกระบวนการข้ามจักรวาลและการดาวน์โหลดทักษะที่ดูยังไงก็มีต้นทางจาก The Matrix (ดีไม่มีฉากหลบกระสุนของนีโอ ฮ่าๆ) เรื่องราวของเจ้าหนูจากราตาทูย (Ratatouille) ที่เปลี่ยนเป็นแรคคูน ชื่อว่า แรคคาคูนี่ (Raccacoonie) ลิงจาก 2001: A Space Odyssey ที่เป็นต้นเหตุให้มนุษย์นิ้วมือปกติสูญพันธุ์ หรือกระทั่ง In The Mood For Love ของ หว่อง กาไว (Wong Kar-wai) ที่เหมือนยกฉากคุยกันมาทั้งดุ้นแต่เปลี่ยนแค่คนแสดงกับบทสนทนา เพลง Absolutely (Story Of A Girl) ของวง Nine Days ที่เล่นซ้ำหลายครั้งเหมือนเป็นตัวแทนของเอเวอลีน ยังไม่รวม Easter Egg ของนักแสดงหลักอย่าง มิเชล โหย่ว (Michelle Yeoh) ที่มีการล้อผลงานก่อนหน้าของเธออย่าง Crazy Rich Asians และ คี ฮุย ควน (Ke Huy Quan) ที่มีผลงานในวัยเด็กรับบทเป็นตัวละครนักประดิษฐ์ Data จากเรื่อง The Goonies ที่มีกระเป๋าคาดเอวเป็นสัญลักษณ์ก็ยังถูกจับมาใส่ในหนังเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน (ใช้กระเป๋าฟาดไปเลย) แน่นอนว่านี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ใครรู้มากก็ยิ่งเข้าใจมากเป็นเหมือนความสนุกเล็กๆ ที่เข้าใจสิ่งเหล่านี้แต่ก็ไม่ส่งผลต่อตัวเรื่องแต่อย่างใด
ทางด้านนักแสดงก็มีเรื่องราวไม่แพ้กัน จากที่เดิมทีบทตัวเอกถูกวางให้ เฉิน หลง (Jackie Chan) มารับบทนำ แต่กลับเปลี่ยนใจมาใช้ผู้หญิงดำเนินเรื่อง บทนี้จึงตกมาถึงนักแสดงหญิงผู้คร่ำหวอดในฮอลิวูดมาเนิ่นนานอย่าง มิเชล โหย่ว (Michelle Yeoh) ซึ่งนับได้ว่าเป็นบทนำในภาพยนตร์ฮอลิวูดเรื่องแรกของเธอเลยด้วย และก็ไม่น่าผิดหวัง เมื่อมิเชล โหย่ว มอบการแสดงที่ยอดเยี่ยมให้กับหนัง จนคิดว่าอาจจะมีชื่อเธอโผล่ในงานประกาศรางวัลเลยทีเดียว ส่วนทางด้าน คี ฮุย ควน (Ke Huy Quan) แม้จะประกาศเลิกแสดงไปตั้งแต่ปี 2002 แล้ว แต่ก็กลับมารับบทนี้ หนำซ้ำยังจงใจออกแบบตัวละครให้คล้ายคลึงกับ เฉิน หลง ทั้งรูปร่างหน้าตาและลักษณะการต่อสู้ ส่วนอีกคนที่น่าจับตามอง คือ สเตฟานี่ ซู (Stephanie Hsu) ลูกสาวตระกูลหวัง ที่แสดงความบ้าคลั่งของตัวละครได้น่าประทับใจ ทางด้านรุ่นใหญ่อย่าง เจมี ลี เคอร์ติส (Jamie Lee Curtis) และ เจมส์ ฮ่อง (James Hong) ก็โผล่มาขโมยซีนเรียกเสียงฮาได้หลายรอบอยู่เหมือนกัน
ทางด้านงานสร้างก็ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจ เมื่อมีการเปิดเผยว่า ในส่วนของเทคนิคพิเศษด้านภาพ (CGI) นั้น มีทีมงานอยู่เพียงไม่ถึงสิบคน และทุกคนล้วนเป็นมือใหม่ที่ศึกษาวิธีการทำจากอินเทอร์เน็ต ซึ่งนับว่าน่าตกใจไม่น้อยเลย และในส่วนอื่นๆ ก็ถือว่าอยู่ในระดับมาตรฐาน จะรู้สึกตลกตรงที่ ชุดของตัวละคร จอย ลูกสาวของเอเวอลีน มีการเปลี่ยนไปในทุกๆ ฉาก พาลให้นึกถึงจักรวาลหอแต๋วแตกของ พจน์ อานนท์ อยู่แว้บๆ
สรุป Everything Everywhere All at Once เป็นภาพยนตร์ที่ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ และเต็มไปด้วยรายละเอียดยิบย่อยมากมาย แต่ด้วยจุดแข็งที่การเล่าเรื่อง ทำให้แม้จะไม่สามารถเก็บทุกรายละเอียดของภาพยนตร์ได้ ก็ไม่ส่งผลต่อสิ่งที่ภาพยนตร์ต้องการจะสื่อ และยังสร้างสรรค์ด้วยการตัดต่อและการลำดับภาพ รวมถึงองค์ประกอบอื่นๆ ทั้ง นักแสดง และ Easter Egg ที่ใส่เข้ามา ก็ยิ่งทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ดูสมบูรณ์แบบและคู่ควรกับการประสบความสำเร็จทั้งเงินทั้งกล่องเลยทีเดียว
ฝากเพจด้วยนะครับ Story Decoder