JJNY : ตร.ขวาง ยื่นค้านพ.ร.บ.รวมกลุ่ม│ปาดเหงื่อ ไฟเขียวขึ้นราคาปุ๋ย│‘ชัชชาติ’แลนด์สไลด์ ชี้4ปัจจัย│“ปริญญ์” รับทราบข้อหา

ตร.ขวาง ม็อบเลี้ยวขวา มุ่งหน้าแยกนางเลิ้ง ยันต้องถึงทำเนียบ! ยื่นค้าน พ.ร.บ.รวมกลุ่ม
https://www.matichon.co.th/politics/news_3362511
 
 
ตร.ขวาง ม็อบเลี้ยวขวา มุ่งหน้าแยกนางเลิ้ง ยันต้องถึงทำเนียบ! ยื่นค้าน พ.ร.บ.รวมกลุ่ม
 
เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ที่หน้าองค์การสหประชาชาติ ถนนราชดำเนินนอก กรุงเทพฯ สืบเนื่องกรณีประชาชนกลุ่มหนึ่งในนาม “ขบวนต่อต้านร่างกฎหมายทำลายการรวมกลุ่มของประชาชน” ซึ่งปักหลักค้างคืนบริเวณดังกล่าวเพื่อเรียกร้องให้มีการยกเลิกร่างกฎหมายควบคุมการรวมกลุ่มประชาชน ในการประชุมสมัยที่ 78 ที่ทาง ESCAP จะเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มาเป็นประธานในการเปิดการประชุม
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 08.00 น. ผู้ชุมนุมตั้งขบวนบนฝั่งการจราจรถนนราชดำเนินนอก นำโดย นายเลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ ประกาศเตรียมตัวเคลื่อนขบวนมุ่งหน้าสะพานชมัยมรุเชฐ ทำเนียบรัฐบาล มีการร่วมกันถือป้ายผ้าเขียนข้อความ “หยุด [เผล่ะจัง] คสช. หยุดละเมิดสิทธิ หยุดการควบคุมประชาชน
 
เวลาราว 08.15 น. ตัวแทนเครือข่ายแรงงานปราศรัยในประเด็นต่างๆ ยืนยันว่าประชาชนต้องการมีส่วนร่วมในการสร้างประเทศให้ดีขึ้น จึงต้องการเรียกร้องให้ยกเลิกร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว
 
เวลา 08.35 น. เริ่มเคลื่อนขบวน โดยมีการแจกหน้ากากรูป “ดวงตา” ให้ผู้เดินต้นขบวนโบกสะบัดธงสีแดง ผู้ชุมนุมร่วมกันตะโกน “หยุดระบอบ คสช. หยุด พ.ร.บ.การรวมกลุ่ม”
 
เวลา 08.40 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งประจำการพร้อมแผงเหล็กและลวดหนามหีบเพลงบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ เจรจาขอให้ตัวแทนยื่นหนังสือบริเวณนี้ได้หรือไม่ โดยไม่ต้องเคลื่อนขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาล
 
ผู้ชุมนุมสวมชุดแมสคอตสีส้มโปรยกระดาษสีขาว มีข้อความเรียกร้องให้ยกเลิกร่าง พ.ร.บ.การรวมกลุ่ม ทวงคืนเสรีภาพ
 
เวลา 08.48 น. ขบวนเลี้ยวขวา หลังเจ้าหน้าที่ยืนยันว่าไม่เปิดเส้นทางให้ตรงไป “คณะราษฎรัมส์” ตีกลองพร้อมรถเครื่องเสียง 2 คัน ผ่านหน้าวัดโสมนัสฯ สะพานเทวกรรมรังรักษ์ มุ่งหน้าแยกนางเลิ้ง ระหว่างนั้นมีการพ่นสีสเปรย์บนพื้นถนน
 
เวลา 09.05 น. มีการโปรยกระดาษจากบนสะพานลอยแห่งหนึ่งก่อนถึงแยกนางเลิ้ง มีข้อความคัดค้านร่าง พ.ร.บ.การรวมกลุ่ม เจ้าหน้าที่กั้นรั้วเหล็กในจุดต่างๆ บนถนนพิษณุโลก อาทิ หน้าโรงเรียนราชวินิตมัธยม และสะพานชมัยมรุเชฐ
 
นายเลิศศักดิ์กล่าวผ่านเครื่องขยายเสียงว่า พวกตนมาอย่างสันติ ไม่มีอาวุธ ต้องการเพียงเรียกร้องให้ยกเลิก พ.ร.บ.การรวมกลุ่ม ขอให้ตำรวจเปิดรั้วเหล็กที่กั้นไว้ออก เปิดทางให้ขบวนเคลื่อนสู่หน้าทำเนียบรัฐบาล
 
ต่อมาเวลา 09.13 น. ผู้ชุมนุมในชุดแมสคอตสีส้มกระชากรั้วเหล็กเปิดทางให้ขบวน ขบวนเดินหน้าต่อไป ตัวแทนแรงงานกล่าวผ่านเครื่องขยายเสียงขออภัยโรงเรียนราชวินิตมัธยมที่ทำให้เกิดเสียงดัง แต่มีความจำเป็นต้องเรียกร้องสิทธิ
 

 
เกษตรกรปาดเหงื่อ กรมการค้าภายในไฟเขียว ปรับขึ้นราคาปุ๋ยตามต้นทุนที่แท้จริง
https://ch3plus.com/news/economy/morning/292390

รายงานข่าวจากกลุ่มผู้ค้าและผู้ผลิตปุ๋ยไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมการค้าภายในได้อนุญาตให้ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายปุ๋ยเคมี ทยอยปรับขึ้นราคาหน้าโรงงานแล้ว ตามต้นทุนแม่ปุ๋ย และค่าขนส่งปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี
 
หลังจากที่ผ่านมาได้มีการขอตรึงราคาไว้ตลอด ซึ่งจะทำให้ราคาจำหน่ายปุ๋ยเคมีในฤดูกาลเพาะปลูกใหม่ ที่กำลังมาถึงนี้มีราคาเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 20-30% จากต้นปี เช่น ราคาหน้าโรงงานปุ๋ยยูเรียจะขึ้นมาเป็นกระสอบ 50 กก. ที่ 1,500 บาท ส่วนราคาขายปลีกแต่ละพื้นที่อาจจะขยับขึ้นมากน้อยแตกต่างกัน 1,700-1,800 บาท ตามต้นทุนค่าขนส่ง และสต็อกสินค้าว่าเป็นของเก่าหรือใหม่  
 
โดยการขึ้นราคาปุ๋ยเคมีรอบนี้ กรมการค้าภายในอนุญาตให้ขึ้นตามต้นทุนที่แท้จริง ซึ่งหากผู้ประกอบการจะขอขึ้น จะต้องนำหลักฐาน เช่น ราคาใบสั่งซื้อ หรืออินวอยซ์ มาแจ้งว่ามีต้นทุนนำเข้าเท่าไร ซึ่งกรมจะอนุญาตให้ขึ้นไปตามนั้น แต่รอบต่อไปหากราคาปุ๋ยเคมีในตลาดโลกถูกลง ราคาขายในประเทศจะต้องลดลงทันที
 
นอกจากนี้ กรมการค้าภายในยังขอความร่วมือ ให้ผู้ผลิตและผู้ค้าบวกกำไรน้อยลงด้วย เช่น หากราคาหน้าโรงงานขึ้น 50% ราคาปลายทางแก่เกษตรกรอาจขึ้นเพียงครึ่งเดียว เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนต้นทุนการเพาะปลูกแก่เกษตรกร ขณะเดียวกันก็ช่วยให้ผู้ผลิตอยู่ได้ ไม่ขาดทุนเหมือนก่อนหน้าที่สั่งให้ตรึงราคาจนผู้ประกอบการต้องขาดทุนอยู่ไม่ได้
 
สำหรับแนวโน้มราคาปุ๋ยเคมีขณะนี้ บางชนิดเริ่มมีแนวโน้มลดลง เช่น ปุ๋ยยูเรีย แต่ปุ๋ยบางชนิดก็มีปรับขึ้นเช่นกัน ดังนั้น ราคาปุ๋ยในตลาดช่วงนี้ยังมีความผันผวนอยู่

อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ และภาคเอกชนพยายามจะบริหารปริมาณปุ๋ยเคมีให้มีเพียงพอไม่เกิดปัญหาขาดแคลน โดยได้มีการเสาะแหล่งนำเข้าแม่ปุ๋ยใหม่ๆ เข้ามาทดแทนบางตลาดที่ขาดหายไป เช่น การเจรจากับรัฐบาลซาอุดิอาระเบีย เพื่อขอนำเข้าแม่ปุ๋ยบางประเภทเข้าไทย ทดแทนการนำเข้าจากเบลารุสและรัสเซีย ที่จำกัดการส่งออก ซึ่งในเดือนมิ.ย.นี้จะมีการเดินทางร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ไปเยือนตะวันออกกลาง เพื่อหารือเรื่องนำเข้าปุ๋ยซึ่งไทยจะมีการนำเข้าเฉลี่ยปีละ 5 ล้านตัน  
 
ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย แจ้งว่า ราคาปุ๋ยเคมีปรับพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องเป็นประวัติการณ์ ตามราคาวัตถุดิบและอุปทานปุ๋ยในตลาดโลกที่ตึงตัวจากผลกระทบของความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ผนวกกับภาครัฐได้อนุญาตให้ปรับเพิ่มราคาขายปุ๋ยเคมีในประเทศให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงมากขึ้น ประกอบกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่า ก็ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ราคาปุ๋ยยูเรียนำเข้าของไทยในปี 65 จะยืนอยู่ในระดับสูงที่กรอบ 950-1,000 ดอลลาร์ต่อตัน เร่งขึ้นกว่าเท่าตัวจากปี 64  
 
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าเกษตรกรที่ปลูกปาล์มน้ำมัน เป็นกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบมากจากราคาปุ๋ยที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีอัตราการใช้ปุ๋ยต่อไร่สูง ตามมาด้วยยางพาราและอ้อย ขณะที่ ข้าว แม้จะมีอัตราการใช้ปุ๋ยต่อไร่ที่น้อยกว่า แต่ด้วยฤดูเพาะปลูกหลักของข้าวนาปีที่เพิ่งเริ่มต้น ทำให้หากเกษตรกรที่ปลูกข้าวจำนวนมากไม่สามารถปรับตัวได้ ก็อาจจะกระทบต่อปริมาณผลผลิตข้าวทั้งปีนี้ให้ลดลงกว่าที่คาดไว้
 
รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/A36JUlWm2-s
  
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
 

 
‘ชัชชาติ’ แลนด์สไลด์ นักวิชาการชี้ 4 ปัจจัย พังสถิติ
https://www.matichon.co.th/politics/news_3362387

‘ชัชชาติ’ แลนด์สไลด์ นักวิชาการชี้ 4 ปัจจัย พังสถิติ
 
แม้คาดการณ์ได้จากโพลสำนักต่างๆ ที่สำรวจออกมาตรงกันว่า ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เบอร์ 8 ในนามอิสระ จะคว้าชัย นั่งเก้าอี้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนต่อไป และผลเลือกตั้งออกมาเป็นไปตามการคาดหมาย ไม่พลิกโผ แต่ที่ใครต่อใครไม่คาดคิด ก็คะแนนที่คนกรุงเทพฯเทโหวตให้ชนะเลือกตั้งอย่างท่วมท้น แลนด์สไลด์ พังสถิติเดิมของ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ุ บริพัตร แห่งพรรคประชาธิปัตย์ ไปด้วยคะแนนเสียง 1,386,769 มากที่สุดในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.
 
เหตุใด ชัชชาติ ถึงได้รับความนิยมถึงเพียงนี้ นักวิชาการวิเคราะห์มีคำตอบ เริ่มจาก พนัส ทัศนียานนท์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวถึงที่มาของชัยชนะอย่างถล่มทลาย ม้วนเดียวจบว่า แบ่งออกเป็น 4 ข้อด้วยกัน ได้แก่ 
 
1. ชัชชาติตั้งใจจริง 
2. การลงมือหาเสียงมาถึง 2 ปี 
3. วิสัยทัศน์ที่กว้างไกล มองเห็นปัญหาชัดเจนจึงรู้ว่าควรแก้อย่างไร 
และ 4. ชัชชาติเป็นคนมีความรู้ มีประสบการณ์ในทางการบริหารจัดการเป็นอย่างดี

“ผมคิดว่านายชัชชาติมองปัญหาชัดเจน ที่สำคัญคือมีวิสัยทัศน์ในการที่จะมอง มีความเป็นมนุษยนิยม เห็นอกเห็นใจประชาชนคนกรุงเทพฯที่ยากไร้โดยแท้จริง ลงไปสัมผัสกับคนกรุงเทพฯซึ่งเป็นคนกรุงเทพฯแท้ๆ เรียกได้ว่าเป็นคนกรุงเทพฯเสียงข้างมากก็ได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนยากจนอยู่ชุมชนแออัดอะไรทั้งหลายแหล่ เพราะฉะนั้นจึงมองเห็นว่าปัญหาต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นในกรุงเทพฯน่าจะหาทางแก้ไขได้โดยวิธีการทางไหนบ้าง โดยอาศัยความรู้และประสบการณ์ของตนเอง ตลอดเวลาที่ทำงานในภาครัฐ ภาคเอกชนเท่าที่ผ่านมา วิชาชีพที่ร่ำเรียนมาก็เป็นวิศวกร เพราะฉะนั้นการมองปัญหาอะไรต่างๆ ในกรุงเทพฯจะต้องอาศัยการแก้ปัญหา ซึ่งในวิศวกรรมนั้นมีอยู่มาก”
 
ไม่เพียงประเด็นเรื่องความรู้ ความสามารถ และวิสัยทัศน์ แน่นอนว่าไม่อาจปฏิเสธถึงอีกปัจจัยสำคัญนั่นคือ ‘ท่าทีทางการเมือง’ ซึ่งมีลักษณะ ‘ปรองดอง’
 
“คิดว่าเหตุผลที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือนายชัชชาติมีท่าทีในทางการเมืองในลักษณะที่เป็นการปรองดอง คือมองว่าการที่จะแก้ไขปัญหาบ้านเมืองได้จะต้องหาทางให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้ สิ่งที่รับรู้หรือเห็นต่างกันได้ อย่าทะเลาะกัน อย่าโกรธกัน อันนี้เป็นนิมิตหมายที่ดี แล้วก็ชนะใจคนกรุงเทพฯ ทำให้คนกรุงเทพฯมีความหวังว่าในที่สุดจะได้คนที่ดีจริง เก่งจริง เข้ามาแก้ไขปัญหาบ้านเมืองได้” อดีตคณบดีนิติศาสตร์ มธ.กล่าว ก่อนวิเคราะห์ต่อไปว่า
 
การที่คนกรุงเทพฯต้องอดทนมาถึง 8 ปีเต็มกับสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง กล่าวคือ นับตั้งแต่มีการรัฐประหาร มีการใช้อำนาจ [เผล่ะจัง] ในการปกครองบ้านเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริหารงานของกรุงเทพฯ แทนที่จะให้ประชาชนคนกรุงเทพฯเลือก กลับเอาคนของตัวเองขึ้นมาเพื่อมาเป็นผู้ว่าฯกทม. ซ้ำยังปลดผู้ว่าฯกทม.ที่มาจากการเลือกตั้งแล้วไปแต่งตั้งคนที่ไม่มีประสบการณ์ในการบริหารงานแบบท้องถิ่นขึ้นมาเป็นผู้ว่าฯกทม.
 
“คนกรุงเทพฯต้องทนกับสิ่งนี้มาเป็นระยะเวลานานมาก อันนี้เป็นเหตุผลอันหนึ่งด้วยที่ทำให้ทุกคนต้องการอยากแสดงประชามติ เรียกว่านี่เป็นประชามติของคนกรุงเทพฯ และอาจจะเป็นของคนไทยทั้งประเทศก็ได้ ว่าไม่ต้องการการปกครองบ้านเมืองในแบบนี้อีกต่อไปแล้ว นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนของคนกรุงเทพฯ อาจจะเรียกว่าเป็นเอกฉันท์เลยก็ได้ เพราะว่าทุกเขตนายชัชชาติชนะหมด” พนัสกล่าว
 
ถามว่าอันดับคะแนนเสียงการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.และ ส.ก.สะท้อนให้เห็นการเมืองในภาพใหญ่อย่างไรบ้าง? อดีตคณบดีนิติศาสตร์ มธ.มองว่า คะแนนของ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ซึ่งได้อันดับ 5 นั้นไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะก่อนหน้านี้ไม่ได้มาด้วยการเลือกตั้งจากประชาชนอยู่แล้ว ส่วนเรื่องสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) ที่พรรคเพื่อไทยและก้าวไกลชนะเป็นส่วนใหญ่ คือการส่งสัญญาณของคนกรุงเทพฯเช่นเดียวกัน เพราะอย่าลืมว่าพรรคก้าวไกล หรือพรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลมาก่อน ดังนั้น การที่คนกรุงเทพฯลงคะแนนให้นายชัชชาติเป็นเอกฉันท์ ในขณะเดียวกันก็เลือก ส.ก.ของพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นเสียงข้างมากในสภากรุงเทพมหานคร คือ ‘ประชามติของคนกรุงเทพฯ’ “นี่เป็นการแสดงประชามติของประชาชนคนกรุงเทพฯ และคิดว่าน่าจะเป็นการสะท้อนความรู้สึกของคนไทยทั้งประเทศเลยด้วยซ้ำไป ว่าคนไทยไม่ยอมรับรัฐบาลที่ปกครองประเทศในปัจจุบันนี้แล้ว ถึงเวลาที่จะต้องพิจารณาตัวเองแล้วว่าถ้าจะดันทุรังต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร” พนัสกล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่