เห็นภาพผู้นำชาติยุโรปไปคล้องแขนกับนายโวโลดิเมียร์เซเลนสกี ในกรุงเคียฟเมืองหลวงของยูเครน แล้วให้รำลึกถึงภาพที่ผู้เขียนไปกรุงพนมเปญ และกรุงไพลินในปี 2529 ที่ได้พบว่าเป็นเมืองร้างไม่มีชีวิตชีวา ถึงแม้คู่สงครามจะอ้างว่ายังคงรักษาเมืองไว้ได้
และจากประสบการณ์ ในการทำข่าวสงครามกลางเมือง พบว่าระหว่างที่สงครามกำลังรุนแรง ผู้นำฝ่ายต่อต้านส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ในสมรภูมิรบ ผู้นำฝ่ายต่อต้านส่วนใหญ่ไปอยู่ในค่ายผู้อพยพหรือไม่ก็อาศัยในดินแดนของประเทศเพื่อนบ้าน
ไม่ว่าจะเป็น จีนเปง อดีตผู้นำโจรจีนมาลายาที่นำกำลังมาตั้งฐานที่มั่นใน อ.เบตง จ.ยะลา และบางส่วนในจังหวัดสงขลา จนสุดท้ายกลายเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยในทศวรรษ 2530
ส่วนผู้นำขบวนแยกดินแดนสามจังหวัดภาคใต้ของประเทศไทยส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในมาเลเซียหรือผู้นำเขมรสามฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น เจ้าสีหนุ และ ผู้นำเขมรแดง
ผู้นำเขมรเสรี หรือ แม้แต่ ผู้นำกลุ่มชาติพันธุ์ที่ต่อต้านรัฐบาลพม่าส่วนใหญ่ อาศัยอยู่ตามชายขอบหรือไม่ก็เมืองชายแดนในประเทศไทย แต่สร้างภาพเหมือนกับว่า บัญชาการรบอยู่ประเทศตัวเอง
บรรดาผู้นำฝ่ายต่อต้านที่กล่าวมาข้างต้น เมื่อถึงเวลาต้องสร้างภาพให้เป็นข่าวก็นำสื่อเข้าไปในดินแดนของประเทศตัวเอง ตัวอย่างเช่นเจ้าสีหนุผู้ล่วงลับ ที่ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในประเทศจีนและในซอยสวนพลูของไทยแต่สร้างตำหนักไว้ในดินแดนกัมพูชา เรียกว่าวัง “เสรีเพียบ”ตรงข้ามกับบ้านกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ เมื่อถึงเวลาให้สัมภาษณ์นักข่าวนานาชาติเจ้าสีหนุก็ไปอยู่ที่วังเสรีเพียบ สัมภาษณ์สื่อสร้างภาพเสร็จก็เสด็จกลับเข้ามาประเทศไทย หรือไม่ก็กลับไปประเทศจีนเลย
ที่เล่าเรื่องผู้นำฝ่ายต่อต้านทั้งหลายที่ไม่ได้อยู่ในสมรภูมิจริงมายืดยาวเพื่อสร้างความชอบธรรมในความเชื่อของผู้เขียนว่า นายเซเลนสกี ไม่ได้อยู่ในประเทศยูเครนตั้งแต่อาทิตย์แรกที่กองทัพรัสเซียยาตราทัพเข้ามาในยูเครนแล้ว
ดังนั้นภาพข่าวเคลื่อนไหวที่สื่อตะวันตกเสนอให้เห็นนายเซเลนสกีเดินสำรวจเมืองร้างในกรุงเคียฟกับนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ นั้นเป็นการสร้างภาพเหมือนตอนผู้นำเขมรแดงเชิญผู้เขียนและนักข่าววีโอเอไปเยือนกรุงไพลินในปี 2529
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงเคียฟเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2565 ว่าบรรดาผู้นำจาก 4 ชาติยุโรป เดินทางพร้อมกันด้วยรถไฟจากโปแลนด์เพื่อมาพบกับประธานาธิบดี โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครนอย่างเป็นทางการ หลังการรุกรานของรัสเซีย
ประธานาธิบดี อันแชย์ ดูดา ของโปแลนด์, ประธานาธิบดีกีตานาส เนาเซดา ของลิทัวเนีย,ประธานาธิบดีกายา กัลลัส ของเอสโตเนีย และประธานาธิบดีเอกิลส์ เลวิตส์ของลัตเวีย นัดพบปะกันในโปแลนด์ และเดินทางพร้อมกันด้วยรถไฟ เพื่อมายังกรุงเคียฟและพบปะกับเซเลนสกี เพื่อหารือความร่วมมือในสถานการณ์สู้รบกับรัสเซีย จึงเหมือนกับภาพที่เจ้าสีหนุ นัดผู้สื่อข่าวต่างประเทศไปให้สัมภาษณ์ในวังเสรีเพียบ
ผู้เขียนเชื่อว่าหลังจากสร้างภาพโชว์พลังสามัคคีร่วมกันเสร็จทั้งนายเซเลนสกีและผู้นำจากประเทศในยุโรปต่างก็รีบออกจากกรุงเคียฟกลับประเทศ ส่วนเซเลนสกีก็รีบกลับอยู่ในเซฟเฮ้าส์ในประเทศเพื่อนบ้าน แต่การสร้างภาพของ นายเซเลนสกี กับ ผู้นำกองกำลังฝ่ายต่อต้านในอาเซียนนั้นแตกต่างกันในบริบทและกาลเวลา
ผู้นำฝ่ายต่อต้านในอาเซียนไม่ว่าจะเป็นผู้นำเขมรสามฝ่ายและผู้นำกลุ่มชาติพันธุ์ ที่มาหลบซ่อนอยู่ตามชายขอบและในดินแดนของประเทศไทยเกิดขึ้นในยุคสงครามเย็นในยุคที่ภัยคอมมิวนิสต์คุกคามรอบบ้านในอาเซียนไม่ว่าจะเป็นประเทศไทย พม่าและมาเลเซีย ที่นักทฤษฎีนักวิเคราะห์ทำนายว่าประเทศไทย พม่า และมาเลเซียต้องเป็นโดมิโนตัวต่อไปที่คอมมิวนิสต์เข้ายึดครองได้
ดังนั้นประเทศในแถบนี้ จึงจำเป็นต้องมีรัฐกันชนหรือที่ฝรั่งเรียกว่า Buffer State คือให้ฝ่ายต่อต้านเหล่านั้นได้เป็นกันชน ป้องกันไม่ให้ประเทศกลายเป็นโดมิโนตัวต่อไปและประเทศไทยก็อยู่รอดมาได้
เหตุการณ์ทั้งหมดมันจึงแตกต่างกับสงครามรัสเซียยูเครน ที่ทำให้นายเซเลนสกีต้องหนีไปซ่อนตัวอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน มันต่างกันทั้งบริบทและกาลเวลา เพราะว่าสงครามเย็นระหว่างทุนนิยมตะวันตกกับคอมมิวนิสต์รัสเซียและสหายตะวันออกได้ตกลงยุติสงครามเย็นกันในปี 2534 โดยมีนายมิคาอิลกอร์บาชอฟ เป็นผู้แทนสหภาพโซเวียตและประธานาธิบดีจอร์จเอช ดับเบิลยู.บุช (บุช ผู้พ่อ) ได้ตกลงยุติสงครามเย็นกัน และข้อตกลงนั้นได้เงื่อนไขกำหนดไว้ว่านาโตจะไม่ขยายอิทธิพลขึ้นไปทางตะวันออกใกล้ชายแดนรัสเซียและไม่รับประเทศที่แยกตัวออกจากสหภาพโซเวียตเข้าเป็นสมาชิกนาโต
แต่หลายปีมานี้กลุ่มประเทศนาโต โดยการชี้นำและครอบงำของอเมริกาทำผิดสัญญาขยายอิทธิพลขึ้นทางตะวันออกล้อมกรอบรัสเซียมากขึ้นทุกวัน
ที่สำคัญ วอชิงตันใช้ประเทศยูเครนเป็นฐานที่มั่นวางกำลังคนและอาวุธทำลายล้างสูงไว้ในยูเครนจ่อคอหอยรัสเซียในปี 2546 สหรัฐฯปลุกระดมปั่นกระแสให้ชาวยูเครนประท้วงรุนแรงขับไล่ประธานาธิบดีวิกเตอร์ ยานูโควิช ผู้โปรรัสเซีย
เมื่อขับไล่นายูโควิช ออกไปได้ในปี 2557 วอชิงตันก็จัดการให้นายเปโตร โปโรเชนโก ซึ่งเป็นสายข่าวของซีไอเอขึ้นเป็นประธานาธิบดีหุ่นเชิดของอเมริกา ตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมาอเมริกาเริ่มทำสงครามพันทางกับรัสเซียตลอดมา โดยใช้รัฐบาลเคียฟเป็นหนังหน้าไฟ
ตั้งแต่ปี 2546 สหรัฐฯส่งทหารไปปฏิบัติการในยูเครนเป็นจำนวนมากโดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ปรึกษาทางด้านความมั่นคงบ้าง เป็นครูฝึกทหารบ้าง ในทางลับวอชิงตันได้จัดตั้งกองกำลังเถื่อนขึ้นมาชื่ออาซาฟหรือ นาซีใหม่ อาซาฟ มีฐานที่มั่นอยู่ทางภาคใต้โดยเฉพาะในเมืองท่ามาริอูโปล ทหารรับจ้างต่างชาติส่วนใหญ่อยู่ใต้บังคับบัญชาของทหารอเมริกัน อาซาฟเป็นกองกำลังที่โหดร้ายเป็นเหตุให้คนเชื้อสายรัสเซียตายกว่า 14,000 ราย ในแคว้นดอนบาสโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองลูฮันสก์และโดแนตสก์
วันที่ 24 ก.พ. ประธานาธิบดีปูติน มีคำสั่งให้ทหารปฏิบัติการพิเศษเพื่อทำลายกองทัพยูเครน ปฏิบัติการพิเศษทางทหารกลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบ เมื่อสหรัฐฯสมคบกับสื่อตะวันตกหลอกนายเซเลนสกี ซึ่งเชื่อว่าหนีไปกบดานในเซฟเฮ้าส์ของประเทศเพื่อนบ้านและหลอกชาวโลกว่ากองทัพยูเครนต่อสู้ต่อต้านทหารรัสเซีย สามารถทำลายรถถังและสังหารทหารรัสเซียตายเป็นใบไม้ร่วง
นายเซเลนสกี ผู้จำแนกไม่ออกระหว่างแสดงตลกในบทบาทประธานาธิบดีผู้คลั่งชาติกับการเป็นประธานาธิบดีจริง เมื่อถูกอเมริกากับสื่อเป่าหูว่าสู้กับทหารรัสเซียได้ ก็ฮึดสู้ต่อไปเพราะอเมริกาสัญญาว่าจะส่งอาวุธและกำลังคนมาให้
ความโง่เขลาและถูกอเมริกาหลอกใช้นายเซเลนสกีจึงไม่ยอมรับข้อเสนอในการเจรจาหยุดยิงปล่อยให้ประเทศยูเครนพินาศวอดวายตามความมุ่งหมายของอเมริกาที่หวังจะให้รัสเซียจมติดปลักสงคราม จนผู้นำรัสเซียประกาศว่า “ผู้นำยูเครนเป็นผู้ทำลายสันติภาพ” และกล่าวว่า สถานการณ์ทั้งหมดสหรัฐคือผู้ชักใย และรัฐบาลมอสโกพร้อมต่อสู้อย่างถึงที่สุด#เพื่อแก้ไขระเบียบโลกแบบนี้...
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงมอสโก เมื่อวันที่ 13 เม.ย. ว่า ประธานาธิบดี วลาดีมีร์ ปูติน แถลงเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา มีเนื้อหาส่วนใหญ่เกี่ยวกับสถานการณ์ในยูเครน และถือเป็นครั้งแรก ที่ผู้นำรัสเซียกล่าวถึงเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมาต่อสาธารณชน นับตั้งแต่สงครามปะทุ เมื่อวันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา ปธน.ปูตินประณาม นายโวโลดิเมียร์เซเลนสกี ว่า “ขัดขวาง” กระบวนการเจรจาสันติภาพ...
ผู้นำรัสเซีย กล่าวต่อไปว่า การดำเนินการหลายอย่างของยูเครนทำให้สถานการณ์หวนกลับมาสู่ภาวะที่เรียกว่า“ทางตัน”และยืนยันว่า กองทัพรัสเซียจะบรรลุเป้าหมายทั้งหมดตามที่วางแผนไว้ “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม”ถือเป็นท่าทีที่ยิ่งตอกย้ำ ความยืดเยื้อของสงครามครั้งนี้
นอกจากปั่นหัวให้นายเซเลนสกีไม่ยอมเจรจาและรับเงื่อนไขใดๆ แล้วสหรัฐฯยังเที่ยวข่มขู่กดดันพันธมิตรรัสเซียจีน อินเดียไม่ให้ค้าขายและร่วมประณามรัสเซียว่าเป็นอาชญากรสงคราม จนถูกรัฐบาลจีนตอกหน้าเอาว่า“ให้เอากระจกส่องหน้าแล้วจะรู้ว่าใครเป็นผู้ทำให้พลเรือนตายนับล้านๆ คนในประเทศอิรัก ซีเรีย ลิเบีย เยเมน และอัฟกานิสถาน ฯลฯ นั่นแหละคืออาชญากรสงครามตัวจริง”
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน “จ้าว ลี่เจียน”เปิดเผยว่า #รัฐบาลจีนจะไม่คว่ำบาตรและไม่ประณาม #รัสเซีย ในเรื่อง #ยูเครน และเมิน “แรงกดดัน” ของ #สหรัฐ ที่ให้เปลี่ยนความสัมพันธ์กับรัสเซีย จุดยืนของจีนคือเป็น กลางนั่นทำให้ “เราอยู่ฝั่งที่ถูกต้องของประวัติศาสตร์”
ในการแถลงข่าวประจำวัน จ้าว ลี่ีเจียน กล่าวว่าสถานการณ์ในยูเครนได้เปิดให้เห็นธาตุแท้ของอเมริกาว่า “ยังฝังใจอยู่ในสงครามเย็นและคลั่งความเป็นเจ้าโลก”..
อเมริกาเลือกใช้กฎหมายและกติกาสากลที่เหมาะกับความเป็นเจ้าโลกของตัวเอง “มันเป็นยุทธศาสตร์ ของอเมริกาที่ล้าสมัย” ชาวโลกทั่วไปคิดเรื่องการพัฒนาความก้าวหน้าของเทคโนโลยียุคใหม่ แต่อเมริกายังบ้าสงครามจึงจำเป็นต้องหยุดยั้งพวกเขา...”
จีนเป็นประเทศพูดน้อยต่อยหนักล่าสุดรัฐบาลเซอร์เบีย ชาติพันธมิตรของรัสเซีย เปิดเผยว่าได้รับมอบขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานล้ำสมัยจากจีน ซึ่งเริ่มเคลื่อนไหวแสดงแสนยานุภาพทางทหารในยุโรปเป็นครั้งแรกอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
สื่อมวลชนและผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารรายงานว่า เครื่องบินลำเลียง Y-20 จากทัพฟ้าแดนมังกร 6 ลำ ร่อนลงจอดที่ท่าอากาศยานนิโคลาเทสลา ซึ่งเป็นสนามบินพาณิชย์ในกรุงเบลเกรด ช่วงเช้ามืดวันเสาร์ที่ 9 เม.ย. เพื่อส่งมอบระบบขีปนาวุธยิงจากพื้นสู่อากาศ HQ-22 แก่กองทัพเซอร์เบีย ซึ่งจะทำให้เซอร์เบียเป็นชาติแรกในยุโรปที่มีระบบขีปนาวุธของจีนไว้ใช้
ปฏิบัติการครั้งนี้กระทำอย่างไม่เปิดเผย แต่ก็หาใช่ความลับเสียทีเดียว โดยในตอนแรกมีการบันทึกภาพเครื่องบินขนส่งมีตรากองทัพจีนไว้ได้ แต่ยังไม่มีใครทราบเรื่องราวละเอียด กระทั่งประธานาธิบดีอเล็กซานดาร์ วูซิชของเซอร์เบียออกมายืนยัน ซึ่งเป็นการส่งมอบตามข้อตกลงที่ทำร่วมกันเมื่อปี 2562 เขาระบุว่า เป็นความภาคภูมิใจใหม่ล่าสุดของกองทัพเซอร์เบีย
เครื่องบินของจีนลำเลียงขีปนาวุธบินผ่านน่านฟ้าของชาติสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต อย่างน้อย 2 รายคือ ตุรกี และบัลแกเรีย แม้ว่าชาตินาโตเพื่อนบ้านเคยบอกกับเซอร์เบียเองว่า จะไม่ยอมให้เครื่องบินขนขีปนาวุธบินผ่านน่านฟ้าของตนอย่างเด็ดขาด เพราะเดี๋ยวจะเป็นเรื่องในยามหน้าสิ่วหน้าขวานวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน
การบินผ่านได้อย่างสะดวกโยธินนี้เอง ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารชี้ว่า แสดงให้เห็นถึงขีดความสามารถที่เพิ่มขึ้นของจีน ในปฏิบัติการทั่วโลก ในขณะที่อเมริกาและกลุ่มประเทศนาโตคุยโวเรื่องส่งอาวุธไปให้เครน ปธน.ปูติน พูดสั้นๆ ว่าเป็นความชอบธรรมของรัสเซียที่จะยิงขีปนาวุธทำลายขบวนส่งอาวุธให้ยูเครน
เมื่อจีนเริ่มส่งขีปนาวุธไปให้มิตรประเทศรัสเซียและพูดว่าอเมริกาบ้าสงครามจำเป็นต้องหยุดยั้งให้ได้ จีน รัสเซีย อินเดียคือพันธมิตรแห่งมหาอำนาจตะวันออก ส่งสัญญาณบอกสหรัฐอเมริกา ว่า “ให้หยุดบ้าสงครามพันทางตั้งแต่วันนี้ ยังดีกว่าเดินหน้าจนกระทั่งยูเครนและอเมริกาพากันล่มสลายไปด้วยกัน”
ที่มาข่าว
https://www.naewna.com/politic/columnist/51295
‘รัสเซีย-จีน’ประสานเสียง หยุดความคลั่งสงครามพันทางของอเมริกา
และจากประสบการณ์ ในการทำข่าวสงครามกลางเมือง พบว่าระหว่างที่สงครามกำลังรุนแรง ผู้นำฝ่ายต่อต้านส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ในสมรภูมิรบ ผู้นำฝ่ายต่อต้านส่วนใหญ่ไปอยู่ในค่ายผู้อพยพหรือไม่ก็อาศัยในดินแดนของประเทศเพื่อนบ้าน
ไม่ว่าจะเป็น จีนเปง อดีตผู้นำโจรจีนมาลายาที่นำกำลังมาตั้งฐานที่มั่นใน อ.เบตง จ.ยะลา และบางส่วนในจังหวัดสงขลา จนสุดท้ายกลายเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยในทศวรรษ 2530
ส่วนผู้นำขบวนแยกดินแดนสามจังหวัดภาคใต้ของประเทศไทยส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในมาเลเซียหรือผู้นำเขมรสามฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น เจ้าสีหนุ และ ผู้นำเขมรแดง
ผู้นำเขมรเสรี หรือ แม้แต่ ผู้นำกลุ่มชาติพันธุ์ที่ต่อต้านรัฐบาลพม่าส่วนใหญ่ อาศัยอยู่ตามชายขอบหรือไม่ก็เมืองชายแดนในประเทศไทย แต่สร้างภาพเหมือนกับว่า บัญชาการรบอยู่ประเทศตัวเอง
บรรดาผู้นำฝ่ายต่อต้านที่กล่าวมาข้างต้น เมื่อถึงเวลาต้องสร้างภาพให้เป็นข่าวก็นำสื่อเข้าไปในดินแดนของประเทศตัวเอง ตัวอย่างเช่นเจ้าสีหนุผู้ล่วงลับ ที่ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในประเทศจีนและในซอยสวนพลูของไทยแต่สร้างตำหนักไว้ในดินแดนกัมพูชา เรียกว่าวัง “เสรีเพียบ”ตรงข้ามกับบ้านกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ เมื่อถึงเวลาให้สัมภาษณ์นักข่าวนานาชาติเจ้าสีหนุก็ไปอยู่ที่วังเสรีเพียบ สัมภาษณ์สื่อสร้างภาพเสร็จก็เสด็จกลับเข้ามาประเทศไทย หรือไม่ก็กลับไปประเทศจีนเลย
ที่เล่าเรื่องผู้นำฝ่ายต่อต้านทั้งหลายที่ไม่ได้อยู่ในสมรภูมิจริงมายืดยาวเพื่อสร้างความชอบธรรมในความเชื่อของผู้เขียนว่า นายเซเลนสกี ไม่ได้อยู่ในประเทศยูเครนตั้งแต่อาทิตย์แรกที่กองทัพรัสเซียยาตราทัพเข้ามาในยูเครนแล้ว
ดังนั้นภาพข่าวเคลื่อนไหวที่สื่อตะวันตกเสนอให้เห็นนายเซเลนสกีเดินสำรวจเมืองร้างในกรุงเคียฟกับนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ นั้นเป็นการสร้างภาพเหมือนตอนผู้นำเขมรแดงเชิญผู้เขียนและนักข่าววีโอเอไปเยือนกรุงไพลินในปี 2529
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงเคียฟเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2565 ว่าบรรดาผู้นำจาก 4 ชาติยุโรป เดินทางพร้อมกันด้วยรถไฟจากโปแลนด์เพื่อมาพบกับประธานาธิบดี โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครนอย่างเป็นทางการ หลังการรุกรานของรัสเซีย
ประธานาธิบดี อันแชย์ ดูดา ของโปแลนด์, ประธานาธิบดีกีตานาส เนาเซดา ของลิทัวเนีย,ประธานาธิบดีกายา กัลลัส ของเอสโตเนีย และประธานาธิบดีเอกิลส์ เลวิตส์ของลัตเวีย นัดพบปะกันในโปแลนด์ และเดินทางพร้อมกันด้วยรถไฟ เพื่อมายังกรุงเคียฟและพบปะกับเซเลนสกี เพื่อหารือความร่วมมือในสถานการณ์สู้รบกับรัสเซีย จึงเหมือนกับภาพที่เจ้าสีหนุ นัดผู้สื่อข่าวต่างประเทศไปให้สัมภาษณ์ในวังเสรีเพียบ
ผู้เขียนเชื่อว่าหลังจากสร้างภาพโชว์พลังสามัคคีร่วมกันเสร็จทั้งนายเซเลนสกีและผู้นำจากประเทศในยุโรปต่างก็รีบออกจากกรุงเคียฟกลับประเทศ ส่วนเซเลนสกีก็รีบกลับอยู่ในเซฟเฮ้าส์ในประเทศเพื่อนบ้าน แต่การสร้างภาพของ นายเซเลนสกี กับ ผู้นำกองกำลังฝ่ายต่อต้านในอาเซียนนั้นแตกต่างกันในบริบทและกาลเวลา
ผู้นำฝ่ายต่อต้านในอาเซียนไม่ว่าจะเป็นผู้นำเขมรสามฝ่ายและผู้นำกลุ่มชาติพันธุ์ ที่มาหลบซ่อนอยู่ตามชายขอบและในดินแดนของประเทศไทยเกิดขึ้นในยุคสงครามเย็นในยุคที่ภัยคอมมิวนิสต์คุกคามรอบบ้านในอาเซียนไม่ว่าจะเป็นประเทศไทย พม่าและมาเลเซีย ที่นักทฤษฎีนักวิเคราะห์ทำนายว่าประเทศไทย พม่า และมาเลเซียต้องเป็นโดมิโนตัวต่อไปที่คอมมิวนิสต์เข้ายึดครองได้
ดังนั้นประเทศในแถบนี้ จึงจำเป็นต้องมีรัฐกันชนหรือที่ฝรั่งเรียกว่า Buffer State คือให้ฝ่ายต่อต้านเหล่านั้นได้เป็นกันชน ป้องกันไม่ให้ประเทศกลายเป็นโดมิโนตัวต่อไปและประเทศไทยก็อยู่รอดมาได้
เหตุการณ์ทั้งหมดมันจึงแตกต่างกับสงครามรัสเซียยูเครน ที่ทำให้นายเซเลนสกีต้องหนีไปซ่อนตัวอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน มันต่างกันทั้งบริบทและกาลเวลา เพราะว่าสงครามเย็นระหว่างทุนนิยมตะวันตกกับคอมมิวนิสต์รัสเซียและสหายตะวันออกได้ตกลงยุติสงครามเย็นกันในปี 2534 โดยมีนายมิคาอิลกอร์บาชอฟ เป็นผู้แทนสหภาพโซเวียตและประธานาธิบดีจอร์จเอช ดับเบิลยู.บุช (บุช ผู้พ่อ) ได้ตกลงยุติสงครามเย็นกัน และข้อตกลงนั้นได้เงื่อนไขกำหนดไว้ว่านาโตจะไม่ขยายอิทธิพลขึ้นไปทางตะวันออกใกล้ชายแดนรัสเซียและไม่รับประเทศที่แยกตัวออกจากสหภาพโซเวียตเข้าเป็นสมาชิกนาโต
แต่หลายปีมานี้กลุ่มประเทศนาโต โดยการชี้นำและครอบงำของอเมริกาทำผิดสัญญาขยายอิทธิพลขึ้นทางตะวันออกล้อมกรอบรัสเซียมากขึ้นทุกวัน
ที่สำคัญ วอชิงตันใช้ประเทศยูเครนเป็นฐานที่มั่นวางกำลังคนและอาวุธทำลายล้างสูงไว้ในยูเครนจ่อคอหอยรัสเซียในปี 2546 สหรัฐฯปลุกระดมปั่นกระแสให้ชาวยูเครนประท้วงรุนแรงขับไล่ประธานาธิบดีวิกเตอร์ ยานูโควิช ผู้โปรรัสเซีย
เมื่อขับไล่นายูโควิช ออกไปได้ในปี 2557 วอชิงตันก็จัดการให้นายเปโตร โปโรเชนโก ซึ่งเป็นสายข่าวของซีไอเอขึ้นเป็นประธานาธิบดีหุ่นเชิดของอเมริกา ตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมาอเมริกาเริ่มทำสงครามพันทางกับรัสเซียตลอดมา โดยใช้รัฐบาลเคียฟเป็นหนังหน้าไฟ
ตั้งแต่ปี 2546 สหรัฐฯส่งทหารไปปฏิบัติการในยูเครนเป็นจำนวนมากโดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ปรึกษาทางด้านความมั่นคงบ้าง เป็นครูฝึกทหารบ้าง ในทางลับวอชิงตันได้จัดตั้งกองกำลังเถื่อนขึ้นมาชื่ออาซาฟหรือ นาซีใหม่ อาซาฟ มีฐานที่มั่นอยู่ทางภาคใต้โดยเฉพาะในเมืองท่ามาริอูโปล ทหารรับจ้างต่างชาติส่วนใหญ่อยู่ใต้บังคับบัญชาของทหารอเมริกัน อาซาฟเป็นกองกำลังที่โหดร้ายเป็นเหตุให้คนเชื้อสายรัสเซียตายกว่า 14,000 ราย ในแคว้นดอนบาสโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองลูฮันสก์และโดแนตสก์
วันที่ 24 ก.พ. ประธานาธิบดีปูติน มีคำสั่งให้ทหารปฏิบัติการพิเศษเพื่อทำลายกองทัพยูเครน ปฏิบัติการพิเศษทางทหารกลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบ เมื่อสหรัฐฯสมคบกับสื่อตะวันตกหลอกนายเซเลนสกี ซึ่งเชื่อว่าหนีไปกบดานในเซฟเฮ้าส์ของประเทศเพื่อนบ้านและหลอกชาวโลกว่ากองทัพยูเครนต่อสู้ต่อต้านทหารรัสเซีย สามารถทำลายรถถังและสังหารทหารรัสเซียตายเป็นใบไม้ร่วง
นายเซเลนสกี ผู้จำแนกไม่ออกระหว่างแสดงตลกในบทบาทประธานาธิบดีผู้คลั่งชาติกับการเป็นประธานาธิบดีจริง เมื่อถูกอเมริกากับสื่อเป่าหูว่าสู้กับทหารรัสเซียได้ ก็ฮึดสู้ต่อไปเพราะอเมริกาสัญญาว่าจะส่งอาวุธและกำลังคนมาให้
ความโง่เขลาและถูกอเมริกาหลอกใช้นายเซเลนสกีจึงไม่ยอมรับข้อเสนอในการเจรจาหยุดยิงปล่อยให้ประเทศยูเครนพินาศวอดวายตามความมุ่งหมายของอเมริกาที่หวังจะให้รัสเซียจมติดปลักสงคราม จนผู้นำรัสเซียประกาศว่า “ผู้นำยูเครนเป็นผู้ทำลายสันติภาพ” และกล่าวว่า สถานการณ์ทั้งหมดสหรัฐคือผู้ชักใย และรัฐบาลมอสโกพร้อมต่อสู้อย่างถึงที่สุด#เพื่อแก้ไขระเบียบโลกแบบนี้...
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงมอสโก เมื่อวันที่ 13 เม.ย. ว่า ประธานาธิบดี วลาดีมีร์ ปูติน แถลงเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา มีเนื้อหาส่วนใหญ่เกี่ยวกับสถานการณ์ในยูเครน และถือเป็นครั้งแรก ที่ผู้นำรัสเซียกล่าวถึงเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมาต่อสาธารณชน นับตั้งแต่สงครามปะทุ เมื่อวันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา ปธน.ปูตินประณาม นายโวโลดิเมียร์เซเลนสกี ว่า “ขัดขวาง” กระบวนการเจรจาสันติภาพ...
ผู้นำรัสเซีย กล่าวต่อไปว่า การดำเนินการหลายอย่างของยูเครนทำให้สถานการณ์หวนกลับมาสู่ภาวะที่เรียกว่า“ทางตัน”และยืนยันว่า กองทัพรัสเซียจะบรรลุเป้าหมายทั้งหมดตามที่วางแผนไว้ “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม”ถือเป็นท่าทีที่ยิ่งตอกย้ำ ความยืดเยื้อของสงครามครั้งนี้
นอกจากปั่นหัวให้นายเซเลนสกีไม่ยอมเจรจาและรับเงื่อนไขใดๆ แล้วสหรัฐฯยังเที่ยวข่มขู่กดดันพันธมิตรรัสเซียจีน อินเดียไม่ให้ค้าขายและร่วมประณามรัสเซียว่าเป็นอาชญากรสงคราม จนถูกรัฐบาลจีนตอกหน้าเอาว่า“ให้เอากระจกส่องหน้าแล้วจะรู้ว่าใครเป็นผู้ทำให้พลเรือนตายนับล้านๆ คนในประเทศอิรัก ซีเรีย ลิเบีย เยเมน และอัฟกานิสถาน ฯลฯ นั่นแหละคืออาชญากรสงครามตัวจริง”
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน “จ้าว ลี่เจียน”เปิดเผยว่า #รัฐบาลจีนจะไม่คว่ำบาตรและไม่ประณาม #รัสเซีย ในเรื่อง #ยูเครน และเมิน “แรงกดดัน” ของ #สหรัฐ ที่ให้เปลี่ยนความสัมพันธ์กับรัสเซีย จุดยืนของจีนคือเป็น กลางนั่นทำให้ “เราอยู่ฝั่งที่ถูกต้องของประวัติศาสตร์”
ในการแถลงข่าวประจำวัน จ้าว ลี่ีเจียน กล่าวว่าสถานการณ์ในยูเครนได้เปิดให้เห็นธาตุแท้ของอเมริกาว่า “ยังฝังใจอยู่ในสงครามเย็นและคลั่งความเป็นเจ้าโลก”..
อเมริกาเลือกใช้กฎหมายและกติกาสากลที่เหมาะกับความเป็นเจ้าโลกของตัวเอง “มันเป็นยุทธศาสตร์ ของอเมริกาที่ล้าสมัย” ชาวโลกทั่วไปคิดเรื่องการพัฒนาความก้าวหน้าของเทคโนโลยียุคใหม่ แต่อเมริกายังบ้าสงครามจึงจำเป็นต้องหยุดยั้งพวกเขา...”
จีนเป็นประเทศพูดน้อยต่อยหนักล่าสุดรัฐบาลเซอร์เบีย ชาติพันธมิตรของรัสเซีย เปิดเผยว่าได้รับมอบขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานล้ำสมัยจากจีน ซึ่งเริ่มเคลื่อนไหวแสดงแสนยานุภาพทางทหารในยุโรปเป็นครั้งแรกอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
สื่อมวลชนและผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารรายงานว่า เครื่องบินลำเลียง Y-20 จากทัพฟ้าแดนมังกร 6 ลำ ร่อนลงจอดที่ท่าอากาศยานนิโคลาเทสลา ซึ่งเป็นสนามบินพาณิชย์ในกรุงเบลเกรด ช่วงเช้ามืดวันเสาร์ที่ 9 เม.ย. เพื่อส่งมอบระบบขีปนาวุธยิงจากพื้นสู่อากาศ HQ-22 แก่กองทัพเซอร์เบีย ซึ่งจะทำให้เซอร์เบียเป็นชาติแรกในยุโรปที่มีระบบขีปนาวุธของจีนไว้ใช้
ปฏิบัติการครั้งนี้กระทำอย่างไม่เปิดเผย แต่ก็หาใช่ความลับเสียทีเดียว โดยในตอนแรกมีการบันทึกภาพเครื่องบินขนส่งมีตรากองทัพจีนไว้ได้ แต่ยังไม่มีใครทราบเรื่องราวละเอียด กระทั่งประธานาธิบดีอเล็กซานดาร์ วูซิชของเซอร์เบียออกมายืนยัน ซึ่งเป็นการส่งมอบตามข้อตกลงที่ทำร่วมกันเมื่อปี 2562 เขาระบุว่า เป็นความภาคภูมิใจใหม่ล่าสุดของกองทัพเซอร์เบีย
เครื่องบินของจีนลำเลียงขีปนาวุธบินผ่านน่านฟ้าของชาติสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต อย่างน้อย 2 รายคือ ตุรกี และบัลแกเรีย แม้ว่าชาตินาโตเพื่อนบ้านเคยบอกกับเซอร์เบียเองว่า จะไม่ยอมให้เครื่องบินขนขีปนาวุธบินผ่านน่านฟ้าของตนอย่างเด็ดขาด เพราะเดี๋ยวจะเป็นเรื่องในยามหน้าสิ่วหน้าขวานวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน
การบินผ่านได้อย่างสะดวกโยธินนี้เอง ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารชี้ว่า แสดงให้เห็นถึงขีดความสามารถที่เพิ่มขึ้นของจีน ในปฏิบัติการทั่วโลก ในขณะที่อเมริกาและกลุ่มประเทศนาโตคุยโวเรื่องส่งอาวุธไปให้เครน ปธน.ปูติน พูดสั้นๆ ว่าเป็นความชอบธรรมของรัสเซียที่จะยิงขีปนาวุธทำลายขบวนส่งอาวุธให้ยูเครน
เมื่อจีนเริ่มส่งขีปนาวุธไปให้มิตรประเทศรัสเซียและพูดว่าอเมริกาบ้าสงครามจำเป็นต้องหยุดยั้งให้ได้ จีน รัสเซีย อินเดียคือพันธมิตรแห่งมหาอำนาจตะวันออก ส่งสัญญาณบอกสหรัฐอเมริกา ว่า “ให้หยุดบ้าสงครามพันทางตั้งแต่วันนี้ ยังดีกว่าเดินหน้าจนกระทั่งยูเครนและอเมริกาพากันล่มสลายไปด้วยกัน”
ที่มาข่าว https://www.naewna.com/politic/columnist/51295