หัวใจสีฟ้า ภูผาสีทอง
ดรัสวันต์
34
เกื้อกูลก้าวลงจากรถพร้อมกับกล่าวขอบคุณเจ้าของรถที่ให้อาศัยมาลงบริเวณที่ตั้งแค้มป์ของศักดิ์สิทธิ์และปนนท์ หล่อนโทรฯ มาบอกทั้งสองล่วงหน้าเมื่อตอนเข้าเขตชุมชนที่เริ่มมีสัญญาณโทรศัพท์
“พี่เกื้อ” ปนนท์ที่รออยู่อย่างกระวนกระวายรีบเดินเข้ามาหาเมื่อเห็นเกื้อกูลลงจากรถ ศักดิ์สิทธิ์กับนพนาถก็เข้ามาสมทบด้วยสีหน้าเป็นห่วงกังวล
“รถเสียอยู่ตรงไหนครับ” ศักดิ์สิทธิ์ถาม
“ออกจากประตู West Entrance ไปเกือบไมล์ จู่ๆ รถมันก็ดับไปเฉยๆ แต่มันก็ยังแล่นได้อยู่ พี่ให้นิประคองรถเข้าข้างทาง แถวนั้นเปลี่ยวซะด้วย ไม่มีร้านรวงหรือปั้มน้ำมันที่จะไปขอความช่วยเหลือได้เลย”
ปนนท์หันไปมองหาใครอีกคน
“แล้วคุณนิล่ะครับ”
“เขารออยู่ที่รถ”
“พี่เกื้อทิ้งคุณนิไว้กลางป่าคนเดียวหรือนี่” ปนนท์ถามเสียงดังอย่างลืมตัว
“ก้อ..” เกื้อกูลอึกอัก “จะให้พี่ทำยังไงล่ะ อาศัยรถเขามา รถแน่นนั่งสองคนไม่พอหรอก”
“ศักดิ์ กุญแจรถ” ปนนท์เรียกหา ศักดิ์สิทธิ์ล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบกุญแจส่งให้ แล้วปนนท์ก็ผลุนผลันไปที่รถ ขับออกไปด้วยจิตใจร้อนรนเป็นห่วง
ณนิสาอย่างยิ่ง
“เดี๋ยว คุณนนท์ รอพี่ก่อน” เกื้อกูลที่เพิ่งหายจากตกตะลึงท้วงขึ้น แต่ไม่ทันแล้ว
ค่ำมืดเช่นนี้กับถนนที่ปนนท์ไม่คุ้นชินเส้นทางทำให้เขาไม่สามารถขับเร็วได้อย่างใจคิด เพราะต้องคอยมองหาป้ายบอกทาง อีกทั้งถนนคดเคี้ยว ในใจพร่ำภาวนาขอให้ณนิสาปลอดภัยเพราะเขาไม่แน่ใจว่าท่ามกลางป่าเปลี่ยวอย่างที่เกื้อกูลบอกนั้น จะมีอันตรายใดบ้างในยามค่ำคืนเช่นนี้ ได้แต่หวังว่าณนิสาคงไม่กล้าออกไปเดินในป่าอย่างคราวที่แล้วที่หล่อนหลงทาง
แต่เมื่อนึกถึงอันตรายจากคน ! ก็ทำให้ปนนท์หนาวเยือก กลางคืนค่ำมืดเช่นนี้ หากมีกลุ่มผู้ชายขับรถผ่านมาเจอผู้หญิงอยู่ตัวคนเดียวท่ามกลางป่าเปลี่ยว จะเกิดอะไรขึ้น !
ปนนท์ถอนหายใจ ไม่อยากคิดถึงเรื่องร้ายๆ เลย พร้อมกับเหยียบคันเร่งเพิ่มขึ้นเมื่อเจอถนนที่ทอดตรง
ไม่นานเขาก็เห็นประตูทางออกอุทยานฯ อยู่ตรงหน้า เริ่มใจชื้นขึ้น ครั้นพอผ่านประตูออกมาได้สักพัก กะว่าเป็นระยะทางไม่เกินหนึ่งไมล์ตามที่เกื้อกูลบอก ชายหนุ่มก็เริ่มชะลอรถส่ายสายตามองหารถที่จอดแอบข้างทาง ในที่สุดเขาก็เจอรถจอดแอบลึกเข้าไปในแนวต้นไม้
ปนนท์เลี้ยวรถเข้าไปจอดเยื้องไปทางด้านท้าย ใช้ไฟหน้ารถของตนช่วยให้แสงสว่าง เขารีบลงจากรถเดินไปที่รถของเกื้อกูลทันที แล้วก็ใจชื้นขึ้นเมื่อเห็นว่าณนิสานั่งอยู่ที่นั่น
ชายหนุ่มเอื้อมมือไปเปิดประตู แต่มันล็อก เขาจึงเคาะเรียกแต่ณนิสานั่งหลับคออ่อนอยู่กับเก้าอี้ข้างคนขับ สี่ทุ่มแล้ว หล่อนคงเพลียหลับไป
“คุณนิ คุณนิครับ” ทั้งเรียกและเคาะกระจก แต่ร่างบอบบางนั้นไม่ไหวติงแม้แต่น้อย ปนนท์เริ่มใจไม่ดี รึว่าหล่อนไม่ได้แค่หลับแต่เจ็บป่วยเป็นอะไรที่ร้ายแรงกว่า เพราะเมื่อพิจารณาโดยรอบรถแล้ว หญิงสาวปิดขังตัวเองไว้ในรถที่ไม่ได้แง้มกระจกไว้เลย หล่อนอาจจะขาดอากาศหายใจก็เป็นได้
คิดได้ดังนั้น ปนนท์ระดมทุบรถพร้อมทั้งร้องเรียกชื่อ พยายามให้ณนิสารู้สึกตัวให้ได้หรือถ้าไม่ได้ผลจริงๆ เขาอาจจำเป็นต้องทุบกระจกเพื่อช่วยชีวิตเธอ ก็ต้องทำ
ณนิสาเริ่มขยับตัว พยายามลืมตาขึ้นเพราะรู้สึกคล้ายคนเรียกชื่อหล่อนแว่วมาจากที่ไกลๆ แล้วเสียงเรียกนั้นก็ชัดขึ้นๆ ทำให้หล่อนรู้ว่ามันไม่ใช่ความฝัน
พอสายตาปรับสภาพให้มองชัดขึ้น หล่อนจึงเห็นว่าคนที่มาเรียกคือปนนท์
“คุณนิ ! เปิดประตู” น้ำเสียงร้อนรนนั้นทำให้หญิงสาวมองไปรอบตัวอย่างแปลกใจที่ทำไมหล่อนมาอยู่ที่นี่ แล้วหล่อนก็เปิดล็อกประตู
ปนนท์รีบดึงประตูให้เปิดออก แล้วยื่นหน้าเข้ามามองสำรวจไปทั่วร่างของหญิงสาวพร้อมกับดึงมือเย็นชืดของหญิงสาวมากุมไว้
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
ท่าทางอ่อนเปลี้ยนั้น ทำให้ชายหนุ่มไม่สบายใจแม้แต่น้อย
“คุณนนท์” หล่อนพึมพำเรียกชื่อเขาแล้วหลับตาลงอีกครั้งด้วยความอ่อนล้า
“นิอย่าเพิ่งหลับ คุณจะมานอนที่นี่ไม่ได้” เขาเรียกไว้ หล่อนปรือตาขึ้นอีกครั้ง ปนนท์ตัดสินใจดึงร่างณนิสาให้ลุกก้าวออกมาจากรถมายืนพิงกับตัวรถด้านนอกแล้วถามว่า
“พอมีแรงไหม”
ณนิสาพยักหน้ารับ หล่อนรู้สึกตัวตื่นแล้วก็จริง แต่ไม่อยากเปิดปากพูด ไม่อยากทำอะไรนอกจากล้มตัวลงนอน
“นิ เดินไหวนะ ผมจะพาคุณไปจากที่นี่”
หญิงสาวพยายามรวบรวมพละกำลังให้ก้าวเดินไปที่รถอีกคันโดยมีอ้อมแขนแข็งแรงโอบพยุงไว้ ปนนท์เปิดประตูรถมัสแตงแล้วค่อยๆ ประคองร่างหญิงสาวเข้าไปนั่งที่เบาะหน้าคู่กับคนขับ จัดการคาดเข็มขัดนิรภัยให้แล้วเดินอ้อมกลับมายังที่นั่งคนขับ พอเข้ามานั่งในรถ เขามองท่าทางอิดโรยของคนข้างๆ ด้วยความสงสาร
ความอบอุ่นจากฮีตเตอร์ในรถช่วยให้ณนิสารู้สึกดีขึ้น
“ขอบคุณนะคะ” ณนิสากล่าวออกมาจากใจ ไม่หลงเหลือทิฐิความขึงโกรธเขาอีกต่อไป
“ไม่เป็นไรแล้วนะ” เขาพยายามปลอบ แล้วพลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “นิยังไม่ได้ทานอะไรใช่ไหม” เพราะครั้งก่อน หล่อนก็เคยหน้ามืดเกือบจะเป็นลมไปครั้งหนึ่งแล้ว ปนนท์คาดเดาเหตุการณ์ได้ว่าหลังจากแยกทางกับเขาแล้วทั้งสองคงขับรถมาเรื่อยๆ เพื่อหาที่พักและอาหารเย็น แต่รถมาเสียซะก่อนเช่นนี้ ทั้งณนิสาและเกื้อกูลคงยังไม่ทานอะไรเป็นแน่ ท่าทางเหนื่อยล้าและดวงตาโรยๆ ของหญิงสาวนั้น พอจะทำให้เขามั่นใจว่าหล่อนน่าจะหมดแรงมากกว่าเจ็บป่วย
“ผมจะพาคุณไปทานอาหาร ให้คุณมีแรงก่อน แล้วเราค่อยคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป” เรื่องซ่อมรถกลางดึกขนาดนี้คงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่เรื่องที่พัก จะพาณนิสากลับเข้าไปในอุทยานฯ ไปพักนอนเต้นท์กับพรรคพวกของเขาหรือไม่นั้น ตอนนี้เขายังคิดไม่ออก
“แล้วรถพี่เกื้อ จะทิ้งไว้ที่นี่หรือคะ” หล่อนถามเสียงอ่อน เริ่มกังวลว่าอาจจะมีมิจฉาชีพแถวนี้
“คงทำอะไรไม่ได้นอกจากทิ้งไว้ กุญแจรถอยู่ที่คุณใช่ไหม”
หญิงสาวพยักหน้ารับ
“พี่เกื้อล่ะคะ”
“ผมรีบออกมาช่วยคุณก่อน พี่เกื้อแกอยู่ที่นั่นมีศักดิ์กับคุณนาถดูแลแล้ว ไม่ต้องห่วง” ปนนท์สบตาโรยๆ นั้นแล้วสงสารจับใจ หล่อนคงไม่เคยต้องสมบุกสมบันมากมายขนาดนี้มาก่อน ชายหนุ่มค่อยๆ เอื้อมมือไปลูบศีรษะหญิงสาวแล้วบอกด้วยน้ำเสียงปรานีว่า “ห่วงตัวเองก่อนเถอะนะ”
ท่าทางที่เขาปฏิบัติต่อหล่อนและความห่วงใยที่มีให้ ทำให้ณนิสารู้สึกตื้นตันอยู่ในใจ เวลานี้หญิงสาวลืมเลือนไปแล้วว่าผู้ชายคนนี้เคยทำร้ายจิตใจหล่อนไว้อย่างไร
“เราจะไปที่ไหนกันคะ”
“ร้านอาหาร คุณต้องทานอะไรก่อนนะ”
“แล้วจะพักที่ไหนหรือคะ กลับไปที่แค้มป์หรือเปล่า”
“ดูก่อน”
“ถ้ากลับไปนอนแค้มป์นิขอเอากระเป๋าเสื้อผ้าของนิกับของพี่เกื้อ แกไม่มีเสื้อกันหนาว ถ้าจะต้องนอนเต้นท์แบบนั้น” ณนิสาไม่วายเป็นห่วงหญิงกลางคน
“เดี๋ยวผมไปเอาให้” เขาบอกแล้วไปจัดการนำกระเป๋าเดินทางใบเล็กทั้งสองใบมาใส่ท้ายรถแล้วขับออกจากที่นั่น
หัวใจสีฟ้า ภูผาสีทอง บทที่ 34
เกื้อกูลก้าวลงจากรถพร้อมกับกล่าวขอบคุณเจ้าของรถที่ให้อาศัยมาลงบริเวณที่ตั้งแค้มป์ของศักดิ์สิทธิ์และปนนท์ หล่อนโทรฯ มาบอกทั้งสองล่วงหน้าเมื่อตอนเข้าเขตชุมชนที่เริ่มมีสัญญาณโทรศัพท์
“พี่เกื้อ” ปนนท์ที่รออยู่อย่างกระวนกระวายรีบเดินเข้ามาหาเมื่อเห็นเกื้อกูลลงจากรถ ศักดิ์สิทธิ์กับนพนาถก็เข้ามาสมทบด้วยสีหน้าเป็นห่วงกังวล
“รถเสียอยู่ตรงไหนครับ” ศักดิ์สิทธิ์ถาม
“ออกจากประตู West Entrance ไปเกือบไมล์ จู่ๆ รถมันก็ดับไปเฉยๆ แต่มันก็ยังแล่นได้อยู่ พี่ให้นิประคองรถเข้าข้างทาง แถวนั้นเปลี่ยวซะด้วย ไม่มีร้านรวงหรือปั้มน้ำมันที่จะไปขอความช่วยเหลือได้เลย”
ปนนท์หันไปมองหาใครอีกคน
“แล้วคุณนิล่ะครับ”
“เขารออยู่ที่รถ”
“พี่เกื้อทิ้งคุณนิไว้กลางป่าคนเดียวหรือนี่” ปนนท์ถามเสียงดังอย่างลืมตัว
“ก้อ..” เกื้อกูลอึกอัก “จะให้พี่ทำยังไงล่ะ อาศัยรถเขามา รถแน่นนั่งสองคนไม่พอหรอก”
“ศักดิ์ กุญแจรถ” ปนนท์เรียกหา ศักดิ์สิทธิ์ล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบกุญแจส่งให้ แล้วปนนท์ก็ผลุนผลันไปที่รถ ขับออกไปด้วยจิตใจร้อนรนเป็นห่วง
ณนิสาอย่างยิ่ง
“เดี๋ยว คุณนนท์ รอพี่ก่อน” เกื้อกูลที่เพิ่งหายจากตกตะลึงท้วงขึ้น แต่ไม่ทันแล้ว
ค่ำมืดเช่นนี้กับถนนที่ปนนท์ไม่คุ้นชินเส้นทางทำให้เขาไม่สามารถขับเร็วได้อย่างใจคิด เพราะต้องคอยมองหาป้ายบอกทาง อีกทั้งถนนคดเคี้ยว ในใจพร่ำภาวนาขอให้ณนิสาปลอดภัยเพราะเขาไม่แน่ใจว่าท่ามกลางป่าเปลี่ยวอย่างที่เกื้อกูลบอกนั้น จะมีอันตรายใดบ้างในยามค่ำคืนเช่นนี้ ได้แต่หวังว่าณนิสาคงไม่กล้าออกไปเดินในป่าอย่างคราวที่แล้วที่หล่อนหลงทาง
แต่เมื่อนึกถึงอันตรายจากคน ! ก็ทำให้ปนนท์หนาวเยือก กลางคืนค่ำมืดเช่นนี้ หากมีกลุ่มผู้ชายขับรถผ่านมาเจอผู้หญิงอยู่ตัวคนเดียวท่ามกลางป่าเปลี่ยว จะเกิดอะไรขึ้น !
ปนนท์ถอนหายใจ ไม่อยากคิดถึงเรื่องร้ายๆ เลย พร้อมกับเหยียบคันเร่งเพิ่มขึ้นเมื่อเจอถนนที่ทอดตรง
ไม่นานเขาก็เห็นประตูทางออกอุทยานฯ อยู่ตรงหน้า เริ่มใจชื้นขึ้น ครั้นพอผ่านประตูออกมาได้สักพัก กะว่าเป็นระยะทางไม่เกินหนึ่งไมล์ตามที่เกื้อกูลบอก ชายหนุ่มก็เริ่มชะลอรถส่ายสายตามองหารถที่จอดแอบข้างทาง ในที่สุดเขาก็เจอรถจอดแอบลึกเข้าไปในแนวต้นไม้
ปนนท์เลี้ยวรถเข้าไปจอดเยื้องไปทางด้านท้าย ใช้ไฟหน้ารถของตนช่วยให้แสงสว่าง เขารีบลงจากรถเดินไปที่รถของเกื้อกูลทันที แล้วก็ใจชื้นขึ้นเมื่อเห็นว่าณนิสานั่งอยู่ที่นั่น
ชายหนุ่มเอื้อมมือไปเปิดประตู แต่มันล็อก เขาจึงเคาะเรียกแต่ณนิสานั่งหลับคออ่อนอยู่กับเก้าอี้ข้างคนขับ สี่ทุ่มแล้ว หล่อนคงเพลียหลับไป
“คุณนิ คุณนิครับ” ทั้งเรียกและเคาะกระจก แต่ร่างบอบบางนั้นไม่ไหวติงแม้แต่น้อย ปนนท์เริ่มใจไม่ดี รึว่าหล่อนไม่ได้แค่หลับแต่เจ็บป่วยเป็นอะไรที่ร้ายแรงกว่า เพราะเมื่อพิจารณาโดยรอบรถแล้ว หญิงสาวปิดขังตัวเองไว้ในรถที่ไม่ได้แง้มกระจกไว้เลย หล่อนอาจจะขาดอากาศหายใจก็เป็นได้
คิดได้ดังนั้น ปนนท์ระดมทุบรถพร้อมทั้งร้องเรียกชื่อ พยายามให้ณนิสารู้สึกตัวให้ได้หรือถ้าไม่ได้ผลจริงๆ เขาอาจจำเป็นต้องทุบกระจกเพื่อช่วยชีวิตเธอ ก็ต้องทำ
ณนิสาเริ่มขยับตัว พยายามลืมตาขึ้นเพราะรู้สึกคล้ายคนเรียกชื่อหล่อนแว่วมาจากที่ไกลๆ แล้วเสียงเรียกนั้นก็ชัดขึ้นๆ ทำให้หล่อนรู้ว่ามันไม่ใช่ความฝัน
พอสายตาปรับสภาพให้มองชัดขึ้น หล่อนจึงเห็นว่าคนที่มาเรียกคือปนนท์
“คุณนิ ! เปิดประตู” น้ำเสียงร้อนรนนั้นทำให้หญิงสาวมองไปรอบตัวอย่างแปลกใจที่ทำไมหล่อนมาอยู่ที่นี่ แล้วหล่อนก็เปิดล็อกประตู
ปนนท์รีบดึงประตูให้เปิดออก แล้วยื่นหน้าเข้ามามองสำรวจไปทั่วร่างของหญิงสาวพร้อมกับดึงมือเย็นชืดของหญิงสาวมากุมไว้
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
ท่าทางอ่อนเปลี้ยนั้น ทำให้ชายหนุ่มไม่สบายใจแม้แต่น้อย
“คุณนนท์” หล่อนพึมพำเรียกชื่อเขาแล้วหลับตาลงอีกครั้งด้วยความอ่อนล้า
“นิอย่าเพิ่งหลับ คุณจะมานอนที่นี่ไม่ได้” เขาเรียกไว้ หล่อนปรือตาขึ้นอีกครั้ง ปนนท์ตัดสินใจดึงร่างณนิสาให้ลุกก้าวออกมาจากรถมายืนพิงกับตัวรถด้านนอกแล้วถามว่า
“พอมีแรงไหม”
ณนิสาพยักหน้ารับ หล่อนรู้สึกตัวตื่นแล้วก็จริง แต่ไม่อยากเปิดปากพูด ไม่อยากทำอะไรนอกจากล้มตัวลงนอน
“นิ เดินไหวนะ ผมจะพาคุณไปจากที่นี่”
หญิงสาวพยายามรวบรวมพละกำลังให้ก้าวเดินไปที่รถอีกคันโดยมีอ้อมแขนแข็งแรงโอบพยุงไว้ ปนนท์เปิดประตูรถมัสแตงแล้วค่อยๆ ประคองร่างหญิงสาวเข้าไปนั่งที่เบาะหน้าคู่กับคนขับ จัดการคาดเข็มขัดนิรภัยให้แล้วเดินอ้อมกลับมายังที่นั่งคนขับ พอเข้ามานั่งในรถ เขามองท่าทางอิดโรยของคนข้างๆ ด้วยความสงสาร
ความอบอุ่นจากฮีตเตอร์ในรถช่วยให้ณนิสารู้สึกดีขึ้น
“ขอบคุณนะคะ” ณนิสากล่าวออกมาจากใจ ไม่หลงเหลือทิฐิความขึงโกรธเขาอีกต่อไป
“ไม่เป็นไรแล้วนะ” เขาพยายามปลอบ แล้วพลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “นิยังไม่ได้ทานอะไรใช่ไหม” เพราะครั้งก่อน หล่อนก็เคยหน้ามืดเกือบจะเป็นลมไปครั้งหนึ่งแล้ว ปนนท์คาดเดาเหตุการณ์ได้ว่าหลังจากแยกทางกับเขาแล้วทั้งสองคงขับรถมาเรื่อยๆ เพื่อหาที่พักและอาหารเย็น แต่รถมาเสียซะก่อนเช่นนี้ ทั้งณนิสาและเกื้อกูลคงยังไม่ทานอะไรเป็นแน่ ท่าทางเหนื่อยล้าและดวงตาโรยๆ ของหญิงสาวนั้น พอจะทำให้เขามั่นใจว่าหล่อนน่าจะหมดแรงมากกว่าเจ็บป่วย
“ผมจะพาคุณไปทานอาหาร ให้คุณมีแรงก่อน แล้วเราค่อยคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป” เรื่องซ่อมรถกลางดึกขนาดนี้คงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่เรื่องที่พัก จะพาณนิสากลับเข้าไปในอุทยานฯ ไปพักนอนเต้นท์กับพรรคพวกของเขาหรือไม่นั้น ตอนนี้เขายังคิดไม่ออก
“แล้วรถพี่เกื้อ จะทิ้งไว้ที่นี่หรือคะ” หล่อนถามเสียงอ่อน เริ่มกังวลว่าอาจจะมีมิจฉาชีพแถวนี้
“คงทำอะไรไม่ได้นอกจากทิ้งไว้ กุญแจรถอยู่ที่คุณใช่ไหม”
หญิงสาวพยักหน้ารับ
“พี่เกื้อล่ะคะ”
“ผมรีบออกมาช่วยคุณก่อน พี่เกื้อแกอยู่ที่นั่นมีศักดิ์กับคุณนาถดูแลแล้ว ไม่ต้องห่วง” ปนนท์สบตาโรยๆ นั้นแล้วสงสารจับใจ หล่อนคงไม่เคยต้องสมบุกสมบันมากมายขนาดนี้มาก่อน ชายหนุ่มค่อยๆ เอื้อมมือไปลูบศีรษะหญิงสาวแล้วบอกด้วยน้ำเสียงปรานีว่า “ห่วงตัวเองก่อนเถอะนะ”
ท่าทางที่เขาปฏิบัติต่อหล่อนและความห่วงใยที่มีให้ ทำให้ณนิสารู้สึกตื้นตันอยู่ในใจ เวลานี้หญิงสาวลืมเลือนไปแล้วว่าผู้ชายคนนี้เคยทำร้ายจิตใจหล่อนไว้อย่างไร
“เราจะไปที่ไหนกันคะ”
“ร้านอาหาร คุณต้องทานอะไรก่อนนะ”
“แล้วจะพักที่ไหนหรือคะ กลับไปที่แค้มป์หรือเปล่า”
“ดูก่อน”
“ถ้ากลับไปนอนแค้มป์นิขอเอากระเป๋าเสื้อผ้าของนิกับของพี่เกื้อ แกไม่มีเสื้อกันหนาว ถ้าจะต้องนอนเต้นท์แบบนั้น” ณนิสาไม่วายเป็นห่วงหญิงกลางคน
“เดี๋ยวผมไปเอาให้” เขาบอกแล้วไปจัดการนำกระเป๋าเดินทางใบเล็กทั้งสองใบมาใส่ท้ายรถแล้วขับออกจากที่นั่น