JJNY : 5in1 ซัด!ระบบครอบงำนร.│เดียร์อ่านจม.ถึง เสธ.แดง│“สกลธี”โดนแกง│ผู้ปกครองปวดหัว ภาระเพิ่ม│ยูเครนยึดคาร์คีฟคืนสำเร็จ

ซัด!ระบบขุนนางขุนศึก​ครอบงำนักเรียน จี้เลิกบังคับเรื่องชุด-ทรงผม
https://www.dailynews.co.th/news/1047954/
 
อดีต รมว.ศึกษาธิการ อัดระบบขุนนางขุนศึก​ครอบงำนักเรียนและเยาวชนกว่า 10 ล้านคน ควรเลิกบังคับเรื่องชุดและทรงผมนักเรียน เพื่อให้เด็กมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก ให้ทำแบบเอสโตเนีย ที่ผลการศึกษาเป็นอันดับต้นๆ ของโลก.
 
 
เมื่อวันที่ 14 พ.ค. ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีต รมว.ศึกษาธิการ อดีต รมว.คลัง และอดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า 
 
1. ตามที่มีข่าวว่าโรงเรียนอนุบาลแถวๆ จ.กาญจนบุรี ให้นักเรียนใส่ชุดทหาร เพื่อทำให้เด็กเกิดความรู้สึกรักประเทศ และยังมีชุดต่างๆ อีกหลายชุด ดูแล้วนอกจากจะทำให้ผู้ปกครองที่ยากจนเสียเงินเสียทองมากขึ้นอีกแล้ว ยังอาจมีกระบวนการหาผลประโยชน์จากการขายชุดเหล่านั้น การสร้างระเบียบแบบครอบงำ คงไม่สามารถทำคนให้รักชาติได้.
 
2. การใช้กรอบคิดศักดินาครอบงำเด็ก-เยาวชน กว่า 10 ล้านคน จะทำให้ประเทศล้าหลัง ไม่มีอนาคต เพราะโลกในปัจจุบันก้าวไกลไปในยุคดิจิทัล และยุคควอนตัม (Quantum Computing) แล้ว เด็กๆ และเยาวชนจะต้องมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น จะต้องมีโอกาสตามเทคโนโลยีให้ทัน ต้องคิดนอกกรอบได้ 
 
3. ดังนั้นการบังคับให้มีชุดนักเรียนก็ดี ชุดต่างๆ รายวันก็ดี ให้มีทรงผมนักเรียนตามที่ผู้ใหญ่กำหนดก็ดี ล้วนเป็นการครอบงำให้สังคมหยุดอยู่กับที่ เป็นกรอบความคิดระหว่างนายกับบ่าว เป็นระบอบเจ้าขุนมูลนายศักดินา จะทำให้ประเทศล้าหลังไม่พัฒนา ไม่มีอนาคต
 
4. ประเทศไทยควรดูตัวอย่างประเทศเอสโตเนีย เมื่อ 30 ปีที่แล้วยังเป็นประเทศสังคมนิยม มีรายได้ต่อหัวเท่าๆ กับไทย เพิ่งจะแยกออกมาจากระบบสังคมนิยมสหภาพโซเวียตที่ล้าหลัง ในตอนนั้น ประเทศเอสโตเนีย มีรัฐบาลใหม่ที่ทันสมัย นายกรัฐมนตรีอายุเพียง 31 ปี ได้เปลี่ยนประเทศ จากเกษตรกรรม ยากจน กลายเป็นประเทศก้าวหน้า มีรายได้ต่อหัวกว่า 38,000 เหรียญฯ ต่อคนต่อปี เป็น 5.5 เท่าของรายได้ต่อหัวไทยในปัจจุบัน
 
5. รัฐบาลเอสโตเนีย ได้เลิกระบบรัฐการแบบ[เผล่ะจัง] เปลี่ยนจากรัฐบาลที่เป็นนายประชาชน มาเป็นรับใช้ประชาชน ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลทั่วประเทศ เป็นระบบ E-Government, E-Nation, การศึกษาดิจิทัล (E-Education) มีผลสัมฤทธิ์อันดับต้นๆ ของโลก, ฟรีอินเทอร์เน็ตทั่วประเทศ โดยให้ถือเป็นสิทธิมนุษยชนที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญของประเทศ, ประชาชนทุกคนมีคอมพิวเตอร์ในราคาที่ถูก รัฐบาลสอนคอมพิวเตอร์ให้ประชาชนฟรีทั่วประเทศ ปัจจุบัน เอสโตเนียเป็นประเทศที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส เป็นประเทศที่ก้าวหน้าล้ำสมัยของโลก
 
6. ดังนั้นจึงอยากเห็นประเทศไทย ได้ปรับเปลี่ยนวิธีคิดจากสังคมศักดินา เป็นสังคมที่ประชาชนมีประชาธิปไตย มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น มีรัฐบาลที่รับใช้ประชาชน มีเทคโนโลยีก้าวหน้าล้ำสมัย ประเทศไทยจึงจะพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว ประชาชนไทยทุกคนมีฐานะดี มีความใฝ่ฝัน มีอนาคตที่สดใส
 

 
เดียร์ อ่านจดหมายถึง เสธ.แดง "แม้พ่อจากไป 12 ปี แต่ประเทศนี้ยังเหมือนเดิม"
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7049747

เดียร์ อ่านจดหมายถึง เสธ.แดง “แม้พ่อจากไป 12 ปี แต่ประเทศนี้ยังเหมือนเดิม” ประเทศไม่ก้าวหน้า เกิดรอยร้าว และแย่ลงไปมาก แต่พี่น้องเสื้อแดงยังสู้อยู่
   
14 พ.ค. 2565 – ที่ห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียลเวิลด์ สำโรง จ.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย จัดงาน “ครอบครัวเพื่อไทย สมุทรปราการ บ้านหลังใหญ่ หัวใจดวงเดิม” นำโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วม และนวัตกรรมพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค นายสุทิน คลังแสง รองหัวหน้าพรรค นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค และ ส.ส.เพื่อไทย เข้าร่วมงาน
 
ช่วงหนึ่งของงาน น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ ได้อ่านจดหมายถึงคุณพ่อ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ “เสธ.แดง” อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ซึ่งถูกลอบยิงที่ศีรษะเมื่อวันที่ 13 พ.ค. 2553 ด้วยเสียงสั่นเครือ
 
“จดหมายของน้องเดียร์ ถึงคุณพ่อ 12 ปี ที่ผ่านมาหลายสิ่งเปลี่ยนไป แต่บางอย่างยังเหมือนเดิม ประเทศไม่ก้าวหน้า เกิดรอยร้าว และแย่ลงไปมาก แต่พี่น้องเสื้อแดงยังสู้อยู่”
 
“คำว่าลูกเสธ.แดง มีค่ามาก หนูภูมิใจที่เป็นลูกสาว เสธ.แดง หลายคนยังคนจดจำคุณพ่อฐานะผู้เสียสละที่เป็นทหารเคียงข้างประชาชน สิ่งที่คุณพ่อกระทำไม่ใช่การก่อการร้าย แต่การสลายการชุมนุมต่างหากคือก่อการร้าย คนเสื้อแดงไม่ใช่จำเลยสังคม เราได้รับศักดิ์ศรีคืน เพราะมีพรรคเพื่อไทย เป็นสถาบันการเมืองเคียงข้างประชาชนในการต่อสู้ และเป็นเครื่องมือที่จะทำให้ความยุติธรรมกลับคืนมา”



“สกลธี” โดนแกง ภาพจากบนเวทีเผยให้เห็นสคริปต์พูด ละเอียดยิบเลย ชาวเน็ตแซวยับ
https://www.catdumb.com/thai-news/80470

อย่างที่ทราบกันดีว่าเมื่อวานที่ผ่านมานั้น มีการปราศรัยใหญ่ของผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. ถึง 2 เวทีด้วยกัน
 
แน่นอนว่าก็ได้รับความสนใจจากประชาชนชาว กทม. เป็นจำนวนมาก
 
บรรยากาศทั้งสองเวทีต่างก็ดูคึกคักเป็นธรรมดา เพราะว่าใกล้จะถึงโค้งสุดท้ายของการหาเสียงกันแล้ว
 
แต่เวทีถูกพูดถึงเยอะหน่อยก็คงจะหนีไม่พ้นของ สกลธี ภัททิยกุล ผู้สมัครหมายเลข 3 ที่กลายเป็นประเด็นถูกชาวเน็ตแซวหนักมากกกกกกกก
 
เพราะจากภาพที่ทางเพจเฟซบุ๊กของ The Standard ถ่ายมาได้ เผยให้เห็นมุมจากด้านบนเวที พบว่า
 
มีการเขียนสคริปต์ หรือ บทพูดเอาไว้ในงานปราศรัยซะละเอียดยิบเลยทีเดียว
 
โพสต์บรรยากาศในงานจาก The Standard…

https://www.facebook.com/thestandardth/posts/3041182349507970

ภาพที่เป็นประเด็น…

https://www.facebook.com/thestandardth/photos/a.1729249630701255/3041181939508011/?type=3

จากในโพสต์เราจะเห็นว่าภาพอื่น ๆ มีคนเข้าไปคอมเมนต์บ้างประปราย แต่ภาพนี้ภาพเดียวมีคนเมนต์ไปเกือบ 200 ครั้ง แชร์ไปอีกกว่า 500 ครั้งเลยทีเดียว
หลายคนต่างก็เข้ามาแซวกันไปต่าง ๆ นานา ถึงสคริปต์ดังกล่าว ว่ามันจะละเอียดเกินปุยมุ้ยยยยย


 
เปิดเทอมใหญ่ On-site ผู้ปกครองปวดหัว ค่าครองชีพพุ่ง – ภาระเพิ่ม
https://www.thansettakij.com/money_market/524920
 
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผย เปิดเทอมใหญ่แบบ On-site ทำผู้ปกครองกังวลปัญหาสภาพคล่อง หลังราคาสินค้าและพลังงานพุ่งสูง พบผู้ปกครองบางส่วนต้องก่อหนี้เพิ่ม พร้อมคาดมูลค่าการใช้จ่ายเพื่อการศึกษาช่วงเปิดเทอมใหญ่ปี 65 ราว 26,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 2%
 
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยผลสำรวจกลุ่มตัวอย่างในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จากการเปิดเทอมใหญ่แบบ On-site  สะท้อนว่า ผู้ปกครองส่วนใหญ่กังวลเรื่องราคาสินค้าและพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น โดยกว่า 70.8% กังวลและมีปัญหาด้านสภาพคล่องทางการเงินในการใช้จ่ายเพื่อการศึกษา จากปัญหาการจ้างงาน ยอดขายของธุรกิจ ภาระผ่อนชำระเงินกู้และค่าครองชีพที่เพิ่มสูง
 
ส่งผลให้ผู้ปกครองบางส่วนจำเป็นต้องก่อหนี้เพื่อนำมาใช้จ่าย โดยผลสำรวจ พบว่า 30.2% จะหยิบยืมจากญาติมิตรหรือเพื่อนฝูง 29% จะใช้สินเชื่อบัตรเครดิต/บัตรกดเงินสดทั้งหมด 15.1% จะใช้สินเชื่อบัตรเครดิต/บัตรกดเงินสดบางส่วน 11.7% ขอผ่อนชำระหรือผ่อนผันกับทางโรงเรียน ขณะที่อีก 10.6% จะพึ่งพาโรงรับจำนำ และ 3.4% จะต้องกู้ยืมนอกระบบ
 
สำหรับประเด็นเรื่องโควิดซึ่งเป็นปัญหาที่ผู้ปกครองกังวลรองลงมา ผู้ปกครองกว่า  56.8% ยังคงกังวลและไม่มั่นใจกับการกลับไปเรียนที่โรงเรียนเต็มรูปแบบ ส่วนอีก  43.2% มีความมั่นใจที่บุตรหลานจะได้กลับเข้าไปเรียนที่โรงเรียน เนื่องจากบุตรหลานได้รับการฉีดวัคซีนและเชื่อมั่นในมาตรการของสถานศึกษา   
 
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า มูลค่าการใช้จ่ายเพื่อการศึกษาช่วงเปิดเทอมใหญ่ปี 65  อาจมีมูลค่าราว 26,900 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 2.0% เมื่อเทียบกับผลสำรวจในช่วงเดียวกันของปี 64 จากการกลับไปเรียนแบบ on-site มาจากค่าใช้จ่ายด้านค่าเทอม/ค่าธรรมเนียม ค่าอุปกรณ์การเรียน ชุดนักเรียน  การเดินทาง กิจกรรม ค่าอาหารและอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้น
 
อย่างไรก็ตาม มูลค่าการใช้จ่ายเพื่อการศึกษาที่เพิ่มขึ้น อาจไม่ได้สะท้อนว่าธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องมีทิศทางที่ดี แต่เป็นผลจากการเปรียบเทียบกับฐานที่ต่ำในช่วง 1-2 ปีก่อนหน้าที่ได้รับผลกระทบมากจากการระบาดของโควิด รวมถึงผลด้านราคาและค่าครองชีพ
 
ในขณะที่ผู้ปกครองจำเป็นต้องจัดสรรค่าใช้จ่ายส่วนนี้เพื่อการศึกษาของบุตรหลาน โดยอาจพิจารณาตัด/ลด หรือประหยัดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันส่วนอื่นๆ ควบคู่กับการหาแหล่งรายได้อื่นเข้ามาเพิ่มทดแทน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่