JJNY : ป่วยใหม่6,736 เสียชีวิต54│เชียงใหม่ สินค้าเปิดเทอมขายอึด│‘ทัวร์-สองแถว’ เร่ขายกิจการ│กลาโหมUS เจรจารัสเซียหยุดยิง

ไทยป่วยโควิดใหม่ 6,736 ราย เสียชีวิต 54 คน ปอดอักเสบรักษาในรพ.1,276 คน
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_3343215
 
ไทยป่วยโควิดใหม่ 6,736 ราย เสียชีวิต 54 คน ปอดอักเสบรักษาในรพ.1,276 คน
 
เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ประจำวันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม 2565 รวม 6,736 ราย จำแนกเป็น ผู้ป่วยจากในประเทศ 6,734 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 2 ราย ผู้ป่วยสะสม 2,144,317 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) หายป่วยกลับบ้าน 9,213 ราย หายป่วยสะสม 2,096,504 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ผู้ป่วยกำลังรักษา 73,333 ราย เสียชีวิต 54 ราย
 
จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบ รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 1,276 ราย เฉลี่ยจังหวัดละ 17 ราย อัตราครองเตียง ร้อยละ 16.8
 

 
ชาวเชียงใหม่ยังแบกค่าใช้จ่ายหลังแอ่น สินค้าเปิดเทอมขายอึด
https://www.thansettakij.com/economy/524830
 
พาณิชย์เชียงใหม่ลงพื้นที่ สำรวจราคาชุดนักเรียนตามท้องตลาด เผยไม่พบการฉวยโอกาสขึ้นราคา ในช่วงใกล้เปิดเทอม  เนื่องจากเป็นของสต็อกเดิมของปีก่อน ขณะที่ยอดขายลดลงกว่า 50 % จากกำลังซื้อผู้บริโภคลดลง
 
นางพนิดา วานิชรัตน์ พาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์สินค้าทางการศึกษา ในช่วงใกล้เปิดเทอม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 พบราคาขายปกติ แต่ยอดขายลดลง 50%   จากการลงพื้นที่ในส่วนของร้านค้าทั่วไป ที่เปิดขายสินค้าทางการศึกษาในท้องตลาด พบไม่มีการปรับขึ้นราคาชุดนักเรียนและอุปกรณ์การเรียนเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด 
 
โดยการจำหน่ายสินค้าในปีการศึกษานี้มีราคาใกล้เคียงกับปีการศึกษาที่ผ่านมา เนื่องจากสินค้ายังคงเป็นสต็อกเดิม ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้โรงเรียนต้องปรับเปลี่ยนการเรียนการสอน จากระบบ ON SITE เป็นระบบออนไลน์แทน ทำให้ผู้ปกครองไม่จำเป็นต้องซื้อชุดนักเรียนใหม่ โดยผู้ประกอบการแจ้งว่า ปีนี้ยอดจำหน่ายลดลงมากกว่า 50% เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง
 
สำหรับสถานการณ์ในห้างสรรพสินค้า อาทิ ห้างฯ Lotus และ ห้างฯ Big C ได้มีการจัดมุมสินค้า Back to school ให้ประชาชนได้เลือกซื้อสินค้าต้อนรับเปิดเทอม ซึ่งส่วนใหญ่ประชาชนนิยมมาเลือกสินค้าในห้างสรรพสินค้ามากกว่าร้านค้าทั่วไป เนื่องจากทางห้างมีการจัดโปรโมชั่น ลดราคา 10 – 15 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ประชาชนเริ่มทยอยมาเลือกสินค้าตั้งแต่ต้นเดือนที่ผ่านมา 
  
โดยราคาจำหน่ายชุดนักเรียนตามท้องตลาด อาทิ ชุดนักเรียนตราสุทธิพร จำหน่ายเสื้อนักเรียนชาย No.34 ในราคาตัวละ 250  บาท ,เสื้อนักเรียนหญิง No.34 ราคาตัวละ 250  บาท ,กระโปรง 6 จีบ No.20 ราคาตัวละ  300  บาท, ถุงเท้า คาร์สัน ขนาด 5-7 นิ้ว ราคาคู่ละ  39 บาท และรองเท้านักเรียน ตรา Popteen เบอร์ 35-42  ราคาคู่ละ  309 – 339 บาท
 
สำหรับชุดนักเรียนตราสมอ จำหน่ายเสื้อนักเรียนชาย No.34 ราคาตัวละ 255 บาท, เสื้อนักเรียนหญิง No.34 ราคาตัวละ 255  บาท, กระโปรง 6 จีบ No.20 ราคาตัวละ  265 บาท, กางเกงชาย เบอร์ 15 ราคาตัวละ 270 บาท, ถุงเท้า คาร์สัน ขนาด 5-7 นิ้ว ราคาคู่ละ 39 บาท
 
ขณะเดียวกันชุดนักเรียนในห้างสรรพสินค้า จำหน่ายเสื้อนักเรียนหญิง ในราคาตัวละ 59 – 369  บาท, เสื้อนักเรียนชาย ราคาตัวละ 69 – 359 บาท, กางเกงนักเรียนชาย ราคาตัวละ 59 – 359 บาท, กระโปรงนักเรียนหญิง ราคาตัวละ 59 – 239 บาท และรองเท้านักเรียน ตรา Popteen เบอร์ 35-42  ราคาคู่ละ  309 – 339 บาท  



หัวอกช้ำ ‘ทัวร์-สองแถว’ พ่ายน้ำมันแพง บีบแตร เร่ขายกิจการ
https://www.matichon.co.th/economy/news_3343237

สกู๊ปหน้า 1 : หัวอกช้ำ ‘ทัวร์-สองแถว’ พ่ายน้ำมันแพง บีบแตร เร่ขายกิจการ
 
กลายเป็นเรื่องฮือฮา เมื่อ นางสุจินดา เชิดชัย หรือ เจ๊เกียว นายกสมาคมผู้ประกอบการรถร่วมโดยสาร บขส.และเจ้าของอู่เชิดชัย และบริษัทเดินรถเชิดชัยทัวร์ ได้ออกมาประกาศขายกิจการของบริษัทเดินรถเชิดชัยทัวร์ ที่ถือว่าเป็นบริษัทเดินรถรายใหญ่ของประเทศ มีรถบัสปรับอากาศชั้น 1 กว่า 200 คัน เดินรถโดยสาร บขส.ไปทั้งในพื้นที่ภาคกลาง ภาคอีสาน ภาคตะวันออก และภาคเหนือ ดำเนินกิจการมานานกว่า 65 ปี แต่ประสบกับปัญหาเศรษฐกิจหลายอย่างรุมเร้าเข้ามา จนต้องประกาศขายกิจการทิ้ง เพื่อไม่ให้กระทบกับธุรกิจอื่นที่ยังทำอยู่
 
นางสุจินดา เชิดชัย หรือเจ๊เกียว เปิดเผยว่า ในอดีตบริษัทเดินรถโดยสาร บขส.ถือว่าเป็นธุรกิจที่พอทำกำไรได้ เพราะคนซื้อรถใช้เองน้อย ไม่มีสายการบินโลว์คอสต์เป็นคู่แข่ง และค่าน้ำมันก็ยังไม่แพงนัก แต่ทุกวันนี้ค่านิยมของคนไทยเปลี่ยนไปมาก หลายครอบครัวจะมีรถยนต์ใช้กันหมดทำให้ผู้โดยสารเริ่มลดน้อยลงต่อเนื่อง ต่อมาเริ่มมีสายการบินโลว์คอสต์ทำให้ประชาชนหันไปใช้บริการมากขึ้น และหลังเกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้รัฐบาลประกาศล็อกดาวน์หลายครั้ง รถโดยสาร บขส.ไม่สามารถวิ่งข้ามจังหวัดได้ อีกทั้งเมื่อเริ่มคลายล็อกดาวน์แล้ว ก็ยังจำกัดที่นั่งด้วย คนก็กลัวติดเชื้อไม่มาซื้อตั๋วกัน บางเที่ยวแทบจะวิ่งรถเปล่า ผู้ประกอบการรถโดยสาร บขส.เริ่มอยู่ไม่ได้ พากันทยอยปิดกิจการกันเป็นแถว อยู่ได้แค่บริษัทที่มีสายป่านยาวเท่านั้น

“ช่วงนี้เองแม้แต่บริษัทเชิดชัยทัวร์ ยังต้องหยุดเดินรถสายยาว ภาคเหนือ ภาคอีสานตอนบน ภาคกลาง และภาคตะวันออก โดยทยอยนำรถสายยาวมาจอดทิ้งไว้ที่อู่ต่อเนื่อง จนทุกวันนี้สายยาวต้องหยุดวิ่งเกือบ 100% แล้ว เหลือวิ่งเพียงสายสั้น นครราชสีมา-กรุงเทพฯ และนครราชสีมา-จังหวัดภาคตะวันออกเท่านั้น หรือคิดเป็นหยุดวิ่ง 70% เหลือวิ่งอยู่แค่ 30% และวันนี้ต้องมาเจอกับวิกฤตลอยตัวราคาน้ำมันดีเซลอีก ยิ่งเป็นการซ้ำเติมให้ผู้ประกอบการเดินรถโดยสาร บขส.ขาดทุนหนักหนาสาหัส เมื่อทำธุรกิจแล้วมีแต่แนวโน้ม ขาดทุนไปเรื่อยๆ”
 
“จึงตัดสินใจแล้วว่าจะเลิกประกอบธุรกิจรถโดยสาร บขส. โดยขายบริษัทเชิดชัยทัวร์ออกไปเพื่อไม่ให้กระทบกับธุรกิจอื่นๆ ประกอบกับตนเองอายุ 85 ปีแล้ว จึงไม่อยากเหนื่อยกับการต้องทนแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในบริษัทที่ประสบกับปัญหาขาดทุนอย่างนี้อีกต่อไป”
 
ขณะที่ นายมานิต อัครวงศ์วัฒนา ชาว อ.เมืองนครราชสีมา เป็นครอบครัวหนึ่งที่ประกอบกิจการรถโดยสาร บขส. มานานกว่า 40 ปี เล่าว่า ตนมีพี่น้อง 8 คน ประกอบอาชีพเดินรถโดยสาร บขส.กันทั้งหมด รวมรถบัสที่วิ่งกว่า 20 คัน เฉพาะครอบครัวตนมีรถบัสวิ่ง 5 คัน โดยวิ่งสายนครราชสีมา-สุรินทร์ ในอดีตกำไรดีมากจนสามารถซื้อบ้าน ซื้อรถ และมีเงินเก็บเลี้ยงครอบครัวได้สบายๆ
 
แต่ช่วงหลังๆ เริ่มมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ผู้โดยสารนิยมขึ้นรถโดยสาร บขส.น้อยลง และมาได้รับผลกระทบหนักๆ ตอนที่มีการระบาดของไวรัสโควิด-19 และราคาน้ำมันดีเซลแพงขึ้น ทำให้เมื่อต้นปี 2564 ต้องนำรถทั้ง 5 คัน มาจอดทิ้งไว้ในปั๊มน้ำมันใกล้บ้านเพราะวิ่งไปก็ขาดทุน หลังจากจอดรถทิ้งไว้ไม่นานก็ตัดสินใจขายรถทิ้งไปทั้งหมด
 
เช่นเดียวกับ “รถสองแถว” ที่วิ่งอยู่ภายในโคราชก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน “นายพอง ชอบชดกลาง” คนขับรถสองแถว สายโคราช-บ้านบิง อ.โนนสูง เปิดเผยว่า สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้ประกอบการรถสองแถวได้รับผลกระทบอย่างหนัก เนื่องจากโรงเรียนต่างๆ ให้นักเรียนเรียนออนไลน์อยู่ที่บ้าน สถานประกอบการต่างๆ ปิดกิจการจำนวนมาก ผู้โดยสารหายไปกว่า 80% ผู้ประกอบการรถสองแถวทนขาดทุนไม่ไหว ต้องหยุดวิ่งไปหลายคัน
 
มาช่วงนี้น้ำมันดีเซลปรับขึ้นราคา ซ้ำเติมผู้ประกอบการรถสองแถวให้เดือดร้อนหนักขึ้นไปอีก เช่น รถสองแถวสายโคราช-บ้านบิง ที่ขับอยู่ตั้งแต่ต้นสายถึงปลายสายระยะทางเกือบ 40 กิโลเมตร คิดค่าโดยสาร 25 บาท เดิมมีรถวิ่งสายนี้ 12 คัน แต่ก่อนรับผู้โดยสารเต็มที่นั่งตลอด แต่ทุกวันนี้ได้
ผู้โดยสารเที่ยวละ 4-5 คนเท่านั้น แต่ละคันจะต้องวิ่ง 10 เที่ยว ขณะที่ต้องเติมน้ำมันอย่างน้อยวันละ 800 บาท ตอนนี้เพิ่มไปเป็นวันละ 1,000 กว่าบาท ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายทนแบกรับภาระขาดทุนไม่ไหว ทยอยหยุดวิ่งรถต่อเนื่อง
 
ด้าน นายพัลลภ แซ่จิว ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ ในฐานะผู้บริหารบริษัทสยาม ไอ.ที.ทัวร์ จำกัดผู้ประกอบการรถทัวร์รายใหญ่ในภาคเหนือ เล่าว่า สถานการณ์โควิด-19 ระบาดมากว่า 3 ปีทำให้คนเดินทางหันไปใช้บริการเครื่องบินมากขึ้น เนื่องจากมีระบบกำจัดฆ่าเชื้อ มีอากาศถ่ายเทดีกว่ารถทัวร์ มีความปลอดภัยมากขึ้น ทำให้ผู้ใช้บริการรถทัวร์ลดลง ที่สำคัญภาวะน้ำมันแพง
 
ส่งผลให้ผู้ประกอบการรถทัวร์บางเส้นทางปิดกิจการ อาทิ นิววิริยะ สายเชียงใหม่-ลำปาง, ชาญทัวร์ สายเชียงใหม่-ขอนแก่น ส่วนไทยพัฒนากิจขนส่ง หรือกรีนบัส ที่เปิดบริการในเส้นทางสายเหนือ อาทิ เชียงใหม่-เชียงราย ยังคงเปิดบริการ แต่มีกำไรน้อยมาก ส่วนรถโดยสารสายเชียงใหม่-กรุงเทพฯ มีผู้ประกอบการกว่า 10 ราย แต่มีรายใหญ่ที่สามารถอยู่ได้เพียง 2-3 รายเท่านั้น เนื่องจากมีต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 10,000 บาท/เที่ยว ต้องขายตั๋วโดยสาร 50% ของจำนวนที่นั่งจึงจะคุ้มทุน
 
ทำให้ผู้ประกอบการบางรายประกาศขายสัมปทานเดินรถจากเบอร์ละ 2 ล้านบาท เหลือเพียง 600,000 บาท แต่ยังไม่มีคนซื้อไปทำธุรกิจต่อ ประกอบกับเงินเดือนพนักงานขับรถที่มีประสบการณ์ หรือมีความชำนาญ เฉลี่ยเดือนละ 20,000 บาท และในอนาคตมีแนวโน้มปรับค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้น เป็น 400 บาท/วัน ทำให้ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในระยะยาวด้วย
 
ดังนั้น รัฐบาลต้องมีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะถึงผลกระทบด้านต่างๆ ที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันผู้ประกอบการก็ต้องปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์ พฤติกรรมผู้ใช้บริการที่เปลี่ยนไป โดยมีโจทย์คือประชาชนผู้ใช้บริการเป็นตัวตั้ง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่