JJNY : “อุ๊งอิ๊ง” ดีใจคนยังไม่ลืมพ่อ-อา│ขนุนราคาตก│กองทุนน้ำมันเงินใกล้หมด วิ่งวุ่นหาเงินกู้│'ชัชชาติ'ยังนำโด่ง ดุสิตโพล

“อุ๊งอิ๊ง” ลุยพื้นที่ขอคะแนนส.ก. อ้อนคิดถึงพ่อดูหน้าลูกไปก่อน ดีใจคนยังไม่ลืมพ่อ-อา
https://www.thairath.co.th/news/politic/2390507
  
 
“แพทองธาร” นำทีมผู้สมัครส.ก.ขอคะแนนตลาดสายเนตร เจอทักหน้าเหมือนพ่อ อ้อน คิดถึงพ่อดูหน้าลูกไปก่อน ลั่นอยากได้เก้าอี้ ส.ก. ให้ได้มากที่สุดเพื่อผลักดันนโยบาย ปลื้มคนถามถึง “พ่อ-อา” อยากไลน์บอก
 
วันที่ 12 พฤษภาคม 2565 เมื่อเวลา 07.00 น. ที่ตลาดสายเนตร เขตคันนายาว น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด ผู้อำนวยการเลือกตั้งส.ก. พรรคเพื่อไทย นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ประธานภาคกทม.พรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่หาเสียงให้กับ ผู้สมัครส.ก.ของพรรคฝั่งธน ของพรรคเพื่อไทย ประกอบด้วย นางชญาดา วิภัติภูมิประเทศ ผู้สมัคร ส.ก.เขตคันนายาว เบอร์ 5 พรรคเพื่อไทย นายเนติภูมิ มิ่งรุจิราลัย หรือดีเจน็อบ ผู้สมัครส.ก.เขตบึงกุ่ม เบอร์ 3 พรรคเพื่อไทย น.ส.มธุรส เบนท์ ผู้สมัคร ส.ก.เขตสะพานสูง เบอร์ 3 พรรคเพื่อไทย  น.ส. นภัสสร พละระวีพงศ์ ผู้สมัคร ส.ก.เขตบางกะปิ เบอร์ 4 พรรคเพื่อไทย บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก พ่อค้าแม่ค้าประชาชนที่มาจับจ่ายซื้อของ ได้เข้าทักทายบอกว่าหน้าเหมือน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ น.ส.แพทองธาร จึงตอบกลับไปว่า “หน้าเหมือนคุณอาค่ะ” น.ส.แพทองธาร อย่างเป็นกันเองพร้อมขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึก โดยน.ส.แพทองธาร ได้บอกกล่าวนโยบายของพรรคเพื่อไทยให้ผู้มาจับจ่ายซื้อของรับทราบ และขอคะแนนให้ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้ง



ชาวสวนร่ำไห้ ถึงคิวขนุน ราคาตกเหลือกก.ละ 2 บาท เตรียมจัดงานขนุนโลกกระตุ้นราคา
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_3339485

ชาวสวนร่ำไห้ ถึงคิวขนุน ราคาตกเหลือกก.ละ 2 บาท เตรียมจัดงานขนุนโลกกระตุ้นราคา
 
วันที่ 12 พฤษภาคม นายชูชาติ ยางนอก นายกองค์การบริหารส่วนตำบลสระว่านพระยา อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา ได้ออกมาเปิดเผยว่า สถานการณ์ขนุน ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจของจังหวัดนครราชสีมาในขณะนี้ กำลังอยู่ในภาวะราคาตกต่ำอย่างมาก เนื่องจากมีปัจจัยปัญหาเรื่องการส่งออก อันเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด 19 เศรษฐกิจตกต่ำ รวมถึง เริ่มมีผลไม้ชนิดอื่นออกสู่ตลาดจำนวนมาก ทั้งเงาะ มังคุด และทุเรียน ทำให้ราคาขนุนแก่ มีการรับซื้อที่หน้าสวนสูงสุดอยู่ที่กิโลกรัมละ 2 บาทเท่านั้น จากที่เคยมีราคาสูงสุดถึงกิโลกรัมละมากกว่า 40 บาท ซึ่งล่าสุด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังหาทางช่วยกันแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้อย่างเต็มที่ เพื่อกระตุ้นราคาขนุนให้ดีขึ้น ลดความเดือดร้อนของเกษตรกรที่กำลังประสบอยู่ในตอนนี้

โดยเบื้องต้น ได้มีการแก้ไขปัญหาด้วยผลักดันให้ชาวสวนนำผลผลิตไปจำหน่าย ที่ตลาดนัดเกษตรกรที่บริเวณลานหน้าศาลากลางจังหวัดฯ เพื่อระบายสินค้า ซึ่งได้กระแสตอบรับดี สามารถระบายสินค้าได้แล้วกว่า 10 ตัน และส่งเสริมให้มีการแปรรูปขนุนให้มีความหลากหลาย โดยทำเป็นแยมขนุน หรือขนุนทอด เป็นต้น เพื่อให้มีช่องทางการจำหน่ายมากขึ้น
 
นอกจากนี้ องค์การบริหารส่วนตำบลสระว่าพระยา ยังเตรียมจะจัดงาน “เทศกาลขนุนโลกหนุนนำ หมากมั่งมี” ครั้งที่ 1 ในวันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม 2665 ที่กำลังจะถึง เพื่อกระตุ้นราคาขนุน ยกระดับสินค้าและเปิดแหล่งท่องเที่ยวทางการเกษตรให้เป็นที่รู้จักเพิ่มมากขึ้น ซึ่งภายในงาน จะจัดให้มีกิจกรรมที่หลากหลาย อาทิ การประกวดเทพีขนุน ธิดาหมากมั่งมี การเสวนาบรรยายให้ความรู้ด้านการเกษตร การประกวดขนุนคุณภาพหลากชนิด พร้อมชิมขนุนฟรี อีกทั้ง ยังมีการจัดบูธแสดงสินค้าด้านการเกษตรที่สำคัญอีกด้วย
 
ทั้งนี้ ในพื้นที่ อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา ปัจจุบันมีพื้นที่การปลูกขนุนเป็นพืชเศรษฐกิจรวมประมาณ 2,000 ไร่ มีขนุนออกสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศ รวมกว่า 1,000 ตันต่อปี สามารถสร้างเม็ดเงินได้หลายสิบล้านบาทต่อปี โดยเฉพาะในช่วงนี้เป็นช่วงที่มีผลผลิตออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก
 

 
กองทุนน้ำมันเงินใกล้หมด หลังอุ้มดีเซล เส้นตายพ.ค. วิ่งวุ่นหาเงินกู้
https://www.prachachat.net/economy/news-928200

กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงวิกฤต เหลือเงินสดติดบัญชีแค่ 12,932 ล้านบาท พอตรึงราคาน้ำมันดีเซลถึงสิ้นเดือนมิถุนายน หลังผ่านมา 6 เดือนยังไม่มีธนาคารไหนยอมปล่อยกู้ สุดท้ายเหลือ 2 ทางเลือก เร่งขอเงินกู้แบงก์รัฐภายในสิ้นเดือนพฤษภาคม กับของบประมาณรัฐมาช่วย
 
สถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงปัจจุบันกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤต หลังจากที่รัฐบาลตัดสินใจใช้กลไกของกองทุนดำเนินการ “อุดหนุน” ราคาน้ำมันดีเซลภายในประเทศมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564
 
ประกอบกับเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งทะยานขึ้นเกินกว่าระดับ 100 เหรียญ/บาร์เรลติดต่อกัน ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯปัจจุบันติดลบไปแล้วถึง -66,681 ล้านบาท
 
แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามลดภาระของกองทุนลงด้วยการ “กันเงิน” จากการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 1 บาทเข้ากองทุน แต่ก็ไม่ได้ช่วยพยุงฐานะกองทุนน้ำมันฯได้มากนัก เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับสูงขึ้นมาโดยตลอด และไม่มีทีท่าว่าจะลดลงแต่อย่างใด
 
กองทุนเหลือเงินหมื่นกว่าล้าน
 
นายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) กล่าวว่า ปัจจุบันสถานะกองทุนน้ำมันติดลบ -66,681 ล้านบาท แบ่งเป็น บัญชีน้ำมันติดลบ -33,258 ล้านบาท กับบัญชีก๊าซ LPG ติดลบ -33,423 ล้านบาท ส่งผลให้กองทุนมี “สภาพคล่อง” เงินสดเหลือในบัญชีอยู่ 12,932 ล้านบาทเท่านั้น
 
โดยแนวทางในการบริหารจัดการกองทุนต่อจากนี้ไป ทางคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ได้กำหนดไว้ 2 แนวทาง ได้แก่ 1) การกู้เงินจากสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นเรื่องที่กำลังดำเนินการอยู่ ภายใต้กรอบวงเงิน 40,000 ล้านบาท แต่จะกู้จากสถาบันการเงินในลอตแรกประมาณ 20,000 ล้านบาท จาก 2 สถาบันการเงินของรัฐคือ ธนาคารกรุงไทย และธนาคารออมสิน
 
ล่าสุดมีการตั้งคณะอนุกรรมการดูแลสภาพคล่องกองทุน โดยมีนายธีรัชย์ อัตนวานิช รองปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานจัดหาเงินกู้ให้แก่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และได้การมีส่งข้อมูลเพิ่มเติมให้กับธนาคารพิจารณา ซึ่งการพิจารณาของธนาคารยังต้องใช้เวลาและต้องเข้าบอร์ดของธนาคารก่อนเคาะการปล่อยกู้ แต่ต้องให้ทันก่อนสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้
 
“ที่ช้าเพราะธนาคารขอดูอย่างพวก statement เพราะกองทุนขาดการติดต่อกับทางแบงก์ไปเลย 3 ปี ในช่วงที่เราเปลี่ยนผ่านมามี พ.ร.บ.กองทุนน้ำมันฯปี 2562 ทางธนาคารต้องการความเชื่อมั่นว่า กองทุนน้ำมันฯจะสามารถอยู่ได้และไปต่อ หากมีการอนุมัติเงินกู้ให้ นอกจากนี้ ธนาคารยังขอดูสภาพคล่องของเงินเข้าและออก รวมไปถึงการประเมินราคาน้ำมันตลาดโลกคู่ไปด้วย” นายวิศักดิ์กล่าว
ส่วนแนวทางที่ 2 หากธนาคารยังไม่ปล่อยเงินกู้ให้ก็คือ การของบฯจากรัฐบาล วงเงินไม่จำกัด ซึ่งในกรณีนี้ตามกฎหมายกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง “สามารถทำได้ แต่อยู่ที่ว่ารัฐบาลจะอนุมัติให้ได้หรือไม่”
 
อย่างไรก็ตาม ย้อนหลังไปเมื่อหลายปีก่อน ปรากฏกองทุนน้ำมันฯเคยติดลบเป็น -10,000 ล้านบาท ก็ของบประมาณจากรัฐบาลมาช่วยอุดไว้ได้ ตอนนั้นกองทุนก็เจอวิกฤตการณ์ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นเช่นกัน แต่เศรษฐกิจไทยดี รัฐบาลมีเงินก็สามารถช่วยอุ้มไว้ได้
 
แต่มาปีนี้สถานการณ์ต่างกันมาก เจอสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอีก ราคาดีเซล ณ วันที่ 6 พ.ค. 2565 ไปถึง 160.65 ดอลลาร์/บาร์เรลแล้ว กองทุนอุดหนุนอยู่ที่ลิตรละ 11.35 บาท เพื่อตรึงราคาขายปลีกไว้ที่ 32 บาท/ลิตรนั้น หมายความว่า กองทุนน้ำมันฯต้อง “ควักเงินจำนวนมากมาอุ้ม” ส่วนรัฐบาลเองก็ไม่มีเงิน เศรษฐกิจก็ไม่ดี แนวทางการของบฯจากรัฐบาลจึงอาจดูว่า “จะยาก”
 
อย่างไรก็ตาม หากภายในสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้ ยังไม่มีสถาบันการเงินรายใดอนุมัติการปล่อยกู้ไปจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2556 ฐานะกองทุนน้ำมันฯคงไม่สามารถ “ตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ให้ได้เเล้ว” ประกอบกับสงครามรัสเซีย-ยูเครนยังไม่ยุติ ราคาพลังงานยังพุ่ง
 
ดังนั้นแนวทางสุดท้ายก็คือ “การปล่อยลอยตัว” นั่นหมายถึง ราคาน้ำมันดีเซลก็จะพุ่งขึ้นไปตามราคาน้ำมันโลก โดยที่กองทุนก็ไม่สามารถอุดหนุนราคาน้ำมันภายในประเทศต่อไปก็เพื่อรักษาเสถียรภาพกองทุนเอาไว้ และประชาชนก็ต้องแบกรับภาระค่าครองชีพ “แต่ผมยังเชื่อว่า รัฐบาลจะไม่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ เพราะจะเป็นการซ้ำเติมประชาชนมากเกินไป” นายวิศักดิ์กล่าว
 
ส่วนการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ครั้งล่าสุดได้พิจารณา “ทบทวน” การขายปลีกน้ำมันดีเซลประจำสัปดาห์ โดยที่ประชุมมีมติให้ “คงราคาดีเซล” ในสัปดาห์นี้ (9-15 พ.ค. 2565) ไว้ที่ 32 บาท/ลิตร ส่วนการจะปรับราคาขึ้นอีกหรือไม่นั้น จะมอนิเตอร์จากสถานการณ์ราคาโลกแบบรายวัน และจะนำเสนอเข้าที่ประชุม กบน. ทุกวันศุกร์ของสัปดาห์ เพื่อพิจารณาว่า ในต้นสัปดาห์ต่อไป (16 พ.ค. 2665) จะสามารถตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไว้หรือต้องปรับขึ้นราคาตามสถานการณ์โลก
 
ค่าการตลาดดีเซลขึ้น 2 บาท
 
มีรายงานข่าวเข้ามาว่า หากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังไม่ปรับลดลง ประกอบกับยังไม่มีสถาบันการเงินของรัฐแห่งใดปล่อยเงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับกองทุนน้ำมันฯแล้ว ถึงสิ้นเดือนพฤษภาคมมีความเป็นไปได้ว่า กองทุนน้ำมันฯจะติดลบทะลุ -70,000 ล้านบาท ในขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลจะต้องติดตามต่อไปว่า รัฐบาลจะ “ต่ออายุ” มาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ซึ่งจะหมดอายุลงในวันที่ 20 พฤษภาคมนี้หรือไม่
 
เพราะหากรัฐบาลเลือกที่จะไม่ต่ออายุราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 20 พฤษภาคมจะต้องบวกเพิ่มอีก 3 บาท/ลิตร ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาลจากประมาณการการลดภาษีสรรพสามิตรอบนี้ จะทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้ไปประมาณ 17,100 ล้านบาท เพราะยิ่งต่ออายุออกไปรายได้ในส่วนนี้ก็จะยิ่งหายไปอีก
 
“รัฐบาลกำลังเข้าตาจนและรู้ดีว่า กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไม่มีความสามารถที่จะอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลต่อไปได้อีกแล้ว จึงยอมขยับราคาดีเซลให้ใกล้เคียงกับราคาตลาดโลกแบบเป็นขั้นเป็นตอน ขั้นแรกกำหนดกรอบไว้ที่ไม่เกิน 35 บาท/ลิตร ในขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลที่แท้จริงน่าจะอยู่ที่ระดับ 44-45 บาท/ลิตร (ปัจจุบันกองทุนอุดหนุนไว้ที่ราคาลิตรละ 11.35 บาท/ลิตร จากกรอบ 35 บาท/ลิตร)
 
แต่มีข้อน่าสังเกตว่า ในขณะที่รัฐบาลพยายามที่จะตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ไม่ให้เกิน 35 บาท/ลิตร แต่ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลของผู้ค้าน้ำมันกลับขึ้นไปสูงถึง 2.0767 บาท/ลิตร จากเดิมที่รัฐบาลได้ขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมันให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็วแต่ละชนิดอยู่ในช่วง 1.40 บาท/ลิตร หรือเท่ากับตอนนี้ค่าการตลาดได้ปรับสูงขึ้นมาก” แหล่งข่าวกล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่