ควรหนีออกจากบ้านดีไหม หากอยู่กับพ่อแม่แล้วรู้สึกไม่ปลอดภัย

จริง ๆ ถ้าเล่าก็ต้องย้อนรวามไปนานเลย แต่ก่อนเราทำงานในกรุงเทพฯ แล้วทีนี้เราทำงานไปได้หนึ่งปี แล้วออกจากงาน เพราะเหตุผลเรื่องการเมือในที่ทำงาน (จะว่า ๆ เรางี่เง่าก็ได้ แต่เหตุการณ์ทำให้เราฝังใจและเข็ดจนไม่อยากสมัครทำงานประจำอีก) แล้วเราก็ออกมาทำฟรีแลนซ์ แต่ก็ดูท่าจะไปไม่ค่อยรอด แล้วหมดทางเลือก ก็เลยตัดสินใจมาอยู่กับพ่อแม่ที่ต่างจังหวัด แล้วนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องทุกอย่าง
.
บอกตามตรงว่า การกลับมาอยู่ตจว. ไม่ได้ทำให้เรามีความสุขเท่าไหร่ เพราะเรามีความทรฃจำที่ไม่ดีกับพ่อแม่เยอะมาก แรก ๆ ที่มาอยู่ เราก็ทำงานฟรีแลนซ์ในบ้านไป ข้าวมีกินนะ แต่เราหาเงินนั่งทำงานในบ้าน และมันอยู่ในช่วงใกล้สอบ ป.โทแล้ว เราก็ทั้งเตรียมตัวสอบ และก็ทำงานไปด้วย โดยพยายามไม่รบกวนเงินเขา เพราะรายได้ตรงนี้นี่เอง ที่เรามีเงินรายวันใช้เอง ค่าที่พักไม่ต้องออก ทุกอย่างดูจะราบรื่นดี ถ้าวันหนึ่งเขาไม่บอกเราว่า ให้เอารถไป 'รีไฟแนนซ์' เพื่อเอาเงินมา เป็นแสน ๆ -- ซึ่งรถคันนี้ เขาซื้อผ่อนโดยใช้ชื่อของเราซื้อ เพราะเขาบอกว่า ช่วงนี้ขายน้ำปั่นไม่ดี ไม่ค่อยมีลูกค้า (คือแม่ทำงานหาเงินเข้าบ้านเป็นหลัก แต่พ่อไม่ทำงานอะไรเลย เพื่อที่จะเอาเงินเข้าบ้าน)
.
ย้อนไปประมาณสัก เรายังอยู่ ปี2 ของมหาลัย เรายังไม่มีงานทำเลย อย่างมากก็แค่รับสอนพิเศษได้เงินทีละ 500-1,000 บาทต่อสัปดาห์ พ่อแม่ ซึ่งตอนนั้นรถยนต์เขาพังพอดี แล้วต้องการถอยรถคันใหม่ (แต่ปัญหาก็คือเขาทั้งสองคนเป็นหนี้บัตรเครดิต แล้วไม่มีเงินจะใช้เขาคืน เขาเลยหนีหนี้มา จะเกือบครบ 10 ปีแล้ว -- ทั้งนี้เขาเป็นหนี้แชร์ด้วย ใช้เขาไม่ไหวจนต้องเอาบ้านไปจำนองเพื่อใช้หนี้เขา) เขาเลยใช้ชื่อเรากู้ผ่อนรถแทน ทั้ง ๆ ที่ตัวเรายังเรียนไม่จบ และยังไม่มีงานทำเลย พอเจ้าหน้าที่ถามว่าทำงานอะไร เขาบังคับให้เราตอบไปว่า ทำงานติวเตอร์ -- ทั้งที่ติวเตอร์เป็นเพียงอาชีพเสริมยามว่าง เพื่อไว้เป็นค่าขนมไปมหาลัย
.
กลับมาปัจจุบัน เราเข้าไปที่ธนาคาร ทำตามที่เขาต้องการ เราก็ไปนั่งแบบไม่รู้จะพูดอะไร เพราะไม่ได้อยากทำเรื่อง จนพ่อต้องมายืนพูดข้างโต๊ะพนักงานที่รับเรื่องเราอยู่ ทุกคนก็หันมองมาทางเราแปลก ๆ พนักงานธนาคารก็เหมือนคุยกัน จนเราได้ยินคำลอย ๆ มาว่า "เกาะลูกกิน" พอพนักงานถามว่าพี่จะกู้เท่าไหร่คะ พ่อก็บอกว่า "จะกู้สี่แสน" พอพนักงานประกันวินาศภัยคำนวณทุกอย่างเสร็จสรรพ เขาก็บอกว่า ให้ได้มากสุดราว 260,000 และดูจากค่าค้างชำระงวดรถที่ยังเหลืออยู่ 250,000 โดยประมาณ พนักงานก็บอกตาทตรงว่า เงินที่เขาจะรี จะถูกหักจากค่าค้างชำระ สรุปทั้งสิ้นเขาจะได้เงินกลับไปเพียงหมื่นเดียว ซึ่งไม่คุ้ม -- พ่อเราก็เลยไม่ทำเรื่อง เรื่องดูเหมือนจะคลี่คลาย แต่มันไม่ได้จบแค่นั้น
.
พ่อแม่เราไม่ยอมแพ้ เลยจะกู้เงินติดล้อประมาณ 100,000 บาท ด้วยความที่เรายังไม่มีเงิน และยังอยู่กับเขาอยู่ เราขัดขืนอะไรไม่ได้มาก เราเลยดูเหมือนจะเล่นเกมทำตามเขา เป็นเช่นเคย เราไปที่เงินติดล้อ ยื่นเอกสาร พนักงานก็พูดคุยกัน แล้วเราก็ได้ยินคำว่า "เกาะลูก" อีกแล้ว พ่อแม่เราเขาจะเข้าไปคุย แต่พนง. เลือกที่จะคุยกับเราคนเดียวแบบแยกโต๊ะ ให้เซ็นเอกสาร ถามอาชีพและรายได้เรา 
.
พอทำเรื่องเสร็จ เรารู้สึกไม่โอเค เลยเลือกเดินกลับบ้าน เพราะการที่เขาทำแบบนี้ เราจะมีหนี้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว หลังจากวันนั้น เราก็ลองคุยกับพ่อ ทำไมไม่ไปทำงานบ้าง เขาก็ตอบว่า "นี่ก็ทำงาน พ่อทำงานมากกว่าที่เราจะรู้อีก ทั้งซื้อของมาเติมน้ำปั่น ขนของขึ้นกระบะ" (ซึ่งงานแบบนั้น เราไม่เรียกว่างาน คือถ้าเป็นงาน คือต้องเป็นอาชีพ หาเงินได้) -- เราก็บอกว่าทำไมไม่ไปขี่ Grab เขาก็ไม่ทำ พอเรามองไปรอบบ้าน ก็แปลกใจว่า ทำไมเขามีมอร์เตอร์ไซค์ตั้งสองคัน เราถาม "มอร์เตอร์ไซค์น่ะ มีทำไมตั้งสองคัน" เขาบอกว่า อย่าถาม ของทุกอย่างมันจำเป็นต้องมีด้วยเหตุผลของมัน ซึ่งแปลกมากนะ เขาแทบไม่มีเงิน แต่กลับเอาเงินไปซื้อของเกินความจำเป็น มันแปลก ๆ นะ เราก็พูด ถ้าขายก็ได้เงินแล้วไหม แล้วที่เงินไม่พอใช้ก็เพราะซื้อของเกินความจำเป็น เขาได้ยินอย่างนั้นก็เริ่มโอดครวญว่า เลี้ยงเรามาอย่างดี (ไม่ดีเลย เราต้องทำงานหาเงินส่งตัวเองเรียน อยูาหอพักเก่าโทรมราคาเดือนละ 1,500 แถมต้องเจอคนเถื่อนขู่เกือบเอาชีวิตไม่รอด) แล้วเขาก็มักจะพูดว่า "กูเป็นพ่อนะ" แล้วก็บอกว่าเสียใจทุกครั้งที่เราเถียง ด่าเราว่าไม่รู้จักบุญคุณ เราก็เลยเถียงกลับ หนูไม่เห็นพ่อจะเลี้ยงหนูดีตรงไหน แล้วหนูมองว่า การให้เด็กคนหนึ่งเกิดมา เด็กคนนั้นเลือกเกิดไม่ได้ แต่พ่อแม่เป็นคนสร้างเขาขึ้นมา และเมื่อเด็กคนนั้นเกิดมา มันเป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องเลี้ยงเขาให้ดี -- แค่นั้นแหละ เขาตอบเราว่า "งั้นก็ไปฆ่าตัวตายซะสิ ไปโดดตึกฆ่าตัวตายเลย" เราสะอึกกับคำตอบเลย นี่เป็นคำที่พ่อพูดกับลูกจริง ๆ เหรอ แล้วเขาก็บอกอีกว่า กูเห็นเพื่อนกูมันมีลูก มันไม่เห็นจะต้องรับผิดชอบเลี้ยงลูกมันเลย ไม่เห็นจะต้องส่งเสียเรียนสูง ๆ แล้วก็ด่าเราว่า เราอะคิดไม่ได้ เรียนสูงซะเปล่า จบท้ายด้วยการบอกเราว่า ให้กลับไปคิดซะใหม่นะ
.
หลังจากวันนั้นนั่นเอง เราเริ่มเข้าห้อง นึกย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยอดีต พ่อแม่เรามักชอบเล่นแชร์ลูกโซ่ รับขายเสื้อผ้าจากแหล่งไม่ดีอะ คือเขารับจากของโจรมาขาย (เสื้อผ้าพวกนั้นอาจจะได้จากการไปขโมยเขามา) เป็นหนี้บัตรเครดิตอีออน -- แล้วต้องหนีหนี้ ขายบ้านสิ้นเนื้อประดาตัว จนทำให้ชีวิตเราระหกระเหย้ายที่อยู่ประจำเลย แล้วตอนนี้เขากำลังมาทำกับเรา ด้วยเหตุนี้ เราเลยรู้สึกได้ว่า การอยู่กับพวกเขานั้นอันตรายมาก เราไม่รู้ว่าสิ่งที่เราเดานั้นถูกต้องไหม แต่มันคงไม่จบแค่กู้เงินติดล้อแน่ ๆ นานวันมันอาจลามปามไปถึงหนี้นอกระบบ แล้วเขามักจะถามเราเสมอ ได้ลูกค้าฟรีแลนซ์เยอะไหม เงินมากหรือเปล่า ตรงนั้นเองที่เราได้ยินกลิ่นไม่ขอบมาพากล -- แต่ตอนนั้นก็สับสน ว่าเราเป็นคนคิดไม่ได้จริง ๆ เหรอ เราเลยเลือกโทรปรึกษา 'สายด่วนชาวพุทธ' กับพระอาจารย์ เล่าทุกอย่างให้เขาฟังหมด 
.
สิ่งที่พระอาจารย์ตอบเราก็คือ เราควรแยกบ้านไปอยู่คนเดียว อย่าปล่อยให้เขาครอบงำเราได้ เราควรจะมีมาตรการแข็งกับเขาบ้าง แล้วเขาก็ถามว่าถ้าพ่อแม่ส่งรถไม่ไหว เราจะรับมืออย่างไร -- ด้วยความที่เป็นชื่อเรา ในแอพธนาคารนั่นแหละ มันจะมีมาตรการ 'ตืนรถจบหนี้' เราจะใช้วิธีนั้นจบทุกอย่าง แล้วให้เขามาริบรถยนต์จากที่บ้านพ่อแม่เราเลย -- พระอาจารย์บอกว่า เราจะกตัญญู ต้องมีความฉลาดด้วย เราไม่ต้องไปเสียเวลาสอนหรือพูดหรอก ให้เขาคิดเอง แล้วทำให้เขาตีบตัน แล้วเขาจะคิดได้ แล้วออกมาทำมาหากินเอง และแยกออกมา ไม่ต้องเผชิญหน้ากับเขา --นั่นเอง จึงทำให้เราคิดว่า ความคิดเราก็ไม่ได้แย่เกินไป 
.
ทีนี้ เฝด้วยความที่ไม่มีเงินมาก บวกกับอยู่แล้วรู้สึกไม่ปลอดภัย เราเห็นว่า ถ้าได้เงินตรงนั้นโอนเข้าบัญชี เราจะแอบขนเสื้อผ้าและหนังสือขึ้นรถแท็กซี่ แล้วหายไปเลย ในเวลาที่พวกเขาไปขายของ แต่อีกใจก็สงสารพวกเขา แต่ก็พยายามบอกตัวเองว่า ถ้าใจอ่อนแล้ว ลองนึกสิว่าถ้าเขาคิดจะกู้คิดจะทำกับเราอีก เราจะยังสงสารเขาลงไหม 
.
เราไม่รู้จะทำไง เลยตั้งกระทู้ขอคำปรึกษาทุกคนหน่อย ไม่รู้จะทำไง แล้วสิ่งที่ทำไป มันถูกต้องแล้วใช่ไหม แล้วเราควรรู้สึกอย่างไร เรารู้สึกไม่ปลอดภัย แต่เราก็ไม่มั่นใจว่าเราคิดไปเองไหม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่