ตอนแรกว่าจะไม่เขียนแล้ว แบบมันเป็นเรื่องที่ทำเราเจ็บที่สุดในชีวิต แต่พอดีวันนี้ไปหาหมอที่คลีนิคมา เราโทรไปถาม ไปจองคิวก่อน เราถามว่า ออกใบเสร็จและใบรับรองแพทย์ให้เราได้ไหม จะเอาไปเบิก พ.ร.บ. เพราะเราประสบอุบัติเหตุ น้องเจ้าหน้าที่บอก ขอถามคุณหมอก่อน แล้วจะโทรกลับ และแปบเดียว น้องก็โทรมาบอกว่า คุณหมอบอก ใบรับรองแพทย์ไปเบิกกับ พ.ร.บ. ต้องเข้าโรงพยาบาลท่านั้น เราเลยบอกน้องไปว่า ที่โรงพยาบาลน่ะ เราไม่ต้องจ่ายเงิน เพราะโรงพยาบาลไปเบิกเอง แต่นี่ เราจ่ายเงินเอง แค่ขอเอกสารเอาไปเบิก สรุป ก็เข้าใจกัน และทำให้เราคิดว่า ถ้าเราเขียนกระทู้ อาจจะเป็นประโยชน์กับคนอื่น
เรื่องเริ่มจาก เราไปทำงานที่ต่างอำเภอช่วงเดือนกุมภาพันธ์ เราเอารถมอไซค์ขึ้นกระบะไป เพื่อเอาไปใช้เดินทางใกล้ๆ และวันนั้น เราซ้อนมอไซค์โดยมีรุ่นพี่ที่ทำงานด้วยกันขี่ พอถึงแยกก็ดูละว่าไม่มีรถ รุ่นพี่ก็ขับเข้าแยกไป จนอีกนิดเดียว จะพ้นแยกแล้ว ซึ่งลักษณะของแยก ไม่ได้เป็นสี่แยกปกติ ฝั่งที่รถมาชนเราจะอยู่ในลักษณะเยื้องๆเล็กน้อย คือ แน่นอน เราเข้าแยกก่อน อีกฝั่งมาถึงทีหลังต้องให้ทางกับเรา แต่คือ รถยนต์คันนั้นไม่ยอมให้ทาง คือเราไม่ได้ยินเสียงเบรคเลยด้วยซ้ำ มารู้ตัวอีกที คือเรานั่งบนถนน มองดูเลือดไหลออกจากขาตัวเอง โชคดีที่เราติดใส่หมวกกันน็อค คือ แม้ไม่รู้ว่าล้มท่าไหน แต่หมวกกันน็อคยังติดหัวอยู่ สักพักกู้ภัยก็มา รถพยาบาลมา แต่โชคร้ายมาก เครื่องตรวจชีพจรเสีย ยังคิดถ้าเราอาการหนักจะทำไงกัน และก็ถึงโรงพยาบาล หมอเอกซเรย์ก็บอกไม่หัก แต่แผลเนื้อฉีกหลุดไปเลย เย็บไม่ได้ คือ แบบ ก็รู้ตัวละว่าต้องระวังการติดเชื้อ พอรับยา หมอให้กลับบ้าน คือ มองซ้ายมองขวาหาใครไม่เจอเลย คนขับชนก็ไม่รู้ไปไหน ทั้งๆที่เพิ่งจะหกโมงเย็น โชคดีที่น้องชายเรารู้จักคนแถวนั้น เขาเลยอาสามารับกลับที่พัก
คือเรื่องคดี ค่อนข้างจะเรื่องเยอะ เราขอข้ามไปประเด็นที่เราจะพูดเลยนะคะ เรื่อง พ.ร.บ.
ในช่วงแรกของการรักษา เราไปรักษาที่โรงพยาบาล ก็มีเอกซเรย์ มีให้ยาแก้อักเสบกล้ามเนื้อ และยาทาแผล เพื่อป้องกันการติดเชื้อ และบอกว่าให้ไปล้างแผล รพสต แถวบ้าน แต่คือ เราเดินไม่ได้เลยค่ะ ไม้ค้ำก็ไม่มี รถก็ถูกลากไปโรงพัก เราเลยต้องซื้อน้ำเกลือ ผาก็อต เทป และยาทาแผลมาทำแผลเอง ก็โอเค ไม่มีการติดเชื้อ เพราะเราไม่ได้ออกไปไหนเลย แล้วอีกสองวัน อาการระบมก็ถามหา เราเจ็บตรงซี่โครง ก็เลยกลัวๆ เหมารถไปโรงพยาบาลอีกครั้ง หมอบอกว่า กระดูกไม่หักนะ แต่เพื่อความสบายใจก็เอกซเรย์ซ้ำ และคุณหมอก็ถามเราว่า เพิ่งจะเคยโดนรถชนครั้งแรกเหรอคะ เราบอกใช่ค่ะ และยังโชคดีที่มันเป็นครั้งแรก ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ปกติจะระวังตัวมาก ที่เคยก็แค่ล้มนิดๆหน่อยๆ
เรารักษาตัวเอง ประมาณสามอาทิตย์แผลเริ่มตกสะเก็ด ก็กระเผลกๆได้เลยออกไปทำงาน พอเราไม่ทำงานไม่ได้ งานเดินช้าค่ะ จากที่เคยคาดว่าจะใช้เวลาสามสี่อาทิตย์งานจะเสร็จ ผลคือ งานเดินไม่ถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ เราช่วยทำงานใช้เวลาอีกสามอาทิตย์ก็แล้ว ก็ขนของกลับบ้าน
และเราก็ได้ย้ายมารักษาที่โรงพยาบาลรัฐในจังหวัด แต่คือ คนเยอะมาก โควิดก็หนัก เราเลยโทรหาบริษัทกลางที่เรามี พ.ร.บ. อยู่ และเป็นโชคดีของเรา ที่ผู้จัดการสาขา ดีมาก ให้คำแนะนำเรา ว่าเรามีสิทธิ์อะไรที่ได้จาก พ.ร.บ. บ้าง
เรื่องคดี ตำรวจฟันธงว่าฝั่งรถยนต์ผิด จากที่เบิกจาก พ.ร.บ. รถของเราในช่วงแรก ทางบริษัทกลางก็บอกว่า จะต้องย้ายไปเบิกกับบริษัทที่ฝั่งรถยนต์ทำไว้ ซึ่งเอกสารทุกอย่างบริษัทกลางจะเป็นคนรับ และประสานให้ ซึ่งโชคดีที่สำนักงานอยู่ใกล้ๆบ้านเรา ห่างไม่เกินสองกิโล เราก็โชคดีไป
เราจะสรุปใจความที่ได้คุยกับผู้จัดการของบริษัทให้นะคะ จะได้เข้าใจง่าย เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ที่ยังไม่สามารถระบุว่าเป็นความผิดของใคร ค่ารักษาพยาบาลจะเบิกจาก พ.ร.บ. ของผู้บาดเจ็บไปก่อน แต่พอได้ข้อสรุป ก็ต้องย้ายไปใช้สิทธิจาก พ.ร.บ. หรือ ประกันของคู่กรณี ในกรณีที่คู่กรณีเป็นฝ่ายผิด โดย คู่กรณีของเรา มีแค่ พ.ร.บ. ก็จะมีวงเงินใน พ.ร.บ. ที่เราสามารถเบิกค่าอนามัยและสินไหมทดแทนได้ ทั้งหมด 80,000 บาท
หากเราไปรักษาที่โรงพยาบาลของรัฐ เราสามารถมอบสิทธิให้โรงพยาบาลไปเบิกค่ารักษาได้ โดยเราไม่ต้องสำรองจ่าย ได้ในวงเงิน 30,000 บาท ที่เหลืออีก 50,000 เราสามารถไปรักษาในสถานพยาบาลเอกชนใดๆที่มีใบอนุญาตถูกต้อง และนำไปเบิกคืนได้ แต่เราต้องสำรองจ่ายเอง
การรักษาของเรา คือ ไปทั้งโรงพยาบาลรัฐ ไม่ต้องจ่ายเงินเอง โรงพยาบาลเอกชน และคลีนิค ทั้งคลีนิคที่มีหมอประจำ และคลีนิคที่ทำกายภาพบำบัด เพราะเราอยากหายเร็ว ก็จะไปทำกายภาพบำบัดทุกอาทิตย์ ซึ่งเราก็คิดว่า เป็นวิธีการรักษาที่โอเคสำหรับเรานะคะ และส่วนหนึ่ง เราก็เผื่อไว้ใช้สำหรับเบิกค่ารักษารอยแผลเป็น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราก็สำรองจ่ายเองไปก่อนได้
การเบิกค่ารักษา พี่ผู้จัดการให้ทยอยเบิกนะคะ จะได้ชัดเจนว่าเป็นการรักษาต่อเนื่อง และการเบิกก็ไม่ซับซ้อน เร็วมาก ถ้ายอดไม่เกินสองพัน จะได้เงินสดมาเลย ัแต่ถ้าเงินมากไปกว่านั้น จะจ่ายเป็นเช็ค และนัดวันรับ ตอนแรก เขานัดเราห้าวัน แต่เอาจริงๆ อีกไม่กี่ชั่วโมง น้องเจ้าหน้าที่ก็โทรมาบอกว่า วันพรุ่งนี้เข้าไปเช็คได้เลย
สำหรับค่าใช้จ่ายที่ฝั่งคู่กรณีจ่ายให้เรา ตอนแรกเราขอไปสามหมื่น เขาบอกเตรียมเงินไม่พอ และขอลดเหลือ สองหมื่นห้า ไม่รวมค่าซ่อมรถ เราก็เลยยอม จะได้จบๆไป นี่พอดูข่าวที่น้องผู้หญิงถูกดาราขับรถชน และขอต่อเหลือสองหมื่น เรายังหงุดหงิดแทนเลย การได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ เราต้องเจออะไรร้ายๆเยอะมาก เริ่มตั้งแต่ ต้องเจอแอลกอฮอล์เช็ดล้างแผล นี่ก็ร้องลั่นโรงพยาบาล แถมเดินไม่ได้เกือบเดือน คือ มันไม่ใช่แค่เจ็บกาย แต่สภาพจิตใจก็ย่ำแย่พอกัน
สุดท้าย ขอฝากไว้ค่ะ มีรถไม่ว่าประเภทไหน ทำ พ.ร.บ. ทำประกันไว้เถอะค่ะ มันดีต่อตัวเองและคนร่วมใช้ถนนน
และที่สำคัญไปกว่านั้น ก่อนสตาร์ทรถ ควรคิดเสมอว่า การปฏิบัติตามกฎจราจรสำคัญมาก อย่าคิดฝ่า แค่เพราะคิดว่าคงไม่เป็นไร
อุบัติเหตุ ไม่ได้เกิดจากความประมาท เพราะเราให้ประมาท ไว้แค่เหตุสุดวิสัยเท่านั้น สำหรับความคิดของเรานะ แต่การจงใจฝ่าฝืนกฎหมาย ไม่ใช่ความประมาทแน่นอน คือ คุณเจตนาจะฝ่าฝืนอ่ะ
เมตตากับหมากับแมวได้ ขอให้เมตตากับคนที่ร่วมใช้ถนนด้วยนะคะ แค่ปฏิบัติตามกฎหมาย เท่านั้นเอง
โดนรถชน เจ็บตัว เจ็บใจ แต่ พ.ร.บ. มี ต้องใช้ให้เกิดประโยชน์
เรื่องเริ่มจาก เราไปทำงานที่ต่างอำเภอช่วงเดือนกุมภาพันธ์ เราเอารถมอไซค์ขึ้นกระบะไป เพื่อเอาไปใช้เดินทางใกล้ๆ และวันนั้น เราซ้อนมอไซค์โดยมีรุ่นพี่ที่ทำงานด้วยกันขี่ พอถึงแยกก็ดูละว่าไม่มีรถ รุ่นพี่ก็ขับเข้าแยกไป จนอีกนิดเดียว จะพ้นแยกแล้ว ซึ่งลักษณะของแยก ไม่ได้เป็นสี่แยกปกติ ฝั่งที่รถมาชนเราจะอยู่ในลักษณะเยื้องๆเล็กน้อย คือ แน่นอน เราเข้าแยกก่อน อีกฝั่งมาถึงทีหลังต้องให้ทางกับเรา แต่คือ รถยนต์คันนั้นไม่ยอมให้ทาง คือเราไม่ได้ยินเสียงเบรคเลยด้วยซ้ำ มารู้ตัวอีกที คือเรานั่งบนถนน มองดูเลือดไหลออกจากขาตัวเอง โชคดีที่เราติดใส่หมวกกันน็อค คือ แม้ไม่รู้ว่าล้มท่าไหน แต่หมวกกันน็อคยังติดหัวอยู่ สักพักกู้ภัยก็มา รถพยาบาลมา แต่โชคร้ายมาก เครื่องตรวจชีพจรเสีย ยังคิดถ้าเราอาการหนักจะทำไงกัน และก็ถึงโรงพยาบาล หมอเอกซเรย์ก็บอกไม่หัก แต่แผลเนื้อฉีกหลุดไปเลย เย็บไม่ได้ คือ แบบ ก็รู้ตัวละว่าต้องระวังการติดเชื้อ พอรับยา หมอให้กลับบ้าน คือ มองซ้ายมองขวาหาใครไม่เจอเลย คนขับชนก็ไม่รู้ไปไหน ทั้งๆที่เพิ่งจะหกโมงเย็น โชคดีที่น้องชายเรารู้จักคนแถวนั้น เขาเลยอาสามารับกลับที่พัก
คือเรื่องคดี ค่อนข้างจะเรื่องเยอะ เราขอข้ามไปประเด็นที่เราจะพูดเลยนะคะ เรื่อง พ.ร.บ.
ในช่วงแรกของการรักษา เราไปรักษาที่โรงพยาบาล ก็มีเอกซเรย์ มีให้ยาแก้อักเสบกล้ามเนื้อ และยาทาแผล เพื่อป้องกันการติดเชื้อ และบอกว่าให้ไปล้างแผล รพสต แถวบ้าน แต่คือ เราเดินไม่ได้เลยค่ะ ไม้ค้ำก็ไม่มี รถก็ถูกลากไปโรงพัก เราเลยต้องซื้อน้ำเกลือ ผาก็อต เทป และยาทาแผลมาทำแผลเอง ก็โอเค ไม่มีการติดเชื้อ เพราะเราไม่ได้ออกไปไหนเลย แล้วอีกสองวัน อาการระบมก็ถามหา เราเจ็บตรงซี่โครง ก็เลยกลัวๆ เหมารถไปโรงพยาบาลอีกครั้ง หมอบอกว่า กระดูกไม่หักนะ แต่เพื่อความสบายใจก็เอกซเรย์ซ้ำ และคุณหมอก็ถามเราว่า เพิ่งจะเคยโดนรถชนครั้งแรกเหรอคะ เราบอกใช่ค่ะ และยังโชคดีที่มันเป็นครั้งแรก ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ปกติจะระวังตัวมาก ที่เคยก็แค่ล้มนิดๆหน่อยๆ
เรารักษาตัวเอง ประมาณสามอาทิตย์แผลเริ่มตกสะเก็ด ก็กระเผลกๆได้เลยออกไปทำงาน พอเราไม่ทำงานไม่ได้ งานเดินช้าค่ะ จากที่เคยคาดว่าจะใช้เวลาสามสี่อาทิตย์งานจะเสร็จ ผลคือ งานเดินไม่ถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ เราช่วยทำงานใช้เวลาอีกสามอาทิตย์ก็แล้ว ก็ขนของกลับบ้าน
และเราก็ได้ย้ายมารักษาที่โรงพยาบาลรัฐในจังหวัด แต่คือ คนเยอะมาก โควิดก็หนัก เราเลยโทรหาบริษัทกลางที่เรามี พ.ร.บ. อยู่ และเป็นโชคดีของเรา ที่ผู้จัดการสาขา ดีมาก ให้คำแนะนำเรา ว่าเรามีสิทธิ์อะไรที่ได้จาก พ.ร.บ. บ้าง
เรื่องคดี ตำรวจฟันธงว่าฝั่งรถยนต์ผิด จากที่เบิกจาก พ.ร.บ. รถของเราในช่วงแรก ทางบริษัทกลางก็บอกว่า จะต้องย้ายไปเบิกกับบริษัทที่ฝั่งรถยนต์ทำไว้ ซึ่งเอกสารทุกอย่างบริษัทกลางจะเป็นคนรับ และประสานให้ ซึ่งโชคดีที่สำนักงานอยู่ใกล้ๆบ้านเรา ห่างไม่เกินสองกิโล เราก็โชคดีไป
เราจะสรุปใจความที่ได้คุยกับผู้จัดการของบริษัทให้นะคะ จะได้เข้าใจง่าย เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ที่ยังไม่สามารถระบุว่าเป็นความผิดของใคร ค่ารักษาพยาบาลจะเบิกจาก พ.ร.บ. ของผู้บาดเจ็บไปก่อน แต่พอได้ข้อสรุป ก็ต้องย้ายไปใช้สิทธิจาก พ.ร.บ. หรือ ประกันของคู่กรณี ในกรณีที่คู่กรณีเป็นฝ่ายผิด โดย คู่กรณีของเรา มีแค่ พ.ร.บ. ก็จะมีวงเงินใน พ.ร.บ. ที่เราสามารถเบิกค่าอนามัยและสินไหมทดแทนได้ ทั้งหมด 80,000 บาท
หากเราไปรักษาที่โรงพยาบาลของรัฐ เราสามารถมอบสิทธิให้โรงพยาบาลไปเบิกค่ารักษาได้ โดยเราไม่ต้องสำรองจ่าย ได้ในวงเงิน 30,000 บาท ที่เหลืออีก 50,000 เราสามารถไปรักษาในสถานพยาบาลเอกชนใดๆที่มีใบอนุญาตถูกต้อง และนำไปเบิกคืนได้ แต่เราต้องสำรองจ่ายเอง
การรักษาของเรา คือ ไปทั้งโรงพยาบาลรัฐ ไม่ต้องจ่ายเงินเอง โรงพยาบาลเอกชน และคลีนิค ทั้งคลีนิคที่มีหมอประจำ และคลีนิคที่ทำกายภาพบำบัด เพราะเราอยากหายเร็ว ก็จะไปทำกายภาพบำบัดทุกอาทิตย์ ซึ่งเราก็คิดว่า เป็นวิธีการรักษาที่โอเคสำหรับเรานะคะ และส่วนหนึ่ง เราก็เผื่อไว้ใช้สำหรับเบิกค่ารักษารอยแผลเป็น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราก็สำรองจ่ายเองไปก่อนได้
การเบิกค่ารักษา พี่ผู้จัดการให้ทยอยเบิกนะคะ จะได้ชัดเจนว่าเป็นการรักษาต่อเนื่อง และการเบิกก็ไม่ซับซ้อน เร็วมาก ถ้ายอดไม่เกินสองพัน จะได้เงินสดมาเลย ัแต่ถ้าเงินมากไปกว่านั้น จะจ่ายเป็นเช็ค และนัดวันรับ ตอนแรก เขานัดเราห้าวัน แต่เอาจริงๆ อีกไม่กี่ชั่วโมง น้องเจ้าหน้าที่ก็โทรมาบอกว่า วันพรุ่งนี้เข้าไปเช็คได้เลย
สำหรับค่าใช้จ่ายที่ฝั่งคู่กรณีจ่ายให้เรา ตอนแรกเราขอไปสามหมื่น เขาบอกเตรียมเงินไม่พอ และขอลดเหลือ สองหมื่นห้า ไม่รวมค่าซ่อมรถ เราก็เลยยอม จะได้จบๆไป นี่พอดูข่าวที่น้องผู้หญิงถูกดาราขับรถชน และขอต่อเหลือสองหมื่น เรายังหงุดหงิดแทนเลย การได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ เราต้องเจออะไรร้ายๆเยอะมาก เริ่มตั้งแต่ ต้องเจอแอลกอฮอล์เช็ดล้างแผล นี่ก็ร้องลั่นโรงพยาบาล แถมเดินไม่ได้เกือบเดือน คือ มันไม่ใช่แค่เจ็บกาย แต่สภาพจิตใจก็ย่ำแย่พอกัน
สุดท้าย ขอฝากไว้ค่ะ มีรถไม่ว่าประเภทไหน ทำ พ.ร.บ. ทำประกันไว้เถอะค่ะ มันดีต่อตัวเองและคนร่วมใช้ถนนน
และที่สำคัญไปกว่านั้น ก่อนสตาร์ทรถ ควรคิดเสมอว่า การปฏิบัติตามกฎจราจรสำคัญมาก อย่าคิดฝ่า แค่เพราะคิดว่าคงไม่เป็นไร
อุบัติเหตุ ไม่ได้เกิดจากความประมาท เพราะเราให้ประมาท ไว้แค่เหตุสุดวิสัยเท่านั้น สำหรับความคิดของเรานะ แต่การจงใจฝ่าฝืนกฎหมาย ไม่ใช่ความประมาทแน่นอน คือ คุณเจตนาจะฝ่าฝืนอ่ะ
เมตตากับหมากับแมวได้ ขอให้เมตตากับคนที่ร่วมใช้ถนนด้วยนะคะ แค่ปฏิบัติตามกฎหมาย เท่านั้นเอง