เชียงใหม่-นำชมวิหารไม้ ๗๐๐ ปี ไหว้พระเจ้าแสนงาม (หลวงพ่อขาว) วัดทุ่งอ้อหลวง ตำบลหารแก้ว อำเภอหางดง


วัดทุ่งอ้อ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า วัดทุ่งอ้อหลวง ตั้งอยู่เลขที่ ๓๐ บ้านทุ่งอ้อหลวง หมู่ที่ ๓ ตำบลหารแก้ว อำเภอหางดง เชียงใหม่

สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ที่ดินตั้งวัดมีเนื้อที่ ๑ ไร่ ๒ งาน ๕๐ ตารางวา

(บริเวณหน้าวัดมีงานศิลปกรรมปูนปั้นที่สวยงาม)

วัดนี้ตั้งอยู่ในหมู่บ้านที่มีประชาชนอาศัยอยู่ประมาณ ๖๐ หลังคาเรือน นับถือศาสนาคริสต์ส่นหนึ่ง

(ถนนตัดผ่านด้านหน้าวัด ทำให้ไม้สรี (อ่านว่า สะ-หรี ซึ่งปัจจุบันเรามักจะสะกดว่า "ศรี" นั่นแหละครับ) อยู่แยกคนละฝั่งของวัด)
 
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีเจ้าอาวาสรวม ๑๓ รูป วัดทุ่งอ้อเป็นวัดเล็กๆ และเป็นวัดโบราณที่มีอายุเก่าแก่ และยังไม่ทราบการสร้างที่แน่นอน

(ตามตำนานโบราณระบุว่าบ่อน้ำหน้าวัดนี้ เป็นบ่อน้ำที่ครูบาศรีวิชัยมาแวะพักดื่มน้ำ)

เท่าที่มีการบันทึกว่ามีคณะสงฆ์เข้ามาปกครองคือเมื่อปี พ.ศ.๒๓๕๐ แต่สันนิษฐานจากรูปแบบโครงสร้างของวิหาร

(พื้นที่ของวัดไม่มากนัก แต่จัดศิลปกรรมหน้าวัด จนกลายเป็นจุดเด่นอีกจุดทีเดียว รองจากวิหารไม้ ๗๐๐ ปี)

วัดนี้น่าจะมีอายุประมาณ ๖๐๐-๗๐๐ ปี สิ่งที่ปรากฏชัดคือ หน้าวิหารจะมี "หางวรรณ" (หรือเรียกกันอีกอย่างว่า "ตัวเหงา") ซึ่งเป็นรูปแบบศิลปะโบราณยุคเดียวกับเมืองเชียงใหม่

พบได้ในสมัยเวียงกุมกาม เวียงท่ากาน เวียงมโน วัดทุ่งอ้อเป็นศูนย์กลางร่วมสมัยในยุคของเวียงมโน ซึ่งเกิดขึ้นก่อนการสร้างเมืองเชียงใหม่กว่า ๑๓ ปี
วิหารของวัดทุ่งอ้อเป็นรูปแบบของศิลปะที่สืบทอดต่อจากเวียงกุมกาม ความโดดเด่นและความสวยงามของวิหารอยู่ที่การประกอบไม้สักโดยไม่ใช้ตะปู คือ จุคนได้ประมาณ ๕๐-๖๐ คน 

ด้านข้างของวิหารสังเกตหลังคาซ้อนกันด้านหน้ามี ๓ ชั้น เป็นลักษณะงานศิลปกรรมล้านนาในการก่อสร้างวิหารอย่างแท้จริง

ด้านหลังของวิหารปิดทึบ

ลักษณะวิหารมีช่องหน้าต่าง แต่ทำเป็นซุ้มเพื่อลดการสาดของแสงและน้ำ มีบันไดด้านข้างและประตูบานเล็กๆ ตามลักษณะของวิหารล้านนา
ซึ่งลักษณะเหล่านี้จะเห็นในวัดล้านนา หลายๆ วัดเลยครับ

ด้านข้างวิหาร จะมีรูปปั้นของครูบาศรีวิขัย เนื่องด้วยครูบาฯท่านเดินทางผ่านมาที่วัดนี้ และได้แวะพักดื่มน้ำที่บ่อน้ำด้านหน้า
จึงถือกันว่าเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ของวัดอีกด้วย

นอกจากโครงสร้างที่ก่ออิฐถือปูนที่เป็นฐานของวิหารแล้ว เครื่องบนทั้งหมดคงไว้ซึ่งลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ด้วยไม้สัก

งานไม้ในเชิงศิลป์อาจไม่วิจิตรงดงามอย่างวัดอีกหลายวัด แต่ทรงคุณค่ามากๆ 

ก้าวเข้ามาในวิหาร ส่วนแรกที่เห็นตรงหน้า เห็นจะเป็นรอยพระพุทธบาทนั่นเองครับ

แต่สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ รอยพระพุทธบาทที่วัดทุ่งอ้อหลวงนี้ จะมีพญานาคขนาบข้างซ้ายขวา

ซึ่งอายุของรอยพระพุทธบาทนี้ ยังไม่ทราบว่าสร้างมานานเท่าไหร่แล้ว แต่ความรู้สึกเกี่ยวกับเรื่องพญานาค หรือเรื่อง "สายมู"
ก็แอบขนลุกไม่ได้เมื่อได้เห็นในครั้งแรก

ธรรมมาสโบราณ เมื่อสังเกตใกล้ๆ จะเห็นรอยแตกของไม้ เห็นแล้วต้องทึ่งกับผู้สร้างในยุคเก่าๆ ที่มีความสามารถ
ทั้งๆ ที่เครื่องไม้ เครื่องมือ ในยุคก่อนๆ นั้น ยังไม่มีอะไรมากสักเท่าไร

ภายในวิหารยังมีองค์พ่อปู่ท้าวเวสสุวรรณ แม่ย่าอาฬวกยักษ์ สำหรับสาย "มู" อีกเช่นกัน
ผู้หญิงยกองค์ซ้าย ผู้ชายยกองค์ขวา ส่ายกระดิ่ง ๑ ครั้ง แล้วตั้งจิตอธิษฐานให้เป็นสมาธิ
ตั้งนโม ๓ จบ จากนั้นในระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และพ่อปู่ท้าวเวสสุวรรณ แม่ย่าอาฬวกยักษ์
ขออธิษฐานเพื่อเสี่ยงทาย ต้องทำ ๒ ครั้ง ดังนี้
๑. ยกครั้งแรก อธิษฐานขอในสิ่งที่เราต้องการแล้วเราจะได้ในสิ่งที่เราขอ
    หรืออธิษฐานขอให้เรื่องที่เราคิดให้เป็นไปตามที่เราคิดและต้องการ 
    ถ้าสำเร็จก็ขอให้เรายกพ่อปู่ แม่ย่า "เสี่ยงทายขึ้น"
๒. ยกครั้งที่ ๒ อธิษฐานขอในสิ่งที่เราต้องการแล้วเราจะได้ในสิ่งที่เราขอ
    หรืออธิษฐานขอให้เรื่องที่เราคิดให้เป็นไปตามที่เราคิดและต้องการ
    ถ้าสำเร็จก็ขอให้เรายกพ่อปู่ แม่ย่า "เสี่ยงทายไม่ขึ้น"

สัตตภัณฑ์ที่วิหารนี้อาจไม่วิจิตรตระการตามากนัก แต่ก็คงความเป็นวิหารเก่า ศิลปะเก่าได้อย่างน่าอัศจรรย์

กราบไหว้หลวงพ่อขาว หรือพระเจ้าแสนงาม ๗๐๐ ปี แล้วเราก็เดินชมวัดกันต่อ

พุทธลักษณะของพระพุทธรูปที่นี่จะผสมผสานทั้งแบบล้านนา แบบพม่า 

ส่วนองค์พระประธานของวิหารนั้น เป็นศิลปะผสมผสานระหว่างพม่าและล้านนา สันนิษฐานว่าในสมัยโบราณบริเวณแถบนี้
ได้มีการสู้รบกันระหว่างล้านนากับพม่า จึงทำให้บริเวณนี้ถูกพม่ายึดเอาอาณาเขตบริเวณพื้นที่โดยรวม พร้อมกับการสร้างวัดนี้ขึ้นมา
จึงทำให้วัดนี้มีศิลปะของพม่าผสมอยู่ 

จึงพอสรุปได้ว่า รูปแบบของศิลปะต่างๆ นั้น สืบทอดมาจากเวียงกุมกาม ทำให้แน่ใจได้ว่าวัดแห่งนี้มีอายุไล่เลี่ยกับเมืองเชียงใหม่
เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๙ กรมศิลปากรได้ทำการบูรณะวิหารของวัดทุ่งอ้อ เพราะวิหารนั้นได้คงคู่กับกาลเวลามายาวนานหลายร้อยปี
เก่าแก่และทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ดังนั้นอดีตท่านเจ้าอาวาส คือหลวงพ่อพระอธิการทองสุข สฺทสฺสโน ท่านพระครูบาหล้า
จึงได้ทำเรื่องถึงกรมศิลปากร ให้เข้ามาบูรณะปฏิสังขรณ์วิหารในปี พ.ศ.๒๕๓๙ 
โดยกรมศิลปากรที่ ๔ ได้อนุมัติเงินจำนวนหนึ่งล้านห้าแสนบาท ในการบูรณะพระวิหาร
เพื่อให้คงคู่อยู่กับวัฒนธรรมของเชียงใหม่ และเป็นตัวอย่างให้กับวัดอีกหลายแห่งที่ทำการบูรณะซ่อมแซมรื้อถอนวิหารออกไปทั้งหลัง
โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำให้ศิลปะโบราณสูญหาย 

ด้านข้างวิหารจะมีเจดีย์ขาวศิลปะผสมผสานแบบพม่า

องค์เจดีย์ไม่สูงใหญ่มาก แต่คงไว้ซึ่งงานศิลปะที่งดงามทีเดียว

ในสมัยก่อนที่จะมีการบูรณะซ่อมแซมวิหารวัดทุ่งอ้อนั้น
ชาวบ้านโดยทั่วไปไม่ค่อยให้ความสำคัญต่อความเก่าแก่และทรงคุณค่าของวิหารเท่าใดนัก
แต่หลังจากที่กรมศิลปากรได้เข้ามาบูรณะซ่อมแซมวิหารแล้ว ชาวบ้านส่วนใหญ่ตื่นตัวต่อการอนุรักษ์มากขึ้น
ส่วนหนึ่งรู้สึกพอใจ แต่อีกส่วนหนึ่งไม่พอใจที่กรมศิลปากรซ่อมแซม โดยการนำศิลปะแบบใหม่เข้ามาเสริมแทน
เช่น อิฐบริเวณด้านข้างพระวิหาร ได้ทุบอันเก่าออกไปและใช้อิฐแบบใหม่เข้ามาแทน รวมถึงการใช้สีแดงทาทั่วพระวิหาร
ซึ่งดูแล้วเหมือนของใหม่ ทำให้หมดความขลัง แม้โครงสร้างเดิมทั้งหมดยังคงอยู่ แต่บางส่วนของวิหารได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นของใหม่
โดยเฉพาะช่อฟ้าและปั้นลม เนื่องจากของเก่าหักลงเหลือครึ่งเดียว แต่ก็ยังเป็นสมบัติที่ถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี 
ปัจจุบันนี้ทางเจ้าอาวาสคือ พระอาจารย์ธนธรณ์ กนฺตวิโร ได้เล็งเห็นความสำคัญของวิหาร โดยเฉพาะอนุรักษ์และรักษาโบราณสถานนี้ให้คงอยู่คู่กับวัฒนธรรมเชียงใหม่ไปตราบนานเท่านาน หรือนานยิ่งกว่านั้น เพื่อให้ลูกหลานชนรุ่นหลังได้กราบไหว้สักการบูชา
พร้อมกับได้เห็นถึงความสำคัญของพระพุทธศาสนาในด้านต่างๆ ไม่ว่าในด้านโบราณวัตถุ โบราณสถาน ด้านจิตใจ และหลักคำสอนหลักธรรมต่างๆ จะได้มีจิตสำนึกช่วยกันอนุรักษ์หวงแหน ปกป้องรักษาให้คงอยู่สืบไป
และวัดทุ่งอ้อแห่งนี้ ในอดีตเคยเป็นสถานที่ที่ครูบาเจ้าศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทย เคยเดินทางมาจาริกแสวงบุญประกาศพระพุทธศาสนา ณ วัดนี้
แล้วแวะพักดื่มน้ำจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์หน้าวัด ซึ่งปัจจุบันยังมีอยู่
ข้อมูลนี้ได้มาจากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ คนดั้งเดิมของทางวัด และปัจจุบันนี้ได้สร้างอนุสาวรีย์ครูบาเจ้าศรีวิชัยไว้เคียงคู่วิหารโบราณ ๗๐๐ ปี ของวัดทุ่งอ้อ

ออกจากวิหารก็แวะกราบพระมหาจักรพรรดิปางเปิดโลก ตรงประตูทางเข้า-ออกวัด

ดังนั้นวิหารกับวัด วัดกับศรัทธา และพุทธบริษัททั้งสี่ จึงเป็นสิ่งที่อยู่คู่กันมาแต่ครั้งโบราณ เนื่องจากวิหารเป็นสถานที่ใช้สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ของทั้งพระสงฆ์และฆราวาส นอกจากนั้นตามหมู่บ้านต่างๆ จะนิยมใช้วิหารของวัดเป็นสถานที่ประชุมและจัดกิจกรรมต่างๆ ของหมู่บ้านด้วยเช่นกัน
วิหารของวัดอื่นๆ ส่วนใหญ่จะมีความกว้างขวางใหญ่โต เพื่อสามารถรองรับผู้คนที่มาทำบุญได้จำนวนมาก แต่ยังมีวิหารอีกแห่งหนึ่งที่มีขนาดเล็กแต่ทรงคุณค่าด้านศิลปะและมีอายุเก่าแก่หลายร้อยปี นั่นคือ พระวิหารวัดทุ่งอ้อ

<<< บันทึกท้ายกระทู้ >>>
...วัดนี้ผมมาหลายครั้ง และเป็นภาพถ่ายผสมผสานหลายปี สิ่งที่สังเกตได้จากที่มาหลายๆ ครั้ง นอกจากการก่อสร้างเพิ่มเติม
ก็มีศาสนิกชนที่ถึงแม้ในละแวกนี้จะมีศาสนาคริสต์ด้วย แต่ก็มีศาสนิกชนมาวัดไม่ขาด
เพราะทราบว่าวัดนี้มีองค์ท้าวเวสสุวรรณโบราณในวิหาร ทำให้ "สายมู" มักจะมาอธิษฐานขอให้ประสบความสำเร็จ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่