กุญแจแห่งความสำเร็จในวิกฤตโควิด19

ช่วงวิกฤตโควิด19 มีหลายสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งแบบค่อยเป็นค่อยไปและแบบหน้ามือเป็นหลังมือ ผมอยากจะแชร์เรื่องๆ หนึ่งซึ่งเป็นเรื่องของลูกสาวผมเองซึ่งเธอต้องเปลี่ยนวิธีการเรียนจากการไปโรงเรียนเป็นเรียนออนไลน์ที่บ้าน 100% และมันก็กลายเป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จของเธอในวันนี้
 
เริ่มจากปลายปีพ.ศ.2563 ตอนนั้นลูกสาวผมอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่2 ได้ไปเรียนโรงเรียนแค่เทอมแรกแล้วก็ต้องเปลี่ยนเป็นเรียนแบบออนไลน์ในช่วงปลายปี63 เนื่องจากสถานการณ์โควิด19ในไทยเริ่มระบาดอีกครั้งและเริ่มรุนแรงกว่าเดิม ช่วงนั้นเธอรู้สึกดีใจนิดๆที่ไม่ต้องตื่นแต่เช้า(ตี5)เพื่อไปโรงเรียน ส่วนผมเองก็ไม่ต่างกันที่จะได้ตื่นสายหน่อยและไม่ต้องผจญรถติดแถวโรงเรียนลูกก่อนจะวนรถกลับมาที่ทำงาน การเรียนออนไลน์ในเทอมสองของเธอก็เป็นไปด้วยดี แต่ก็อาจไม่เหมือนเรียนที่โรงเรียนซึ่งจะมีกิจกรรมกับเพื่อนร่วมห้องและเรียนรู้การเข้าสังคมไปด้วย เธอเคยพูดบ่อยๆว่ายังไม่ค่อยรู้จักเพื่อนๆเท่าไหร่เลยเพราะเธอเพิ่งมีการสลับห้องตอนเลื่อนชั้นจากมัธยม1มามัธยม2 และนี่คือจุดเริ่มต้นของกระบวนการสู่ความสำเร็จของเธอ ผมก็ยังไม่เชื่อว่าเจ้าโควิด19 มันก็ถือเป็นองค์ประกอบหนึ่งในนั้นด้วย 
 
ลูกสาวผมเริ่มใช้ไอแพดได้คล่องขึ้นและบางทีเธอก็เริ่มเรียนไปด้วยเล่นไปด้วยโดยเธอแบ่งหน้าจอไอแพดเป็นสองจอ จอซ้ายเปิดฟังครูสอนจอขวาดูติ๊กต๊อกหรือไม่ก็ดาราเกาหลี ผมต้องคอยเตือนเธออยู่บ่อยๆว่าทำแบบนี้แล้วจะเข้าใจครูสอนไหมแต่เธอก็ไม่ค่อยสนใจเพราะบางวิชาเธอบอกว่าเธอไม่ได้ใช้ตอนโต อันนี้ผมต้องคอยอธิบายอยู่บ่อยๆว่าบางทีมันก็อาจเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเราก็ได้ใครจะไปรู้ 
ชีวิตวัยรุ่น 14-15ปีก็จะเริ่มมีความคิดที่เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น พ่อแม่พูดอย่างแต่เธอกับสวนมาอีกอย่างอันนี้เป็นเรื่องธรรมดาที่บ้านไหนมีวัยรุ่นในยุคดิจิตอลอาจจะต้องเจอ แต่เธออาจพิเศษตรงที่เธอเรียนรู้ค่อนข้างเร็วในการใช้สื่อออนไลน์ทั้งโซเชียลเน็ทเวิกร์และซื้อขายออนไลน์ เธอเริ่มสั่งซื้อของผ่านช็อปปี้ได้เอง โดยเริ่มจากการสั่งของน่ารักๆต่างๆ อันนี้ผมก็ย้ำเสมอเรื่องการใช้เงินเท่าที่จำเป็นและเธอก็เข้าใจและจะขออนุญาตซื้อของทุกครั้ง 
 
เธอจบมัธยม2ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 แบบไม่ต้องไปสอบปลายภาคเลยและเธอก็ผ่านทุกวิชา อันนี้ผมไม่ได้ไปสอบถามรายละเอียดมากมายอะไรว่าครูวัดผลและให้เกรดกันแบบไหนแต่ก็สบายใจที่เธอสอบผ่านหมดทุกวิชา ซึ่งคล้ายๆกับพี่ชายของเธอที่จบมัธยม5 แบบไม่ต้องไปสอบที่โรงเรียนเหมือนกัน ช่วงปิดเทอมใหญ่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าเจ้าโควิด19จะจางหายไปจากประเทศไทย เธอเริ่มวางแผนในการเรียนต่อชั้นมัธยม3และมาบอกผมว่าไม่อยากเรียนมัธยม4ที่โรงเรียนเดิมแล้ว แต่เธอจะไปลองสอบเข้าโรงเรียนรัฐบาลตามที่เธอค้นหาข้อมูลเองทางกูเกิ้ล ซึ่งโรงเรียนที่เธอตั้งเป้าไว้ก็มี เตรียมอุดมศึกษา, สามเสน, สาธิตประสานมิตร และเธอก็ฟันธงแล้วว่าจะไม่เรียนสายวิทย์เพราะเธอไม่ถนัดวิชาคณิตศาสตร์ ผมเองก็ไม่ขัดเธอและก่อนหน้านั้นก็ให้เธอได้ลองเรียนภาษาจีนและเธอก็เรียนได้ดีด้วยจึงเป็นแผนที่เธอเลือกเองว่าจะสอบเข้าแผนศิลป์-ภาษาจีน 
 
เธอเริ่มค้นหาซื้อหนังสือผ่านทางโซเชียลเน็ทเวิกร์ด้วยตัวเอง โดยเธอจะมาขอให้ผมหรือแฟนเป็นคนโอนเงินจ่ายค่าหนังสือให้ ผมทึ่งวิธีการหาหนังสือที่เธอต้องการจากโซเชียลเน็ทเวิกร์ของเธอมาก เพราะเธอจะใช้หลากหลายแอปในการตรวจสอบว่าควรซื้อไหม หนังสือดีจริงไหมมีคนริวิวกี่คน จนเธอเองก็สามารถผันตัวเองเป็นแม่ค้าออนไลน์ได้เลยจากการที่เธอซื้อมาอ่านก่อนแล้วก็โพสต์ขายต่ออีกทีหนึ่ง และบางทีเธอก็ซื้อสะสมเล่มที่มีคนต้องการเก็บไว้เยอะๆและค่อยๆปล่อยเองก็มี (หัวการค้าจริงๆ)
หนังสือที่เธออ่านจริงจังเลยส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อหาที่ติวเข้าโรงเรียนเตรียมฯ ผมเห็นเธอซื้อมาเยอะพอควรเลยลองถามว่าจะอ่านทันไหมเนี่ยเพราะเห็นเธอเล่นโซเชียลบ่อยมากโดยเฉพาะชอบดูคลิปดาราเกาหลี เธอก็ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่เราเอาแต่จู้จี้ให้อ่านหนังสือทั้งที่เธอบอกแล้วว่าดูแลตัวเองและจัดระเบียบเองได้ ซึ่งคนที่เป็นพ่อแม่สมัยนี้ก็ต้องคอยเฝ้ามองอยู่ห่างๆและโชคดีที่เราได้อยู่ด้วยกันมากขึ้นจากการ work from home แต่ลูกๆเราอาจไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่เพราะเธอจะคอยเชียร์ให้ไปทำงานเพื่อจะได้ไม่ถูกถามว่าอ่านหนังสือหรือยัง (วัยรุ่นเซ็ง)
 
เดือนพฤษภาคม64 เริ่มเปิดเทอมมัธยม3 มีแววว่าจะต้องเรียนออนไลน์กันยาวๆ อันนี้บอกตรงๆว่าถือเป็นโชคดีของเธอที่จะมีเวลามากขึ้นในการอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามัธยม4โรงเรียนอื่น โดยเธอสามารถประหยัดเวลาเดินทางตอนเช้าและตอนเย็นซึ่งถ้าต้องไปโรงเรียนเธอต้องกลับบ้านเองโดยรถไฟฟ้าใต้ดิน รวมๆแล้วทั้งไปและกลับน่าจะใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมงได้ ผมกลับมาบ้านถ้าทันก่อนเธอเข้านอนตอนประมาณสามทุ่มครึ่งก็จะได้คุยถามไถ่กันบ้าง ตอนเช้าเธอก็จะเริ่มเรียนออนไลน์ตอนแปดโมงเช้าและตะลุยอ่านหนังสือต่อทันทีหลังเลิกเรียนบ่ายสามโมงครึ่งจะมีพักเล่นโซเชียลก็ตอนทานข้าว เธอทำแบบนี้มาตลอดระยะเวลา8-9เดือน โดยแฟนผมจะคอยหาข้อมูลโรงเรียนติวออนไลน์เสริมไปด้วย (ข้อมูลจากสมาคมพ่อแม่) ซึ่งเธอก็ยินดีที่จะเรียนเพิ่มเติมเพราะเธอมุ่งมั่นที่จะสอบเข้าโรงเรียนรัฐบาลให้ได้ ก่อนถึงวันสอบเข้าโรงเรียนต่างๆไม่กี่สัปดาห์เธอต้องไปติวตัวต่อตัวกับครูสอนพิเศษวันละ6ชั่วโมง ซึ่งค่อนข้างเครียดมากและครูสอนพิเศษก็ยังพูดให้กำลังใจเธอว่า "ทำให้เต็มที่เลยนะ ถ้าไม่ติดก็ไม่เป็นไร" (ไม่แน่ใจว่าให้กำลังใจไหมเนี่ย)
 
เดือนมีนาคม65 ตารางวันสอบของทั้ง3โรงเรียนจะไม่พร้อมกัน เริ่มจากโรงเรียนเตรียมฯก่อนตามด้วยสาธิตประสานมิตรและสามเสน ซึ่งโรงเรียนเดิมของลูกสาวผมบังคับให้ทุกคนมาสอบขึ้นมัธยม4วันเดียวกับที่โรงเรียนเตรียมฯจัดสอบ นั่นหมายถึงว่าใครคิดจะเรียนต่อมัธยม4โรงเรียนเดิมต้องมาจ่ายค่าเทอมและรายงานตัวด้วยโดยเด็กจะไม่มีโอกาสได้ลองไปสอบเข้าโรงเรียนเตรียมฯ อันนี้ก็เป็นกุศโลบายของทางโรงเรียนที่จะกันเด็กเก่งๆไม่ให้ไปโรงเรียนอื่นโดยเฉพาะที่เตรียมฯ ปี65นี้อัตราการแข่งขันของสายศิลป์-ภาษาจีนที่โรงเรียนเตรียมฯอยู่ที่1ต่อ10ซึ่งถือว่าไม่ง่าย ลองไปเทียบกับสายวิทย์อาจจะแอบยากกว่าด้วยซ้ำ โดยนักเรียนทุกสายจะสอบวันเดียวกันหมดที่อิมแพคเมืองทองธานีในวันเสาร์ที่ 5 มีนาคมและประกาศผลคืนวันศุกร์ที่ 11 มีนาคมแบบนี้ทำให้เด็กที่พลาดจากโรงเรียนเตรียมฯได้ไปสอบต่อที่โรงเรียนอื่นต่อไป คิดอีกทีก็สงสารเด็กที่พลาดเหมือนกันเพราะเด็กต้องเหนื่อยต่ออีกรอบหรือหลายๆรอบ
 
หลังจากสอบเสร็จที่อิมแพค ลูกสาวผมบ่นว่ายากแถมมีคนที่ไปสอบมาช่วยกันเฉลยในโซเชียลปรากฎว่าเธอตอบผิดซะส่วนใหญ่มันยิ่งทำให้เธอหมดกำลังใจไปอีก แล้วก็มาถึงคืนประกาศผล ผมนั่งทำงานไปด้วยนั่งลุ้นทางเวปของโรงเรียนไปด้วย ส่วนลูกสาวก็นั่งลุ้นในห้องเธอ ผมนั่งไล่ดูรายชื่อจนเจอชื่อเธอในนั้นก็รีบวิ่งไปที่ห้องเธอ แต่เธอรู้ก่อนผมประมาณ 5นาทีแล้ว (โลกโซเชียลไวจริงๆ) เธอถามผมว่านี่เธอสอบติดจริงๆหรือเนี่ย ผมกอดเธอและดีใจกับเธอมากๆ คงไม่ต้องบรรยายอะไรมากว่าคืนนั้นพวกเราจะนั่งเมาท์กันหนักมากแทบนอนไม่หลับ
 
จากนี้ไปการเดินทางในเส้นทางสายใหม่ที่ลูกสาวผมเลือกเดินกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ผมเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวเธออย่างมากจากวันที่เธอมาบอกว่าจะขอลองสอบเข้าโรงเรียนอื่น เธอรู้ว่าควรจะทำอะไรจัดการเวลาอย่างไร โดยผมนั่งคุยกับเธอว่ากุญแจแห่งความสำเร็จของตัวเธอมาจากอะไรและได้สรุปออกมาเป็นข้อๆดังนี้
 
1.ต้องทำ to do list ในแต่ละวัน เริ่ม6โมงเช้าถึง3ทุ่ม อันนี้ผมไม่ได้สอนแต่เธอน่าจะคิดเองและเธอก็ค่อนข้างมีวินัยในเรื่องนี้จริงๆ โดยดูจากรูปตอนท้ายบทความนี้ได้ว่า to do list ของเธอต้องทำอย่างต่อเนื่องจริงๆ
2.น้องเตนล์เป็นแรงบันดาลใจตอนเครียด เธอจะพักสมองโดยการไถมือถือดูดาราเกาหลี(คนไทย)ชื่อเตนล์ ที่เธอชื่นชอบและก็เป็นแรงบันดาลใจให้เธออ่านหนังสือได้ทุกวัน
3.เคล็ดลับวิชาภาษาอังกฤษจากติวเตอร์ก่อนสอบ 1เดือน อันนี้ต้องขอบคุณคุณแม่ที่ช่วยหาข้อมูลติดต่อครูเรียนพิเศษเพื่อติวเข้มก่อนสอบและได้เทคนิคต่างๆไปทำข้อสอบ
4.ทำให้ได้มากกว่า studygram ของคนอื่น อันนี้งงครับเพราะไม่เคยได้ยินชื่อแอปนี้มาก่อน แต่เธอจะใช้มันเป็นแรงผลักดันโดยการเอาชนะคนอื่นที่โพสต์การอ่านหนังสือต่างๆ โดยเธอต้องทำให้ได้มากกว่าคนที่โพสต์เสมอ
5.ผ่อนการเรียนในช่วงท้ายมัธยม3เทอม2 แล้วใช้เวลาช่วงโควิดที่ได้อยู่บ้าน เพื่อตะลุยอ่านหนังสือ ผมเพิ่งทราบว่ามัธยม3 เทอม2เธอจะไม่ค่อยโฟกัสมากแต่จะเอาเวลาไปอ่านหนังสือเตรียมสอบมากกว่า อันนี้ถือว่าเธอโชคดีที่ผ่านมาได้ไม่งั้นอาจต้องไปสอบซ่อมทีหลัง
6.เรียนพิเศษออนไลน์ ช่วยได้50% ก็ถือว่าเป็นระบบการติวแบบใหม่ไปแล้ว ถ้าไม่มีโควิดคงต้องไปส่งเธอที่โรงเรียนสอนพิเศษทุกเสาร์อาทิตย์แน่ๆ แต่เธอก็บอกเลยว่ามันแค่ครึ่งเดียวอีกครึ่งหนึ่งคือต้องฝึกเอง
7.หาหนังสือรุ่นพี่เตรียมรวมข้อสอบมาทำเยอะๆ 1 เล่มทำมากกว่า2-3รอบ ผมก็เพิ่มทราบว่าหนังสือที่เธอสั่งซื้อทางออนไลน์นั้นเธอไม่ได้ทำรอบเดียวแล้วเอาไปขายต่อ แต่เธอทำมันมากกว่าสองรอบโดยเธอไปสั่งซื้อกระดาษคำตอบมานั่งกากบาทเพื่อไม่ให้มีการขีดเขียนบนตัวหนังสือจริงด้วย
8.แม่มีส่วนช่วยหาข้อมูลเรียนเสริมออนไลน์และเพื่อนแม่แนะนำครูสอนพิเศษ ผมเองก็ต้องขอบคุณแฟนผมในข้อนี้เหมือนกันเพราะตัวเราไม่ค่อยสมาคมกับพ่อแม่ผู้ปกครองเท่าไหร่ แต่แฟนผมจะคอยสอบถามเพื่อนแม่บ้างไลน์กลุ่มบ้าง ข้อมูลต่างๆจะแน่นมากๆ
9.ซื้อสรุปออนไลน์มาอ่าน ถ้าจะทำเองควรทำแต่เนื้อหาอย่าตกแต่งเยอะมันเสียเวลา ทริกนี้เธอโชว์ให้ผมดูว่าการทำสรุปใส่แอปกู๊ดโน๊ตบนไอแพดมันทำยังไง ผมอึ้งเหมือนกันว่าเด็กยุคดิจิตอลเค้าใช้ปากกาเขียนบนจอไอแพดคล่องยิ่งกว่าเขียนบนกระดาษจริงเสียอีก
10.ต้องรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ถึงแม้ว่าคนอื่นจะมองว่าเราไม่ได้ตั้งใจ แต่เรารู้ตัวเราเองดี อันนี้ลูกผมตอกย้ำอีกครั้งว่าบางทีพ่อแม่ได้แต่พูดต่อว่า แต่ไม่ได้มาติดตามดูทุกนาทีว่าสิ่งที่ลูกทำอยู่นั้นมันอยู่ในขั้นรับได้หรือยังในมุมมองของพ่อแม่ ผมต้องยอมรับจริงๆว่าลูกสาวผมคนนี้เค้ามีความมุ่งมั่นสูงจริงๆ และสิ่งที่พ่อแม่เห็นขณะที่เขาพักสมองมันไม่ใช่เวลาทั้งหมดที่เขาเป็น ผมฝากพ่อแม่คนอื่นไว้ให้ระวังในจุดนี้ด้วยครับ
11.ห้ามเครียด หาสิ่งคลายเคลียดให้ได้ คล้ายกับข้อสองแต่เธอย้ำว่าต้องทำตัวเองให้ไม่เคลียด ซึ่งในบ้านอาจจะมีพี่ชายเธอที่คอยหยอกน้องไม่ให้น้องเคลียด และบางทีก็คอยให้กำลังใจกันเพราะพี่ชายก็เตรียมสอบ TCAS เหมือนกัน
12.เคล็ดลับท่องศัพท์……ต้องมี คือทุกคนจะมีเคล็ดลับของตัวเอง อย่างลูกสาวผมจะจดศัพท์บนการ์ดเป็นพันๆคำและเอามาท่องทุกวัน
13.ถามหมอดูเพื่อความสบายใจ ไม่ว่าจะทายว่าติดหรือไม่ติดก็ค่าเท่ากัน ก็คงตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือต่อไป ข้อสุดท้ายนี้ผมก็เพิ่งรู้จากลูกสาวเหมือนกันตอนนั่งคุยกัน เธอแอบไปถามหมอดูทางอินเตอร์เน็ตไม่ใช่แค่คนเดียวแต่ถามไปสามคนทุกคนบอกว่าไม่ติด มันเลยเป็นแรงผลักให้เธอไม่ย่อท้อในการมุมานะอ่านหนังสือต่อไป 
 
และนี่คือช่วงเวลาหนึ่งที่ครอบครัวหนึ่งประสบพบเจอในช่วงโควิด19 แม้มันจะนำพาความสูญเสียมาสู่ชาวโลกและสร้างความเปลี่ยนแปลงไปต่างๆนานา ในอีกแง่มุมหนึ่งมันก็เอื้อต่อความมุ่งมั่นของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งจนประสบความสำเร็จได้ในวันนี้

แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่