พท.หวั่นยอดติดเชื้อพุ่ง จี้ บิ๊กตู่ อย่าโฟกัสผิดจุด รอพร้อมก่อนปรับเป็นโรคประจำถิ่น
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7004557
เพื่อไทยหวั่นโควิดหลังสงกรานต์ ยอดติดเชื้อพุ่ง หลังตายเกินร้อย 10 วันติด ห่วงไทยเกิดสังคมอนาถา จี้รอท้องถิ่นพร้อมก่อนปรับเป็นโรคประจำถิ่น
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 19 เม.ย.2565 ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) น.ส.
ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กทม.และโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เป็นห่วงการระบาดของโควิด-19 หลังเทศกาลสงกรานต์อย่างมาก เนื่องจากมีผู้ติดเชื้อมากกว่าที่ภาครัฐรายงาน 3 เท่า ขณะนี้มีผู้เสียชีวิตจากโควิดเกิน 100 คนต่อวันติดต่อกัน 10 วันแล้วนับตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย. อีกทั้งยอดผู้ป่วยอยู่ในโรงพยาบาล ผู้ป่วยปอดบวมและผู้ป่วยหนักเพิ่มขึ้น ขณะที่ในหลายจังหวัดยังมีอัตราการฉีดวัคซีนเข็ม 3 น้อยมากเพียง 20 กว่าล้านคน ซึ่งยังไม่ถึง 60-70% ที่จะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องเร่งฉีดวัคซีนเข็ม 3 และ 4 ให้มากที่สุด เพราะจะช่วยลดความรุนแรงของโรคได้
ทั้งนี้ จากการลงพื้นที่พบปะประชาชน พบว่าแม้เวลาจะผ่านมากว่า 2 ปีที่มีการระบาดเกิดขึ้น แต่รัฐบาลยังปล่อยให้ประชาชนช่วยเหลือตนเอง จนเป็นต้นเหตุที่อาจก่อให้เกิดสังคมอนาถา คนหาเช้ากินค่ำ อาชีพอิสระ ตกงานขาดรายได้ และเข้าไม่ถึงระบบการรักษาได้ทันเวลา ตอนนี้โรงพยาบาลของรัฐหลายแห่งจำกัดจำนวนการตรวจหาเชื้อต่อวัน ทำให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาล่าช้า เสียชีวิตก่อนเวลาอันควร
น.ส.
ธีรรัตน์ กล่าวต่อว่า ส่วนที่รัฐบาลมีแนวคิดจะปรับให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่นนั้น อยากให้ ศบค.ประเมินสถานการณ์การระบาดของโรคและถามความพร้อมของท้องถิ่นก่อน รวมทั้งสัดส่วนการรับวัคซีนเข็ม 3 ซึ่งควรเกิน 60% ของประชากรที่รับวัคซีนได้ เพราะขณะนี้ในบางจังหวัดที่เคยมีข่าวว่าจะถูกปรับให้เป็นโรคประจำถิ่น เมื่อมีข่าวแพร่กระจายออกไปทั้งที่ไม่มีการเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตัวของคนในท้องถิ่น บางรายติดเชื้อแล้วออกไปใช้ชีวิตปกติ ด้วยความเข้าใจผิดว่าโควิดเป็นโรคประจำถิ่นแล้ว เหมือนโรคหวัดธรรมดา เกิดมาจากการสื่อสารที่ของรัฐที่ไม่เป็นเอกภาพ ไม่มีความแน่นอนของข้อมูล
หากรัฐบาลไม่มีข้อมูลเพียงพอ ขอให้ศึกษากรณีตัวอย่างจากต่างประเทศที่ไม่ใส่หน้ากากอนามัย และไม่มีมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม โควิดถูกทำให้กลายเป็นโรคประจำถิ่น แต่ต้องแลกมาด้วยอัตราการเสียชีวิตพุ่งสูงขึ้น ขอให้รัฐบาลคิดให้ตกผลึกก่อนจะประกาศใช้มาตรการใดๆ เพราะผู้ที่ได้รับผลกระทบคือการเจ็บป่วยล้มตายของประชาชน นอกจากนี้พรรคสนับสนุนให้ปรับมาตรการการเปิดประเทศที่เหมาะสม สะดวก ไม่เป็นภาระต่อประชาชนและชาวต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและการลงทุนใหม่ๆ เศรษฐกิจไทยจึงจะเดินหน้าต่อไปได้
“โควิดระลอกนี้คนติดเชื้อมากขึ้น เสียชีวิตมากขึ้น รัฐบาลอย่าบริหารจัดการเหมือนคนเคยชินกับโรค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ อย่าทำตัวเลื่อนลอยอยู่เหนือปัญหา โฟกัสผิดจุด การระบาดของโควิดยังอยู่ คนยากคนจนยังลำบากอีกมาก และรอคอยการช่วยเหลือจากรัฐบาลอยู่” น.ส.
ธีรรัตน์ กล่าว
นพ.ธีระ ชี้ ควบคุมโควิดประสิทธิภาพไม่เพียงพอ ส่งผลสถานการณ์ไทยสวนกระแสโลก
https://www.nationtv.tv/news/378870450
นพ.ธีระ แนะ การครอบคลุมของวัคซีน นโยบายและมาตรการควบคุมการระบาดโควิด สำคัญมาก ชี้ ไทยประสิทธิภาพยังไม่เพียงพอ ทำให้สถานการณ์ยังคงสวนกระแสโลก ทั้งผู้ติดเชื้อ-เสียชีวิต เชื่อ เปิดประเทศ ผ่อนคลายมาตรการ ทั้งที่รู้ว่ายังไม่พร้อม เสี่ยงเจ็บซ้ำซาก เรื้อรังและสูญเสีย
19 เมษายน 2565 รศ.นพ.
ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่าน เฟซบุ๊ก "
Thira Woratanarat" ระบุว่า
ณ วันนี้ เด็กอายุ 5-11 ปี ได้รับวัคซีนเข็มแรกไปเพียง 49.5% และได้รับเข็มที่สองไปเพียง 4%
ในขณะที่ภาพรวมทั้งประเทศ มีคนได้รับเข็มกระตุ้นไป 36%
ถ้าดูเฉพาะคนสูงอายุ ได้เข็มกระตุ้นไป 39.4%
ด้วยสถานการณ์ความครอบคลุมของวัคซีนที่จำกัด นโยบายและมาตรการในการควบคุมป้องกันโรค เพื่อกดการระบาดให้ลดลง จึงมีความสำคัญมาก
ที่ผ่านมานั้นยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอในการจัดการสถานการณ์ระบาด จึงทำให้สถานการณ์ของไทยยังคงสวนกระแสโลก ทั้งในเรื่องจำนวนติดเชื้อใหม่ในแต่ละวัน และการเสียชีวิต
นพ.ธีระ โพสต์ด้วยว่า จุดพลิกผันของการระบาดทั่วโลกตอนนี้ น่าจะอยู่ที่จีนและประเทศในเอเชียที่ยังระบาดรุนแรง รวมถึงไทย ผลลัพธ์ของเอเชียในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน คือ ไตรมาสที่จะกำหนดภาพในครึ่งหลังของปีนี้ของโลก
เหนืออื่นใด สำหรับประเทศไทยนั้น จำเป็นต้องทราบว่า ศิลปะในการอยู่รอดท่ามกลางสถานการณ์แปรปรวนไม่แน่นอนในโลกแห่งการเชื่อมต่อกันเช่นนี้คือ "การไม่ด้อยค่าไวรัส"
เมื่อใดที่ปรามาสว่ากระจอก เอาอยู่ กรูแน่ เมื่อนั้นก็เชื่อขนมกินได้เลยว่า ย่อมเสี่ยงต่อการเจ็บซ้ำซาก เรื้อรัง และสูญเสียตามมาในไม่ช้า และคงจะลำบาก หากผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายจะยอมให้ทำตามแผนการเปิดประเทศ ผ่อนคลายกิจกรรม และอื่นๆ โดยที่รู้ทั้งรู้ว่ายังไม่พร้อม
ก้าวทีละก้าว อย่างมั่นคง...จะไม่เสี่ยงต่อการหกล้ม บาดเจ็บ และสูญเสียครับ
อีกทั้งยังโพสต์ด้วยว่า
ในยุควิกฤติสงครามโรค ไม่ว่าจะประเทศใดทั่วโลกนั้น
สาธารณะ...เสี่ยง
สาธารณะ...เสื่อม
สาธารณะ...ทุกข์
หากมุ่งแต่กิเลส คำลวง ความเชื่องมงายหลงผิด ยึดติดกับภาพลวงตา ตัวกูพวกกูประโยชน์กู
ผลลัพธ์ = ยุทธศาสตร์ * ความสามารถ * ทัศนคติ
ผลลัพธ์จะออกมาดีได้ ต้องมีทั้งสามองค์ประกอบที่ถูกต้องเหมาะสม ทั้งเชิงปัญญา กำลัง ทักษะ และจิตใจ
นี่คือสัจธรรมที่เราเห็นได้จากปรากฏการณ์หลากหลายตลอดหลายปีที่ผ่านมา...
https://www.facebook.com/thiraw/posts/10224189108147894
https://www.facebook.com/thiraw/posts/10224190365819335
กระแสข้าวเหนียวมะม่วง “มิลลิ”ฟีเวอร์ ช่วยชีวิตแม่ค้า-ชาวสวนขายดิบขายดี.
https://www.dailynews.co.th/news/970072/
กระแสข้าวเหนียวมะม่วง “มิลลิ” ฟีเวอร์ ช่วยพลิกวิกฤติมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง เมืองแปดริ้ว ให้ขายดิบขายดี คาดส่งออกต่างประเทศก็จะขานรับตาม
เมื่อวันที่ 19 เม.ย. ผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังสวนแก้ววงษ์นุกูล ต.สาวชะโงก อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อสอบถามกับ นาย
มานพ แก้ววงษ์นุกูล ประธานวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตมะม่วงส่งออกจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยนายมานพ เปิดเผยว่า หลังมีกระแสกินข้าวเหนียวมะม่วง ของมิลลินั้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีทำให้วงการผู้ค้ามะม่วงตื่นตัวกันมาก ตนเองยอมรับว่า มีการหามะม่วงสุกน้ำดอกไม้สีทอง มะม่วงขึ้นชื่อของจังหวัดฉะเชิงเทราเป็นอย่างมาก ซึ่งมียอดจองต้องเตรียมมะม่วงถึงประมาณ 4 ตัน เพื่อรอให้พ่อค้าแม่ค้าที่กำลังจะเข้ามารับ เปลี่ยนจากก่อนหน้านี้ ที่ตลาดมะม่วงนั้นซบเซา มะม่วงมีราคาถูก จนทำให้พ่อค้าแม่ค้ามะม่วงหลายคนต้องขาดทุนไปตามๆ กัน
นายมานพ กล่าวต่อว่า จุดเด่นของมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง เมืองแปดริ้ว เนื้อจะไม่เหลว ไม่แฉะ และก็มีรสหวานหอมทุกลูก จึงเป็นจุดเด่น อีกทั้งหลังจากมีการเปิดขายทางออนไลน์ ทำให้มีสั่งจองของพ่อค้าแม่ค้าเป็นจำนวนมาก ต้องสั่งจองมะม่วงสุกข้ามวัน เพราะมะม่วงเริ่มสุกไม่ทัน ด้านการส่งออกต่างประเทศนั้น วิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตมะม่วงส่งออกจังหวัดฉะเชิงเทรา มีตลาดส่งออกรายใหญ่ๆ อยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นและเกาหลี คาดว่ายอดสั่งจองจากต่างประเทศคงเพิ่มมากขึ้น ตามกระแสที่กำลังโด่งดังไปทั่วโลกถึงอาหารไทย
ด้านร้านขายข้าวเหนียวมะม่วง ก็ยังคึกคักเช่นเดียวกัน ที่ร้านแพรทอง ซึ่งเป็นร้านขายข้าวเหนียวมะม่วงและของฝาก ข้างวัดโสธรวรารามวรวิหาร อ.เมือง ฉะเชิงเทรา นางขุนทอง เอื้ออารี เจ้าของร้าน กล่าวว่า ยอมรับเลยว่า ร้านตนเองขายดีมากๆ หมดเร็วกว่าปกติหลายชั่วโมง มีแต่คนเข้ามาซื้อข้าวเหนียวมะม่วงอย่างต่อเนื่อง ทั้งหน้าร้านและซื้อผ่านแอพพลิเคชั่นสั่งอาหาร ปกติแล้วร้านหุงข้าวเหนียววันละ 30 กิโลกรัม ตนเองเปิดร้านตั้งแต่ 9 โมง-1 ทุ่ม แต่เมื่อวานนี้ (18 เม.ย.) ข้าวเหนียวหมดก่อนตั้งแต่ช่วงเย็น เลยต้องปิดร้าน ส่วนวันนี้ก็ยังมีคนแวะมาซื้ออย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน คาดว่าในช่วงเย็นๆ หลังเลิกงาน ก็จะคึกคักอีกครั้ง
JJNY : พท.หวั่นยอดติดเชื้อพุ่ง│นพ.ธีระชี้คุมโควิดไม่เพียงพอ│“มิลลิ”ฟีเวอร์ช่วยชีวิตแม่ค้า-ชาวสวน│กมธ.เดินหน้าสอบคลิปโบ้
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7004557
เพื่อไทยหวั่นโควิดหลังสงกรานต์ ยอดติดเชื้อพุ่ง หลังตายเกินร้อย 10 วันติด ห่วงไทยเกิดสังคมอนาถา จี้รอท้องถิ่นพร้อมก่อนปรับเป็นโรคประจำถิ่น
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 19 เม.ย.2565 ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กทม.และโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เป็นห่วงการระบาดของโควิด-19 หลังเทศกาลสงกรานต์อย่างมาก เนื่องจากมีผู้ติดเชื้อมากกว่าที่ภาครัฐรายงาน 3 เท่า ขณะนี้มีผู้เสียชีวิตจากโควิดเกิน 100 คนต่อวันติดต่อกัน 10 วันแล้วนับตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย. อีกทั้งยอดผู้ป่วยอยู่ในโรงพยาบาล ผู้ป่วยปอดบวมและผู้ป่วยหนักเพิ่มขึ้น ขณะที่ในหลายจังหวัดยังมีอัตราการฉีดวัคซีนเข็ม 3 น้อยมากเพียง 20 กว่าล้านคน ซึ่งยังไม่ถึง 60-70% ที่จะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องเร่งฉีดวัคซีนเข็ม 3 และ 4 ให้มากที่สุด เพราะจะช่วยลดความรุนแรงของโรคได้
ทั้งนี้ จากการลงพื้นที่พบปะประชาชน พบว่าแม้เวลาจะผ่านมากว่า 2 ปีที่มีการระบาดเกิดขึ้น แต่รัฐบาลยังปล่อยให้ประชาชนช่วยเหลือตนเอง จนเป็นต้นเหตุที่อาจก่อให้เกิดสังคมอนาถา คนหาเช้ากินค่ำ อาชีพอิสระ ตกงานขาดรายได้ และเข้าไม่ถึงระบบการรักษาได้ทันเวลา ตอนนี้โรงพยาบาลของรัฐหลายแห่งจำกัดจำนวนการตรวจหาเชื้อต่อวัน ทำให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาล่าช้า เสียชีวิตก่อนเวลาอันควร
น.ส.ธีรรัตน์ กล่าวต่อว่า ส่วนที่รัฐบาลมีแนวคิดจะปรับให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่นนั้น อยากให้ ศบค.ประเมินสถานการณ์การระบาดของโรคและถามความพร้อมของท้องถิ่นก่อน รวมทั้งสัดส่วนการรับวัคซีนเข็ม 3 ซึ่งควรเกิน 60% ของประชากรที่รับวัคซีนได้ เพราะขณะนี้ในบางจังหวัดที่เคยมีข่าวว่าจะถูกปรับให้เป็นโรคประจำถิ่น เมื่อมีข่าวแพร่กระจายออกไปทั้งที่ไม่มีการเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตัวของคนในท้องถิ่น บางรายติดเชื้อแล้วออกไปใช้ชีวิตปกติ ด้วยความเข้าใจผิดว่าโควิดเป็นโรคประจำถิ่นแล้ว เหมือนโรคหวัดธรรมดา เกิดมาจากการสื่อสารที่ของรัฐที่ไม่เป็นเอกภาพ ไม่มีความแน่นอนของข้อมูล
หากรัฐบาลไม่มีข้อมูลเพียงพอ ขอให้ศึกษากรณีตัวอย่างจากต่างประเทศที่ไม่ใส่หน้ากากอนามัย และไม่มีมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม โควิดถูกทำให้กลายเป็นโรคประจำถิ่น แต่ต้องแลกมาด้วยอัตราการเสียชีวิตพุ่งสูงขึ้น ขอให้รัฐบาลคิดให้ตกผลึกก่อนจะประกาศใช้มาตรการใดๆ เพราะผู้ที่ได้รับผลกระทบคือการเจ็บป่วยล้มตายของประชาชน นอกจากนี้พรรคสนับสนุนให้ปรับมาตรการการเปิดประเทศที่เหมาะสม สะดวก ไม่เป็นภาระต่อประชาชนและชาวต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและการลงทุนใหม่ๆ เศรษฐกิจไทยจึงจะเดินหน้าต่อไปได้
“โควิดระลอกนี้คนติดเชื้อมากขึ้น เสียชีวิตมากขึ้น รัฐบาลอย่าบริหารจัดการเหมือนคนเคยชินกับโรค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ อย่าทำตัวเลื่อนลอยอยู่เหนือปัญหา โฟกัสผิดจุด การระบาดของโควิดยังอยู่ คนยากคนจนยังลำบากอีกมาก และรอคอยการช่วยเหลือจากรัฐบาลอยู่” น.ส.ธีรรัตน์ กล่าว
นพ.ธีระ ชี้ ควบคุมโควิดประสิทธิภาพไม่เพียงพอ ส่งผลสถานการณ์ไทยสวนกระแสโลก
https://www.nationtv.tv/news/378870450
นพ.ธีระ แนะ การครอบคลุมของวัคซีน นโยบายและมาตรการควบคุมการระบาดโควิด สำคัญมาก ชี้ ไทยประสิทธิภาพยังไม่เพียงพอ ทำให้สถานการณ์ยังคงสวนกระแสโลก ทั้งผู้ติดเชื้อ-เสียชีวิต เชื่อ เปิดประเทศ ผ่อนคลายมาตรการ ทั้งที่รู้ว่ายังไม่พร้อม เสี่ยงเจ็บซ้ำซาก เรื้อรังและสูญเสีย
19 เมษายน 2565 รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่าน เฟซบุ๊ก "Thira Woratanarat" ระบุว่า
ณ วันนี้ เด็กอายุ 5-11 ปี ได้รับวัคซีนเข็มแรกไปเพียง 49.5% และได้รับเข็มที่สองไปเพียง 4%
ในขณะที่ภาพรวมทั้งประเทศ มีคนได้รับเข็มกระตุ้นไป 36%
ถ้าดูเฉพาะคนสูงอายุ ได้เข็มกระตุ้นไป 39.4%
ด้วยสถานการณ์ความครอบคลุมของวัคซีนที่จำกัด นโยบายและมาตรการในการควบคุมป้องกันโรค เพื่อกดการระบาดให้ลดลง จึงมีความสำคัญมาก
ที่ผ่านมานั้นยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอในการจัดการสถานการณ์ระบาด จึงทำให้สถานการณ์ของไทยยังคงสวนกระแสโลก ทั้งในเรื่องจำนวนติดเชื้อใหม่ในแต่ละวัน และการเสียชีวิต
นพ.ธีระ โพสต์ด้วยว่า จุดพลิกผันของการระบาดทั่วโลกตอนนี้ น่าจะอยู่ที่จีนและประเทศในเอเชียที่ยังระบาดรุนแรง รวมถึงไทย ผลลัพธ์ของเอเชียในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน คือ ไตรมาสที่จะกำหนดภาพในครึ่งหลังของปีนี้ของโลก
เหนืออื่นใด สำหรับประเทศไทยนั้น จำเป็นต้องทราบว่า ศิลปะในการอยู่รอดท่ามกลางสถานการณ์แปรปรวนไม่แน่นอนในโลกแห่งการเชื่อมต่อกันเช่นนี้คือ "การไม่ด้อยค่าไวรัส"
เมื่อใดที่ปรามาสว่ากระจอก เอาอยู่ กรูแน่ เมื่อนั้นก็เชื่อขนมกินได้เลยว่า ย่อมเสี่ยงต่อการเจ็บซ้ำซาก เรื้อรัง และสูญเสียตามมาในไม่ช้า และคงจะลำบาก หากผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายจะยอมให้ทำตามแผนการเปิดประเทศ ผ่อนคลายกิจกรรม และอื่นๆ โดยที่รู้ทั้งรู้ว่ายังไม่พร้อม
ก้าวทีละก้าว อย่างมั่นคง...จะไม่เสี่ยงต่อการหกล้ม บาดเจ็บ และสูญเสียครับ
อีกทั้งยังโพสต์ด้วยว่า
ในยุควิกฤติสงครามโรค ไม่ว่าจะประเทศใดทั่วโลกนั้น
สาธารณะ...เสี่ยง
สาธารณะ...เสื่อม
สาธารณะ...ทุกข์
หากมุ่งแต่กิเลส คำลวง ความเชื่องมงายหลงผิด ยึดติดกับภาพลวงตา ตัวกูพวกกูประโยชน์กู
ผลลัพธ์ = ยุทธศาสตร์ * ความสามารถ * ทัศนคติ
ผลลัพธ์จะออกมาดีได้ ต้องมีทั้งสามองค์ประกอบที่ถูกต้องเหมาะสม ทั้งเชิงปัญญา กำลัง ทักษะ และจิตใจ
นี่คือสัจธรรมที่เราเห็นได้จากปรากฏการณ์หลากหลายตลอดหลายปีที่ผ่านมา...
https://www.facebook.com/thiraw/posts/10224189108147894
https://www.facebook.com/thiraw/posts/10224190365819335
กระแสข้าวเหนียวมะม่วง “มิลลิ”ฟีเวอร์ ช่วยชีวิตแม่ค้า-ชาวสวนขายดิบขายดี.
https://www.dailynews.co.th/news/970072/
กระแสข้าวเหนียวมะม่วง “มิลลิ” ฟีเวอร์ ช่วยพลิกวิกฤติมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง เมืองแปดริ้ว ให้ขายดิบขายดี คาดส่งออกต่างประเทศก็จะขานรับตาม
เมื่อวันที่ 19 เม.ย. ผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังสวนแก้ววงษ์นุกูล ต.สาวชะโงก อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อสอบถามกับ นายมานพ แก้ววงษ์นุกูล ประธานวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตมะม่วงส่งออกจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยนายมานพ เปิดเผยว่า หลังมีกระแสกินข้าวเหนียวมะม่วง ของมิลลินั้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีทำให้วงการผู้ค้ามะม่วงตื่นตัวกันมาก ตนเองยอมรับว่า มีการหามะม่วงสุกน้ำดอกไม้สีทอง มะม่วงขึ้นชื่อของจังหวัดฉะเชิงเทราเป็นอย่างมาก ซึ่งมียอดจองต้องเตรียมมะม่วงถึงประมาณ 4 ตัน เพื่อรอให้พ่อค้าแม่ค้าที่กำลังจะเข้ามารับ เปลี่ยนจากก่อนหน้านี้ ที่ตลาดมะม่วงนั้นซบเซา มะม่วงมีราคาถูก จนทำให้พ่อค้าแม่ค้ามะม่วงหลายคนต้องขาดทุนไปตามๆ กัน
นายมานพ กล่าวต่อว่า จุดเด่นของมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง เมืองแปดริ้ว เนื้อจะไม่เหลว ไม่แฉะ และก็มีรสหวานหอมทุกลูก จึงเป็นจุดเด่น อีกทั้งหลังจากมีการเปิดขายทางออนไลน์ ทำให้มีสั่งจองของพ่อค้าแม่ค้าเป็นจำนวนมาก ต้องสั่งจองมะม่วงสุกข้ามวัน เพราะมะม่วงเริ่มสุกไม่ทัน ด้านการส่งออกต่างประเทศนั้น วิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตมะม่วงส่งออกจังหวัดฉะเชิงเทรา มีตลาดส่งออกรายใหญ่ๆ อยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นและเกาหลี คาดว่ายอดสั่งจองจากต่างประเทศคงเพิ่มมากขึ้น ตามกระแสที่กำลังโด่งดังไปทั่วโลกถึงอาหารไทย
ด้านร้านขายข้าวเหนียวมะม่วง ก็ยังคึกคักเช่นเดียวกัน ที่ร้านแพรทอง ซึ่งเป็นร้านขายข้าวเหนียวมะม่วงและของฝาก ข้างวัดโสธรวรารามวรวิหาร อ.เมือง ฉะเชิงเทรา นางขุนทอง เอื้ออารี เจ้าของร้าน กล่าวว่า ยอมรับเลยว่า ร้านตนเองขายดีมากๆ หมดเร็วกว่าปกติหลายชั่วโมง มีแต่คนเข้ามาซื้อข้าวเหนียวมะม่วงอย่างต่อเนื่อง ทั้งหน้าร้านและซื้อผ่านแอพพลิเคชั่นสั่งอาหาร ปกติแล้วร้านหุงข้าวเหนียววันละ 30 กิโลกรัม ตนเองเปิดร้านตั้งแต่ 9 โมง-1 ทุ่ม แต่เมื่อวานนี้ (18 เม.ย.) ข้าวเหนียวหมดก่อนตั้งแต่ช่วงเย็น เลยต้องปิดร้าน ส่วนวันนี้ก็ยังมีคนแวะมาซื้ออย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน คาดว่าในช่วงเย็นๆ หลังเลิกงาน ก็จะคึกคักอีกครั้ง