FA cup รอบก่อนรองชนะเลิศระหว่างลิเวอร์พูลกับแมนเชสเตอร์ซิตี้ ผลออกมาอย่างที่ทราบกันลิเวอร์พูลผ่านเข้ารอบไปรอชิงถ้วย
กับอีกคู่ที่จะแข่งขันกันในคืนนี้ระหว่างเชลซีกับคริสตัลพาเลซ
ลิเวอร์พูลถือว่าได้เปรียบในเรื่องของการบริหารตัวผู้เล่นที่ไม่มีผู้เล่นบาดเจ็บ แต่ฝั่งแมนซิตี้ขาดเควิน เดอบลอยน์กับไค วอร์คเกอร์ ถือว่าตัวผู้เล่นไม่สมบูรณ์เต็ม 100 เนื่องจากทีมของเป๊บเพิ่งผ่านศึกหนักกับแอตมาดริดมา ซึ่งช่วงท้ายฤดูกาลแบบนี้จุดเปลี่ยนนึงที่ส่งผลกระทบกับทีมแน่ๆ ก็คือตัวผู้เล่นบาดเจ็บ
ปีนี้ถือได้ว่าลิเวอร์พูลโชคดีที่ไม่มีปัญหานี้ ประกอบกับได้ตัวผู้เล่นใหม่อย่าง หลุยส์ ดิอาซ มาช่วยในช่วงกลางฤดูกาลพอดี แถมมาแล้วเข้ากับระบบได้ทันที
เกมนัดนี้ถือว่าลิเวอร์พูลได้เปรียบแมนซิตี้อยู่ในแง่ของตัวผู้เล่นแต่ฝีมือเป๊บแล้วเกมก็ออกได้ทั้ง 3 หน้าเหมือนเดิมเพราะผู้เล่นที่ลงสนามไปก็คุณภาพทั้งนั้น
ถ้าดูจากสถิติการครองบอล การผ่านบอลและการจบสกอร์ทั้งคู่สูสีกันมาก เพียงแต่ลิเวอร์พูลฉวยโอกาสได้ดีกว่าคมกว่าในครึ่งแรกจึงขึ้นนำไปถึง 3 ประตู ต่อ 0 เป็นสกอร์ที่เกินคาดมาก (ถ้าดูแค่จบครึ่งแรก แฟนๆ ลิเวอร์พูลคงคิดว่าสบายๆ แล้วหล่ะ)
จุดเปลี่ยนแรกคือลิเวอร์พูลเสียประตูเร็ว ในนาทีที่ 47 เริ่มครึ่งหลังมาได้แค่ นาทีกว่าๆ โรเบิร์ตสันจ่ายบอลพลาด ถูกซิตี้สวนเร็วและได้ประตูตีตื้นมาเป็น 3 ประตูต่อ 1 แต่หลังจากนั้นลิเวอร์พูลตั้งเกมได้ก็ผลัดกันรับ ผลัดกันรุกไปตามเกมเรื่อยๆ แต่บอลมาสนุกอีกครั้งในช่วงท้ายเกมก่อนหมดเวลาทดเจ็บ(ต่อเวลา 5 นาที)ซิตี้มายิงได้อีก 1 ประตูในนาทีที่ 90+1 หลังจากนั้นซิตี้โหมหนักมีโอกาสอีก 2-3 ครั้งแต่ก็ไม่สามารถทำประตูตีเสมอได้ (ช่วงนั้นแฟนหงส์คงหายใจไม่ทั่วท้องหล่ะ) ลูกแรกซิตี้ได้ทุ่มไกลเข้ามาอาเก้โหม่งชงมาให้เฟอร์นันดินโญ่ยิงไกลติดบล็อกฟานไดร์ข้ามคานออกไป(ลูกนี้ผมคิดว่าหายไปแล้ว ถ้าไม่ได้ฟานไดค์มาช่วยบล็อกไว้)มาเรซได้โอกาสยิงอีกครั้งจากลูกเตะมุมแต่ข้ามคานออกไป(ลูกบอลไปติดบล็อกโชต้าที่วิ่งมาบล็อกไว้ทัน) ซิตี้กดดันอย่างหนัก กลีลิซแทงบอลทะลุมาให้สเตอริ่งได้โอกาสสับไกแต่คราวนี้ติดเซฟอลิสซอน (ริ่งยิงเลียด อลิสล้มตัวรับไว้ได้ทัน)
ท้ายเกมจริงๆ ลิเวอร์พูลได้โอกาสสวนคืน 2 ลูก ลูกแรกซาล่าห์เดี่ยวๆ มีเพื่อนอยู่หน้าประตูอีก 3-4 คนไม่จ่ายเลือกยิงเองแต่ยิงไม่ดีบอลออกเสาไกลออกไปเอง กับลูกสุดท้ายเฟอร์มิโน่เก็บตกจากลูกที่ผู้รักษาประตูแมนซิตี้ออกมาตัดบอลจากซาล่าห์ที่วิ่งตามบอลไม่ทัน แต่เฟอร์มิโน่ก็ทำได้ไม่ดีพอ จะชิพบอลข้ามตัวผู้รักษาประตูแต่ไม่พ้น เลยไม่ได้ประตูฝังแมนซิตี้ เลยจบเกมไปด้วยผล 3 ประตูต่อ 2 แบบช่วงท้ายได้ช่วยให้แฟนหงส์ได้บริหารหัวใจ (ใครคิดว่าครึ่งแรกนำ 3 ลูกแล้วจะสบายบ้าง...555)
ผมสรุปในสิ่งที่แตกต่างของโค้ชและตัวผู้เล่นดังนี้
1.เนื่องจากคาแร็คเตอร์และความเด็ดขาดที่แตกต่างกันระหว่างคล็อปกับเป็บ เป็บเด็ดขาดกว่ามั่นใจในแผนและมั่นใจในตัวลูกทีมที่ใส่ลงไปตอนแรกมาก ที่เปลี่ยนเจซุสเพราะเจ็บเล่นไม่ไหวจริงๆ แต่เปลี่ยนแผนเกมด้วยตัวผู้เล่นชุดเดิม แต่คล็อปเปลี่ยนแผนเอาเฮนโด้มาแทนเกอิต้า(เพื่อเก็บบอลมากขึ้น) นี่เป็นจุดแรกที่ซิตี้เลยมีโอกาสบุกมากขึ้น สำหรับคล็อปผมมองว่าแกยืดหยุ่นสูงกว่าเป็บ ฟังคนรอบข้าง,เชื่อใจทีมงานและเชื่อใจนักเตะ แกก็จะออกแนวนี้ครับ เปลี่ยนเกมเปลี่ยนคน เซฟผู้เล่น
2.ลิเวอร์พูลเปลี่ยนอีก 2 คน เอามาเน่กับดิอาซออก และเอาเฟอร์มิโน่กับโชต้าลงแทน ตรงนี้ก็ยังไม่มีอะไรเสียหายมากนัก แต่คนที่ผมเห็นว่าเขามีส่วนช่วยยับยั้งเกมบุกของซิตี้ได้ดีคนนึงคือติอาโก้ ที่คล็อปเปลี่ยนโจนส์ลงมาแทนในนาทีที่ 87 นี่เป็นจุดเปลี่ยนหรือจุดหายนะเลยก็ว่าได้(หรือว่าคล็อปแกโรคจิตอยากเห็นบอลสนุกขึ้นอีกก็ไม่รู้นะ...555) และเหลือโควต้าสุดท้ายเก็บไว้เผื่อมีใครบาดเจ็บอีก 1 คน
ที่บอกว่าเปลี่ยนมาเน่ทำไมไม่เปลี่ยนซาล่าห์ เพราะซาล่ายังเอาไว้ขู่แนวรับซิตี้ได้อยู่และคล็อปคงมองเห็นว่าซาล่าห์เก็บบอลไว้กับตัวได้ดีกว่ามาเน่ (แต่วันนี้มาเน่ก็องค์ลง ยิงลูกที่ 3 แบบยิงไปงั้นๆ แต่กลายเป็นเข้าประตูไปอย่างสวยงาม ต่างกับลูกตั้งใจยิงและเหน่งๆด้วยแต่ยิงเบาหวิวเลย) และอีกอย่างคงอยากให้ซาล่าห์มีโอกาสสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองด้วย(ทางกลับกันผมว่าค่าตัว 4 แสนเริ่มจะแพงไปแระ) ได้โอกาสเหน่งๆ จากซินเชนโก้โหม่งคืนประตูสั้นไป แต่ซาล่าห์ยิงออกข้างไปซะงั้น และช่วงท้ายเกมอีก 1 ลูกที่น่าจะปิดจ๊อบฝังซิตี้ไปได้แล้วแต่ช่วงนี้ฝืดจริงๆ(เฉพาะเรื่องยิงประตู)
ผมว่าวันนี้ซาล่าห์ลงมายืนต่ำทำตัวเป็นเพลย์เมกเกอร์มากกว่าสไตร์เกอร์ อาจจะต้องการพื้นที่ในการครองบอลมากกว่าที่จะทำประตู(คงเป็นแผนของคล็อปแหละ)
สำหรับมาเน่วันนี้ผมว่าแกช่วยกดดันกองหลังซิตี้ได้เยอะ ทำให้หลังซิตี้บิ้วเกมจากแดนหลังได้ยากขึ้นและลูกที่ 2 ก็ได้มาจากความขยันของแกนั่นเอง
ช่วยกันกับดิอาซ ยิ่งทำให้กองหลังซิตี้ไม่กล้าดันสูง
ปล.ถ้าคล็อปใจแข็งและเด็ดขาดแบบเป็บ ไม่เปลี่ยนตัวผู้เล่นเลย ลิเวอร์พูลอาจจะไม่เสียประตูที่ 2 ก็ได้
(แต่คล็อปเขาก็เป็นแบบนี้แหละให้โอกาสนักเตะทุกคน เซฟนักเตะ/เปลี่ยนเกม เพราะแกมองแผนระยะยาวมากกว่า การนำห่างถึง 2 ลูกยังไงแกก็มั่นใจลูกทีมของแกเสมอ)
เมื่อคืนลิเวอร์พูลเปลี่ยนมาเน่ออกทำไม น่าจะเปลี่ยนซาล่าห์ออกมากกว่า
กับอีกคู่ที่จะแข่งขันกันในคืนนี้ระหว่างเชลซีกับคริสตัลพาเลซ
ลิเวอร์พูลถือว่าได้เปรียบในเรื่องของการบริหารตัวผู้เล่นที่ไม่มีผู้เล่นบาดเจ็บ แต่ฝั่งแมนซิตี้ขาดเควิน เดอบลอยน์กับไค วอร์คเกอร์ ถือว่าตัวผู้เล่นไม่สมบูรณ์เต็ม 100 เนื่องจากทีมของเป๊บเพิ่งผ่านศึกหนักกับแอตมาดริดมา ซึ่งช่วงท้ายฤดูกาลแบบนี้จุดเปลี่ยนนึงที่ส่งผลกระทบกับทีมแน่ๆ ก็คือตัวผู้เล่นบาดเจ็บ
ปีนี้ถือได้ว่าลิเวอร์พูลโชคดีที่ไม่มีปัญหานี้ ประกอบกับได้ตัวผู้เล่นใหม่อย่าง หลุยส์ ดิอาซ มาช่วยในช่วงกลางฤดูกาลพอดี แถมมาแล้วเข้ากับระบบได้ทันที
เกมนัดนี้ถือว่าลิเวอร์พูลได้เปรียบแมนซิตี้อยู่ในแง่ของตัวผู้เล่นแต่ฝีมือเป๊บแล้วเกมก็ออกได้ทั้ง 3 หน้าเหมือนเดิมเพราะผู้เล่นที่ลงสนามไปก็คุณภาพทั้งนั้น
ถ้าดูจากสถิติการครองบอล การผ่านบอลและการจบสกอร์ทั้งคู่สูสีกันมาก เพียงแต่ลิเวอร์พูลฉวยโอกาสได้ดีกว่าคมกว่าในครึ่งแรกจึงขึ้นนำไปถึง 3 ประตู ต่อ 0 เป็นสกอร์ที่เกินคาดมาก (ถ้าดูแค่จบครึ่งแรก แฟนๆ ลิเวอร์พูลคงคิดว่าสบายๆ แล้วหล่ะ)
จุดเปลี่ยนแรกคือลิเวอร์พูลเสียประตูเร็ว ในนาทีที่ 47 เริ่มครึ่งหลังมาได้แค่ นาทีกว่าๆ โรเบิร์ตสันจ่ายบอลพลาด ถูกซิตี้สวนเร็วและได้ประตูตีตื้นมาเป็น 3 ประตูต่อ 1 แต่หลังจากนั้นลิเวอร์พูลตั้งเกมได้ก็ผลัดกันรับ ผลัดกันรุกไปตามเกมเรื่อยๆ แต่บอลมาสนุกอีกครั้งในช่วงท้ายเกมก่อนหมดเวลาทดเจ็บ(ต่อเวลา 5 นาที)ซิตี้มายิงได้อีก 1 ประตูในนาทีที่ 90+1 หลังจากนั้นซิตี้โหมหนักมีโอกาสอีก 2-3 ครั้งแต่ก็ไม่สามารถทำประตูตีเสมอได้ (ช่วงนั้นแฟนหงส์คงหายใจไม่ทั่วท้องหล่ะ) ลูกแรกซิตี้ได้ทุ่มไกลเข้ามาอาเก้โหม่งชงมาให้เฟอร์นันดินโญ่ยิงไกลติดบล็อกฟานไดร์ข้ามคานออกไป(ลูกนี้ผมคิดว่าหายไปแล้ว ถ้าไม่ได้ฟานไดค์มาช่วยบล็อกไว้)มาเรซได้โอกาสยิงอีกครั้งจากลูกเตะมุมแต่ข้ามคานออกไป(ลูกบอลไปติดบล็อกโชต้าที่วิ่งมาบล็อกไว้ทัน) ซิตี้กดดันอย่างหนัก กลีลิซแทงบอลทะลุมาให้สเตอริ่งได้โอกาสสับไกแต่คราวนี้ติดเซฟอลิสซอน (ริ่งยิงเลียด อลิสล้มตัวรับไว้ได้ทัน)
ท้ายเกมจริงๆ ลิเวอร์พูลได้โอกาสสวนคืน 2 ลูก ลูกแรกซาล่าห์เดี่ยวๆ มีเพื่อนอยู่หน้าประตูอีก 3-4 คนไม่จ่ายเลือกยิงเองแต่ยิงไม่ดีบอลออกเสาไกลออกไปเอง กับลูกสุดท้ายเฟอร์มิโน่เก็บตกจากลูกที่ผู้รักษาประตูแมนซิตี้ออกมาตัดบอลจากซาล่าห์ที่วิ่งตามบอลไม่ทัน แต่เฟอร์มิโน่ก็ทำได้ไม่ดีพอ จะชิพบอลข้ามตัวผู้รักษาประตูแต่ไม่พ้น เลยไม่ได้ประตูฝังแมนซิตี้ เลยจบเกมไปด้วยผล 3 ประตูต่อ 2 แบบช่วงท้ายได้ช่วยให้แฟนหงส์ได้บริหารหัวใจ (ใครคิดว่าครึ่งแรกนำ 3 ลูกแล้วจะสบายบ้าง...555)
ผมสรุปในสิ่งที่แตกต่างของโค้ชและตัวผู้เล่นดังนี้
1.เนื่องจากคาแร็คเตอร์และความเด็ดขาดที่แตกต่างกันระหว่างคล็อปกับเป็บ เป็บเด็ดขาดกว่ามั่นใจในแผนและมั่นใจในตัวลูกทีมที่ใส่ลงไปตอนแรกมาก ที่เปลี่ยนเจซุสเพราะเจ็บเล่นไม่ไหวจริงๆ แต่เปลี่ยนแผนเกมด้วยตัวผู้เล่นชุดเดิม แต่คล็อปเปลี่ยนแผนเอาเฮนโด้มาแทนเกอิต้า(เพื่อเก็บบอลมากขึ้น) นี่เป็นจุดแรกที่ซิตี้เลยมีโอกาสบุกมากขึ้น สำหรับคล็อปผมมองว่าแกยืดหยุ่นสูงกว่าเป็บ ฟังคนรอบข้าง,เชื่อใจทีมงานและเชื่อใจนักเตะ แกก็จะออกแนวนี้ครับ เปลี่ยนเกมเปลี่ยนคน เซฟผู้เล่น
2.ลิเวอร์พูลเปลี่ยนอีก 2 คน เอามาเน่กับดิอาซออก และเอาเฟอร์มิโน่กับโชต้าลงแทน ตรงนี้ก็ยังไม่มีอะไรเสียหายมากนัก แต่คนที่ผมเห็นว่าเขามีส่วนช่วยยับยั้งเกมบุกของซิตี้ได้ดีคนนึงคือติอาโก้ ที่คล็อปเปลี่ยนโจนส์ลงมาแทนในนาทีที่ 87 นี่เป็นจุดเปลี่ยนหรือจุดหายนะเลยก็ว่าได้(หรือว่าคล็อปแกโรคจิตอยากเห็นบอลสนุกขึ้นอีกก็ไม่รู้นะ...555) และเหลือโควต้าสุดท้ายเก็บไว้เผื่อมีใครบาดเจ็บอีก 1 คน
ที่บอกว่าเปลี่ยนมาเน่ทำไมไม่เปลี่ยนซาล่าห์ เพราะซาล่ายังเอาไว้ขู่แนวรับซิตี้ได้อยู่และคล็อปคงมองเห็นว่าซาล่าห์เก็บบอลไว้กับตัวได้ดีกว่ามาเน่ (แต่วันนี้มาเน่ก็องค์ลง ยิงลูกที่ 3 แบบยิงไปงั้นๆ แต่กลายเป็นเข้าประตูไปอย่างสวยงาม ต่างกับลูกตั้งใจยิงและเหน่งๆด้วยแต่ยิงเบาหวิวเลย) และอีกอย่างคงอยากให้ซาล่าห์มีโอกาสสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองด้วย(ทางกลับกันผมว่าค่าตัว 4 แสนเริ่มจะแพงไปแระ) ได้โอกาสเหน่งๆ จากซินเชนโก้โหม่งคืนประตูสั้นไป แต่ซาล่าห์ยิงออกข้างไปซะงั้น และช่วงท้ายเกมอีก 1 ลูกที่น่าจะปิดจ๊อบฝังซิตี้ไปได้แล้วแต่ช่วงนี้ฝืดจริงๆ(เฉพาะเรื่องยิงประตู)
ผมว่าวันนี้ซาล่าห์ลงมายืนต่ำทำตัวเป็นเพลย์เมกเกอร์มากกว่าสไตร์เกอร์ อาจจะต้องการพื้นที่ในการครองบอลมากกว่าที่จะทำประตู(คงเป็นแผนของคล็อปแหละ)
สำหรับมาเน่วันนี้ผมว่าแกช่วยกดดันกองหลังซิตี้ได้เยอะ ทำให้หลังซิตี้บิ้วเกมจากแดนหลังได้ยากขึ้นและลูกที่ 2 ก็ได้มาจากความขยันของแกนั่นเอง
ช่วยกันกับดิอาซ ยิ่งทำให้กองหลังซิตี้ไม่กล้าดันสูง
ปล.ถ้าคล็อปใจแข็งและเด็ดขาดแบบเป็บ ไม่เปลี่ยนตัวผู้เล่นเลย ลิเวอร์พูลอาจจะไม่เสียประตูที่ 2 ก็ได้
(แต่คล็อปเขาก็เป็นแบบนี้แหละให้โอกาสนักเตะทุกคน เซฟนักเตะ/เปลี่ยนเกม เพราะแกมองแผนระยะยาวมากกว่า การนำห่างถึง 2 ลูกยังไงแกก็มั่นใจลูกทีมของแกเสมอ)