ป่าหิมพานต์...
รุจิเลขพาบุตรชายมาตามที่ได้รับการนัดหมาย ด้วยความตื่นเต้นดีใจ เมื่อคิดว่า มารดาคงเริ่มใจอ่อนและอภัยในความผิดของเธอในไม่ช้าดั่งที่พี่สาวเขียนบอกมาในสาสน์
คนธรรพ์หนุ่มมาส่งภรรยาและบุตรบริเวณชายป่า โดยยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับพระนางมาทรี เพราะเกรงนางจะโกรธขึ้นมาและพาลไม่ยกโทษให้บุตรี ผู้ซึ่งเป็นภรรยาที่เขาแสนรักใคร่ และหวังให้เธอมีแต่รอยยิ้มเปี่ยมสุข
เมื่อเห็นสัตว์ภูตศักดิ์สิทธิ์กับกำลังทหารเทพกลุ่มเล็กๆของพระนางมาทรีปรากฏกายพร้อมราชรถ เขาก็หันมาเอ่ยกับภรรยา
“ข้าจะรอเจ้าทั้งสองอยู่แถวนี้นะ จะไม่ไปไหน จนกว่าพวกเจ้าจะกลับมาหาข้า”
ผู้เป็นภรรยายิ้มรับ
“ข้าอาจมีเรื่องต้องพูดคุยกับท่านแม่มากมาย ท่านคงต้องรอนานหน่อยนะเจ้าคะ”
“ไม่เป็นไร..ข้ารอได้” แล้วยอบตัวลงพูดกับบุตรชาย
“อย่าดื้อกับท่านยายนะ..พ่อจะรอเจ้าอยู่ที่นี่”
“ขอรับท่านพ่อ..แล้วข้าจะรีบกลับมาให้ท่านสอนทำนองที่ยังเล่นค้างกันไว้ต่อ”
“ได้สิเจ้าลูกชาย” คนธรรพ์หนุ่มยิ้มรับ และลุกขึ้นมองผู้เป็นที่รักทั้งสองถูกพาขึ้นราชรถจากไป และยังไม่ทันได้ขยับไปไหน ทหารเทพกลุ่มนั้นหันกลับมารุมสังหารเขาจนสิ้นใจ ในขณะที่ดวงตายังเบิกค้างมองตามหลังหลังราชรถที่ค่อยๆเคลื่อนลับหายไปในความมืดมิด เย็นเยียบ
พระนางมาทรีเพ่งพินิจหลานชายที่มีวัยแก่กว่าสรษดาสามปี..รอยยิ้มพึงใจปรากฏบนใบหน้า เมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาหลานทั้งสองนั้นใกล้เคียงอย่างที่คาดหมาย และเอ่ยกับหลานชายตรงหน้าด้วยน้ำเสียงเอ็นดู
“เจ้าชื่อกระไรรึ”
“ชื่อวิทูร ขอรับ”
“เหรอ..งั้นวิทูรเข้ามาให้ยายดูหน้าใกล้ๆหน่อยสิ” นางกวักมือ ร่างน้อยลุกขึ้นไปนั่งใกล้ และได้สัมผัสฝ่ามือนุ่มที่ลูบตามใบหน้าพร้อมรอยยิ้มแสนรักของผู้เป็นยาย
รุจิเลขเห็นว่ามารดาเอาแต่จับจ้องบุตรชาย และทำราวกับว่าไม่มีเธอนั่งอยู่ด้วย จึงเอ่ยทักเบาๆ
“ท่านแม่..ท่านสบายดีไหมเจ้าคะ”
พลัน สะดุ้งเล็กน้อยกับสายตาคาดโทษที่มารดาลอบส่งมา ตามด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก
“เจ้ากับข้า ค่อยคุยกัน เมื่อกลับถึงวิมานของข้าแล้ว”
“เอ๊ะ!? ท่านแม่จะพาพวกเรากลับไปด้วยเหรอเจ้าคะ” น้ำเสียงและแววตาเต็มไปด้วยความหวาดระแวง
พระนางมาทรีเห็นแล้วหงุดหงิด แต่ยามอยู่ต่อหน้าวิทูร นางจึงเพียงแค่ปรามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เจ้านี่ช่างกระไรนัก แม่ไม่ได้เจอเจ้าตั้งนาน ก็อยากคุยด้วยให้หายคิดถึงเท่านั้น” แล้วหันมากล่อมหลานชาย “ยายจะพาหลานไปดูวิมานแก้วที่สวยที่สุดของสวรรค์ สถานที่แห่งนั้นกว้างใหญ่มีพื้นที่ให้หลานวิ่งเล่นได้อย่างไม่รู้เบื่อ นอกจากนั้น ยังมีสัตว์แปลกๆมากมายล้วนแต่สวยงามทั้งสิ้น..ยายรับรองเลยว่าหลานไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านี้มาก่อนเป็นแน่”
เด็กน้อยมีสีหน้าตื่นเต้น ด้วยความอยากเห็นสิ่งที่ยายโอ้อวด จึงหันมาทางมารดา
“เราไปเที่ยววิมานของท่านยายกันเถอะขอรับ”
“แต่..ท่านพ่อของเจ้ารออยู่นะ..เรายังไม่ได้บอกอะไร เดี๋ยวเขาจะกังวลได้”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวข้าให้ทหารไปบอกให้”พระนางมาทรีตัดบท แต่บุตรียังอึกอักไม่วางใจ
“คือ..ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ลูกอยู่ห่างกับเขา แล้วก็เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ลูกได้กลับมาพบท่านแม่..พวกเราดีใจมากกับความกรุณาครั้งนี้..เพียงแต่ลูกยังไม่ทันตั้งตัว เลยคิดว่า ขอเป็นโอกาสหน้าเถอะนะเจ้าคะ”
หญิงสาวพยายามบอกปัด ถึงแม้จะดีใจที่มารดาเรียกพบ ทว่า ภายในใจกลับรู้สึกแปลกๆกับการแสดงออกของผู้ให้กำเนิด ที่ตลอดมามีแต่ความเย็นชา ไม่เคยแสดงความอ่อนโยนเช่นนี้ต่อพวกเธอสองพี่น้องเลย แต่กับหลานชายที่สืบสายเลือดมาจากสามีของเธอที่มารดาแสนชิงชัง เช่นนี้แล้ว มารดาจะรู้สึกรักและเอ็นดูบุตรของเธอได้มากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ
พระนางมาทรีถึงกับแค่นยิ้ม
“นี่เจ้ากำลังหวาดระแวงอะไรในตัวแม่เรอะ หึ! การที่เจ้าหนีหายไปนานถึงเพียงนี้ ไม่คิดบ้างเรอะ ว่าแม่จะรู้สึกเช่นไร แล้วกับตัวเจ้าเองล่ะ ไม่คิดถึงแม่บ้างหรือไร”
เมื่อถูกคำพูดเชิงตัดพ้อ คนฟังถึงกับอึกอักอีกครั้ง
“เอ่อ..คิดถึงสิเจ้าคะ”
“ถ้าคิดถึง แล้วเหตุใดจะมามัวหวาดระแวงอะไรกับแม่ล่ะ แต่ถ้าเจ้าไม่สบายใจ ก็ไปบอกเรื่องนี้กับสามีของเจ้าด้วยตัวเองก็แล้วกัน แม่จะรออยู่ที่นี่พร้อมหลานชายที่น่ารักของยาย “ นางยิ้มให้เด็กน้อยอีกครั้ง ก่อนหันไปสั่งกับทหารเทพ “เดี๋ยวพวกเจ้าไปกับลูกของข้า แล้วก็รอพานางกลับวิมานพร้อมข้า”
“พ่ะย่ะค่ะ”
จากนั้นก็หันมาพูดกับบุตรีอีกครั้ง
“บอกเขาว่าจะอยู่สักสองสามวัน พอให้แม่หายคิดถึงแล้วเจ้าค่อยพาลูกกลับไป” ยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะหันไปสนใจหลานชายต่อ
รุจิเลขนิ่งอึ้งเสมือนถูกมัดมือชก จำต้องทำตามและคิดว่า ถึงอย่างไร ตนนั้นเป็นบุตร มารดาคงไม่กระทำรุนแรง และเริ่มตั้งคำถามว่า การตัดสินใจมาพบมารดาในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่
หลังจากที่มารดาไปแล้ว เด็กน้อยก็พูดคุยกับผู้เป็นยายด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วถึงเรื่องราวแต่ภูมิหลังของเขาอยู่นานสองนาน มารดาก็ยังไม่กลับมาเสียที จนเด็กน้อยไม่รู้ว่าควรพูดอะไรอีก จิตใจเริ่มกระวนกระวาย สายตาคอยเหลียวมองหามารดาตลอด พลางบ่นพึมพำ
“เหตุใดถึงไปนานจัง..หรือท่านพ่อไม่อนุญาต”
ในขณะนั้น ทหารเทพที่ติดตามรุจิเลขไปก็กลับมา เพียงแต่ไม่มีหญิงสาวกลับมาด้วย
“แล้วท่านแม่ของข้าล่ะ”
เด็กน้อยเอ่ยถามอย่างตระหนก
“มารดาของท่านมิได้กลับมา เหตุเพราะบิดาของท่านเสนอให้ท่านอยู่กับพระอัยยิกาเพียงลำพัง เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างยายหลาน..แล้วเดือนหน้า มารดาของท่านจะมารับกลับไป”
“อยู่เป็นเดือนเลยเหรอ”
แม้จะคิดว่าวิมานที่ท่านยายจะพาไปนั้นน่าสนใจ แต่เมื่อไม่มีมารดาอยู่ด้วยก็รู้สึกโหวงเหวงพิกลและตนนั้นก็ยังไม่คุ้นชินกับผู้เป็นยายด้วย จึงบ่นพึมพำ “เหตุใดท่านแม่ถึงทิ้งข้า..”
ผู้เป็นยายเข้ามาปลอบประโลม
“ตอนนี้เจ้าอาจจะเหงา แต่รับรอง พอไปถึงวิมานของยายแล้ว เจ้าจะสนุกจนลืมแม่ของเจ้าเลยทีเดียว”
จากนั้นก็พาหลานชายกลับวิมาน
และเป็นไปตามที่นางคาดหมาย เมื่อเด็กน้อยวิทูรตื่นตาตื่นใจกับความวิจิตระการตาของวิมานและสิ่งสวยงามรอบตัว รวมทั้งขนมมากมายให้ลิ้มลอง แต่สิ่งที่ชื่นชอบมากที่สุดคือเสียงเพลงอันเสนาะหู พระนางมาทรีจึงจัดหาอาจารย์มาสอนดนตรีในทันที จนวิทูรเพลิดเพลินและหลงลืมผู้ให้กำเนิดไปชั่วขณะ
(ต่อค่ะ)
ลำนำรักเทพบรรพกาล (1) : Angels and Devils. #บทที่๔ #
รุจิเลขพาบุตรชายมาตามที่ได้รับการนัดหมาย ด้วยความตื่นเต้นดีใจ เมื่อคิดว่า มารดาคงเริ่มใจอ่อนและอภัยในความผิดของเธอในไม่ช้าดั่งที่พี่สาวเขียนบอกมาในสาสน์
คนธรรพ์หนุ่มมาส่งภรรยาและบุตรบริเวณชายป่า โดยยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับพระนางมาทรี เพราะเกรงนางจะโกรธขึ้นมาและพาลไม่ยกโทษให้บุตรี ผู้ซึ่งเป็นภรรยาที่เขาแสนรักใคร่ และหวังให้เธอมีแต่รอยยิ้มเปี่ยมสุข
เมื่อเห็นสัตว์ภูตศักดิ์สิทธิ์กับกำลังทหารเทพกลุ่มเล็กๆของพระนางมาทรีปรากฏกายพร้อมราชรถ เขาก็หันมาเอ่ยกับภรรยา
“ข้าจะรอเจ้าทั้งสองอยู่แถวนี้นะ จะไม่ไปไหน จนกว่าพวกเจ้าจะกลับมาหาข้า”
ผู้เป็นภรรยายิ้มรับ
“ข้าอาจมีเรื่องต้องพูดคุยกับท่านแม่มากมาย ท่านคงต้องรอนานหน่อยนะเจ้าคะ”
“ไม่เป็นไร..ข้ารอได้” แล้วยอบตัวลงพูดกับบุตรชาย
“อย่าดื้อกับท่านยายนะ..พ่อจะรอเจ้าอยู่ที่นี่”
“ขอรับท่านพ่อ..แล้วข้าจะรีบกลับมาให้ท่านสอนทำนองที่ยังเล่นค้างกันไว้ต่อ”
“ได้สิเจ้าลูกชาย” คนธรรพ์หนุ่มยิ้มรับ และลุกขึ้นมองผู้เป็นที่รักทั้งสองถูกพาขึ้นราชรถจากไป และยังไม่ทันได้ขยับไปไหน ทหารเทพกลุ่มนั้นหันกลับมารุมสังหารเขาจนสิ้นใจ ในขณะที่ดวงตายังเบิกค้างมองตามหลังหลังราชรถที่ค่อยๆเคลื่อนลับหายไปในความมืดมิด เย็นเยียบ
พระนางมาทรีเพ่งพินิจหลานชายที่มีวัยแก่กว่าสรษดาสามปี..รอยยิ้มพึงใจปรากฏบนใบหน้า เมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาหลานทั้งสองนั้นใกล้เคียงอย่างที่คาดหมาย และเอ่ยกับหลานชายตรงหน้าด้วยน้ำเสียงเอ็นดู
“เจ้าชื่อกระไรรึ”
“ชื่อวิทูร ขอรับ”
“เหรอ..งั้นวิทูรเข้ามาให้ยายดูหน้าใกล้ๆหน่อยสิ” นางกวักมือ ร่างน้อยลุกขึ้นไปนั่งใกล้ และได้สัมผัสฝ่ามือนุ่มที่ลูบตามใบหน้าพร้อมรอยยิ้มแสนรักของผู้เป็นยาย
รุจิเลขเห็นว่ามารดาเอาแต่จับจ้องบุตรชาย และทำราวกับว่าไม่มีเธอนั่งอยู่ด้วย จึงเอ่ยทักเบาๆ
“ท่านแม่..ท่านสบายดีไหมเจ้าคะ”
พลัน สะดุ้งเล็กน้อยกับสายตาคาดโทษที่มารดาลอบส่งมา ตามด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก
“เจ้ากับข้า ค่อยคุยกัน เมื่อกลับถึงวิมานของข้าแล้ว”
“เอ๊ะ!? ท่านแม่จะพาพวกเรากลับไปด้วยเหรอเจ้าคะ” น้ำเสียงและแววตาเต็มไปด้วยความหวาดระแวง
พระนางมาทรีเห็นแล้วหงุดหงิด แต่ยามอยู่ต่อหน้าวิทูร นางจึงเพียงแค่ปรามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เจ้านี่ช่างกระไรนัก แม่ไม่ได้เจอเจ้าตั้งนาน ก็อยากคุยด้วยให้หายคิดถึงเท่านั้น” แล้วหันมากล่อมหลานชาย “ยายจะพาหลานไปดูวิมานแก้วที่สวยที่สุดของสวรรค์ สถานที่แห่งนั้นกว้างใหญ่มีพื้นที่ให้หลานวิ่งเล่นได้อย่างไม่รู้เบื่อ นอกจากนั้น ยังมีสัตว์แปลกๆมากมายล้วนแต่สวยงามทั้งสิ้น..ยายรับรองเลยว่าหลานไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านี้มาก่อนเป็นแน่”
เด็กน้อยมีสีหน้าตื่นเต้น ด้วยความอยากเห็นสิ่งที่ยายโอ้อวด จึงหันมาทางมารดา
“เราไปเที่ยววิมานของท่านยายกันเถอะขอรับ”
“แต่..ท่านพ่อของเจ้ารออยู่นะ..เรายังไม่ได้บอกอะไร เดี๋ยวเขาจะกังวลได้”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวข้าให้ทหารไปบอกให้”พระนางมาทรีตัดบท แต่บุตรียังอึกอักไม่วางใจ
“คือ..ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ลูกอยู่ห่างกับเขา แล้วก็เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ลูกได้กลับมาพบท่านแม่..พวกเราดีใจมากกับความกรุณาครั้งนี้..เพียงแต่ลูกยังไม่ทันตั้งตัว เลยคิดว่า ขอเป็นโอกาสหน้าเถอะนะเจ้าคะ”
หญิงสาวพยายามบอกปัด ถึงแม้จะดีใจที่มารดาเรียกพบ ทว่า ภายในใจกลับรู้สึกแปลกๆกับการแสดงออกของผู้ให้กำเนิด ที่ตลอดมามีแต่ความเย็นชา ไม่เคยแสดงความอ่อนโยนเช่นนี้ต่อพวกเธอสองพี่น้องเลย แต่กับหลานชายที่สืบสายเลือดมาจากสามีของเธอที่มารดาแสนชิงชัง เช่นนี้แล้ว มารดาจะรู้สึกรักและเอ็นดูบุตรของเธอได้มากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ
พระนางมาทรีถึงกับแค่นยิ้ม
“นี่เจ้ากำลังหวาดระแวงอะไรในตัวแม่เรอะ หึ! การที่เจ้าหนีหายไปนานถึงเพียงนี้ ไม่คิดบ้างเรอะ ว่าแม่จะรู้สึกเช่นไร แล้วกับตัวเจ้าเองล่ะ ไม่คิดถึงแม่บ้างหรือไร”
เมื่อถูกคำพูดเชิงตัดพ้อ คนฟังถึงกับอึกอักอีกครั้ง
“เอ่อ..คิดถึงสิเจ้าคะ”
“ถ้าคิดถึง แล้วเหตุใดจะมามัวหวาดระแวงอะไรกับแม่ล่ะ แต่ถ้าเจ้าไม่สบายใจ ก็ไปบอกเรื่องนี้กับสามีของเจ้าด้วยตัวเองก็แล้วกัน แม่จะรออยู่ที่นี่พร้อมหลานชายที่น่ารักของยาย “ นางยิ้มให้เด็กน้อยอีกครั้ง ก่อนหันไปสั่งกับทหารเทพ “เดี๋ยวพวกเจ้าไปกับลูกของข้า แล้วก็รอพานางกลับวิมานพร้อมข้า”
“พ่ะย่ะค่ะ”
จากนั้นก็หันมาพูดกับบุตรีอีกครั้ง
“บอกเขาว่าจะอยู่สักสองสามวัน พอให้แม่หายคิดถึงแล้วเจ้าค่อยพาลูกกลับไป” ยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะหันไปสนใจหลานชายต่อ
รุจิเลขนิ่งอึ้งเสมือนถูกมัดมือชก จำต้องทำตามและคิดว่า ถึงอย่างไร ตนนั้นเป็นบุตร มารดาคงไม่กระทำรุนแรง และเริ่มตั้งคำถามว่า การตัดสินใจมาพบมารดาในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่
หลังจากที่มารดาไปแล้ว เด็กน้อยก็พูดคุยกับผู้เป็นยายด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วถึงเรื่องราวแต่ภูมิหลังของเขาอยู่นานสองนาน มารดาก็ยังไม่กลับมาเสียที จนเด็กน้อยไม่รู้ว่าควรพูดอะไรอีก จิตใจเริ่มกระวนกระวาย สายตาคอยเหลียวมองหามารดาตลอด พลางบ่นพึมพำ
“เหตุใดถึงไปนานจัง..หรือท่านพ่อไม่อนุญาต”
ในขณะนั้น ทหารเทพที่ติดตามรุจิเลขไปก็กลับมา เพียงแต่ไม่มีหญิงสาวกลับมาด้วย
“แล้วท่านแม่ของข้าล่ะ”
เด็กน้อยเอ่ยถามอย่างตระหนก
“มารดาของท่านมิได้กลับมา เหตุเพราะบิดาของท่านเสนอให้ท่านอยู่กับพระอัยยิกาเพียงลำพัง เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างยายหลาน..แล้วเดือนหน้า มารดาของท่านจะมารับกลับไป”
“อยู่เป็นเดือนเลยเหรอ”
แม้จะคิดว่าวิมานที่ท่านยายจะพาไปนั้นน่าสนใจ แต่เมื่อไม่มีมารดาอยู่ด้วยก็รู้สึกโหวงเหวงพิกลและตนนั้นก็ยังไม่คุ้นชินกับผู้เป็นยายด้วย จึงบ่นพึมพำ “เหตุใดท่านแม่ถึงทิ้งข้า..”
ผู้เป็นยายเข้ามาปลอบประโลม
“ตอนนี้เจ้าอาจจะเหงา แต่รับรอง พอไปถึงวิมานของยายแล้ว เจ้าจะสนุกจนลืมแม่ของเจ้าเลยทีเดียว”
จากนั้นก็พาหลานชายกลับวิมาน
และเป็นไปตามที่นางคาดหมาย เมื่อเด็กน้อยวิทูรตื่นตาตื่นใจกับความวิจิตระการตาของวิมานและสิ่งสวยงามรอบตัว รวมทั้งขนมมากมายให้ลิ้มลอง แต่สิ่งที่ชื่นชอบมากที่สุดคือเสียงเพลงอันเสนาะหู พระนางมาทรีจึงจัดหาอาจารย์มาสอนดนตรีในทันที จนวิทูรเพลิดเพลินและหลงลืมผู้ให้กำเนิดไปชั่วขณะ
(ต่อค่ะ)