ลูกเรียนที่โรงเรียนอินเตอร์แห่งหนึ่งค่ะ ปีที่ผ่านมาเราเจอปัญหาเรื่องครูหลายครั้งมากใน 1 ปีนะคะ
เรื่องแรกช่วงที่เปิดเทอมมีการล๊อกดาวน์เด็ก ๆ เรียนออนไลน์
ครูที่สอนวิชาภาษาไทยซึ่งเป็นวิชาเลือกในโรงเรียน (โรงเรียนนี้ไม่มีสอนวิชาภาษาไทยค่ะ ต้องเลือกเป็นวิชาเลือกเอา)
ครูส่งข้อความมาทางไลน์ขอลาสอนหลายครั้ง
มีขอลาไปฉีดวัคซีน 1 ครั้ง , ลาไปหาหมอ 1 ครั้ง, ส่งข้อความมาลา 2 วันโดยไม่บอกว่าลาไปทำอะไร 1 ครั้ง
นอกจากนี้ก็มีขอเปลี่ยนเวลาสอน เคยขอจะสอนตอนเที่ยงครึ่ง ซึ่งเป็นเวลาพักกินข้าวเที่ยงของลูกเรา และช่วงบ่ายมีวิชาที่ต้องเรียนต่อตอนบ่ายโมง
ทั้งห้องในระดับชั้นลูกเรามีลูกเราคนเดียวที่เลือกเรียนภาษาไทยเป็นวิชาเลือกค่ะ คนอื่นไปเรียนภาษาต่างประเทศกัน
เราเพิ่งมารู้ทีหลังว่าทุกครั้งที่ครูคนนี้ลา ไม่เคยแจ้งทางโรงเรียนค่ะ และตอนแรกที่รู้เรื่องทางโรงเรียนกลับถามเราว่า ทำไมตอนครูส่งข้อความมาลา ทางเราทำไมไม่โทรเช็กกับทางโรงเรียนว่าครูลาได้จริงหรือไม่ เพราะครูมีชั่วโมงสอนลูกเราแค่คนเดียว วันละ 1 คาบ ซึ่งเราก็งงว่าเป็นหน้าที่ของผู้ปกครองที่ต้องโทรเช็ก โทรแจ้งกับทางโรงเรียนว่าครูลาได้ไม่ได้ หรือครูขอเปลี่ยนเวลาสอนได้หรือไม่ได้ ทั้งๆที่เป็นหน้าที่ของทางโรงเรียนที่ต้องเช็กเองว่าบุคลากรได้สอนเด็กตามหน้าที่ ตามชั่วโมงสอนหรือไม่รึเปล่า
เรื่องที่สอง ตลอดการเรียนเทอมกว่า ครูคนนี้สอนไม่ค่อยดี บอกให้ลูกเราอ่านหนังสือจะสอบวันนี้นะ พอถึงวัน ไม่สอบไปสอนเรื่องอื่น พอวันไหนจู่ๆ อยากสอบก็จับสอบเลย ลูกเราสอบไม่ผ่านก็ให้ลูกเราทำใหม่ ทำใหม่ และทำใหม่ วนอยู่แบบนั้น จนลูกเราบอกว่าเบื่อวิชาภาษาไทยมาก ไม่อยากเรียนแล้ว ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ ลูกเราเป็นเด็กที่เรียนโรงเรียนอินเตอร์แต่ภาษาไทยอยู่ระดับดีมาตลอด เพราะก่อนเข้าโรงเรียนอินเตอร์ เราให้เรียนระบบสองภาษา ดังนั้นภาษาไทยไม่ได้อ่อนแบบเด็กเรียนอินเตอร์ตั้งแต่เล็ก และลูกเราเคยชอบเรียนภาษาไทยจนมาเจอครูคนนี้
ปัญหานี้พอเราแจ้งกับทางโรงเรียนว่ามีปัญหาเรื่องการสอนของครู โรงเรียนแจ้งเราว่า ตั้งแต่มีโควิด โรงเรียนไม่ได้ทำการประเมินครูมา 1 ปีเต็ม ๆ แล้ว เลยอาจจะทำให้ครูไม่โดนกระตุ้น และโรงเรียนไม่ได้มีการให้ครูทำเค้าโครงการสอน แถมหนังสือที่ครูมาใช้สอนเป็นหนังสือสำหรับติว ไม่ใช่หนังสือสำหรับเรียนวิชาภาษาไทยตามโรงเรียนทั่วไป เราเลยขอเปลี่ยนครูเพราะมีลูกเราคนเดียวที่เรียนกับครูคนนี้ โรงเรียนบ่ายเบี่ยง ขอโอกาสให้ครูได้แก้ตัวในการสอนก่อน
และโรงเรียนบอกเราว่าปีการศึกษาหน้า ถ้าลูกเราจะยังเรียนภาษาไทยเป็นวิชาเลือก จะเปลี่ยนครูให้ แต่ไม่รับปากว่าครูคนนี้จะไม่กลับมาสอนลูกเราอีก
เรื่องที่สาม จู่ ๆ มีเจ้าหนี้ของครูคนนี้โทรมาหาเราทางมือถือ โดยถามเราว่านี่ใช่เบอร์ของคุณแม่น้องXXXXX หรือไม่ ปลายสายแจ้งว่าเป็นบริษัทเงินกู้และถามเราว่ารู้จักกับคนชื่อนี้ไหม โดยตอนแรกบอกชื่อเล่นของครูมา (สมมุติว่าชื่อ A) เราเลยถามว่า A ไหนขอชื่อกับนามสกุล ปลายสายก็บอกชื่อจริงนามสกุลจริงมาซึ่งตรงกับชื่อของครูคนที่สอนภาษาไทยที่มีเรื่องกัน ทางปลายสายพยายามถามเราว่าเราเป็นอะไรกับคนชื่อ A เราเลยถามรายละเอียดเพิ่มเติม ทางปลายสายแจ้งว่า A มากู้เงินครั้งนี้ครั้งที่ 2 บอกจำนวนมาเสร็จสรรพ แต่ไม่ได้จะให้เราโอนเงินให้หรืออะไร เพียงแต่พยายามถามเราว่าเรารู้จักคนนี้ไหมและเป็นอะไรกัน มีความสัมพันธ์ยังไง
พอเราแจ้งเรื่องกับทางโรงเรียน โรงเรียนพยายามบอกเราว่าเราโดนแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอก แต่เราบอกว่าไม่ใช่ น่าจะเป็นกู้นอกระบบ เพราะเค้าไม่ได้จะให้เราโอนเงินให้เลยสักบาท แต่แค่จะถามเราว่ารู้จักคนนี้ไหม ในตอนแรกทางโรงเรียนบอกจะให้ครูรีบไปแจ้งความ แต่ครูก็ไม่ได้ไปแจ้งในทันที เราก็ถามครูว่าทำไมไม่ไปแจ้งความ ครูก็บอกว่ารอให้ทนายเขียนข้อความให้อยู่ เราก็งงว่าทำไมแจ้งความต้องใช้ทนาย
เรื่องที่สี่ พอเจอเรื่องที่สามเราเลยยื่นคำขาดกับทางโรงเรียนว่าต้องเปลี่ยนครูให้เรา ทางโรงเรียนเลยรีบเปลี่ยนครูคนใหม่มาสอน แต่ผลของการที่ครูคนเก่าทำไว้ ทำให้เวลาเรียนที่เหลือกับเนื้อหาที่มี ทางโรงเรียนไม่สามารถสอนลูกเราให้จบหลักสูตรแกนกลางของกระทรวงได้ เราเลยถามทางโรงเรียนว่าจะเยียวยาหรือแก้ปัญหานี้ยังไงเพราะเวลาเรียนไม่พอและไม่ใช่ความผิดเด็ก แต่โรงเรียนเอาครูไม่มีคุณภาพมาสอน ทางโรงเรียนแจ้งเราว่าจะสอนเนื้อหาแบบเร่งรัดให้ลูกเรา ให้จบให้ได้ตามหลักสูตรภายใน 3 เดือน โดยไม่มีการขอเพิ่มเวลาสอนใด ๆ
เราเลยรู้สึกว่าโรงเรียนแบบนี้ถือว่ามีคุณภาพพอหรือไม่ในการลงทุนค่าเทอมที่จะส่งให้ลูกเรียนต่อไป ทางปู่ย่ากลับมองว่าเป็นเรื่องเล็กมาก ๆ เลยอยากถามความเห็นท่านอื่นค่ะว่าเรื่องแบบนี้ถือว่าเล็กหรือไม่คะ
โรงเรียนแบบนี้ ถือว่ามีคุณภาพไหมคะ
เรื่องแรกช่วงที่เปิดเทอมมีการล๊อกดาวน์เด็ก ๆ เรียนออนไลน์
ครูที่สอนวิชาภาษาไทยซึ่งเป็นวิชาเลือกในโรงเรียน (โรงเรียนนี้ไม่มีสอนวิชาภาษาไทยค่ะ ต้องเลือกเป็นวิชาเลือกเอา)
ครูส่งข้อความมาทางไลน์ขอลาสอนหลายครั้ง
มีขอลาไปฉีดวัคซีน 1 ครั้ง , ลาไปหาหมอ 1 ครั้ง, ส่งข้อความมาลา 2 วันโดยไม่บอกว่าลาไปทำอะไร 1 ครั้ง
นอกจากนี้ก็มีขอเปลี่ยนเวลาสอน เคยขอจะสอนตอนเที่ยงครึ่ง ซึ่งเป็นเวลาพักกินข้าวเที่ยงของลูกเรา และช่วงบ่ายมีวิชาที่ต้องเรียนต่อตอนบ่ายโมง
ทั้งห้องในระดับชั้นลูกเรามีลูกเราคนเดียวที่เลือกเรียนภาษาไทยเป็นวิชาเลือกค่ะ คนอื่นไปเรียนภาษาต่างประเทศกัน
เราเพิ่งมารู้ทีหลังว่าทุกครั้งที่ครูคนนี้ลา ไม่เคยแจ้งทางโรงเรียนค่ะ และตอนแรกที่รู้เรื่องทางโรงเรียนกลับถามเราว่า ทำไมตอนครูส่งข้อความมาลา ทางเราทำไมไม่โทรเช็กกับทางโรงเรียนว่าครูลาได้จริงหรือไม่ เพราะครูมีชั่วโมงสอนลูกเราแค่คนเดียว วันละ 1 คาบ ซึ่งเราก็งงว่าเป็นหน้าที่ของผู้ปกครองที่ต้องโทรเช็ก โทรแจ้งกับทางโรงเรียนว่าครูลาได้ไม่ได้ หรือครูขอเปลี่ยนเวลาสอนได้หรือไม่ได้ ทั้งๆที่เป็นหน้าที่ของทางโรงเรียนที่ต้องเช็กเองว่าบุคลากรได้สอนเด็กตามหน้าที่ ตามชั่วโมงสอนหรือไม่รึเปล่า
เรื่องที่สอง ตลอดการเรียนเทอมกว่า ครูคนนี้สอนไม่ค่อยดี บอกให้ลูกเราอ่านหนังสือจะสอบวันนี้นะ พอถึงวัน ไม่สอบไปสอนเรื่องอื่น พอวันไหนจู่ๆ อยากสอบก็จับสอบเลย ลูกเราสอบไม่ผ่านก็ให้ลูกเราทำใหม่ ทำใหม่ และทำใหม่ วนอยู่แบบนั้น จนลูกเราบอกว่าเบื่อวิชาภาษาไทยมาก ไม่อยากเรียนแล้ว ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ ลูกเราเป็นเด็กที่เรียนโรงเรียนอินเตอร์แต่ภาษาไทยอยู่ระดับดีมาตลอด เพราะก่อนเข้าโรงเรียนอินเตอร์ เราให้เรียนระบบสองภาษา ดังนั้นภาษาไทยไม่ได้อ่อนแบบเด็กเรียนอินเตอร์ตั้งแต่เล็ก และลูกเราเคยชอบเรียนภาษาไทยจนมาเจอครูคนนี้
ปัญหานี้พอเราแจ้งกับทางโรงเรียนว่ามีปัญหาเรื่องการสอนของครู โรงเรียนแจ้งเราว่า ตั้งแต่มีโควิด โรงเรียนไม่ได้ทำการประเมินครูมา 1 ปีเต็ม ๆ แล้ว เลยอาจจะทำให้ครูไม่โดนกระตุ้น และโรงเรียนไม่ได้มีการให้ครูทำเค้าโครงการสอน แถมหนังสือที่ครูมาใช้สอนเป็นหนังสือสำหรับติว ไม่ใช่หนังสือสำหรับเรียนวิชาภาษาไทยตามโรงเรียนทั่วไป เราเลยขอเปลี่ยนครูเพราะมีลูกเราคนเดียวที่เรียนกับครูคนนี้ โรงเรียนบ่ายเบี่ยง ขอโอกาสให้ครูได้แก้ตัวในการสอนก่อน
และโรงเรียนบอกเราว่าปีการศึกษาหน้า ถ้าลูกเราจะยังเรียนภาษาไทยเป็นวิชาเลือก จะเปลี่ยนครูให้ แต่ไม่รับปากว่าครูคนนี้จะไม่กลับมาสอนลูกเราอีก
เรื่องที่สาม จู่ ๆ มีเจ้าหนี้ของครูคนนี้โทรมาหาเราทางมือถือ โดยถามเราว่านี่ใช่เบอร์ของคุณแม่น้องXXXXX หรือไม่ ปลายสายแจ้งว่าเป็นบริษัทเงินกู้และถามเราว่ารู้จักกับคนชื่อนี้ไหม โดยตอนแรกบอกชื่อเล่นของครูมา (สมมุติว่าชื่อ A) เราเลยถามว่า A ไหนขอชื่อกับนามสกุล ปลายสายก็บอกชื่อจริงนามสกุลจริงมาซึ่งตรงกับชื่อของครูคนที่สอนภาษาไทยที่มีเรื่องกัน ทางปลายสายพยายามถามเราว่าเราเป็นอะไรกับคนชื่อ A เราเลยถามรายละเอียดเพิ่มเติม ทางปลายสายแจ้งว่า A มากู้เงินครั้งนี้ครั้งที่ 2 บอกจำนวนมาเสร็จสรรพ แต่ไม่ได้จะให้เราโอนเงินให้หรืออะไร เพียงแต่พยายามถามเราว่าเรารู้จักคนนี้ไหมและเป็นอะไรกัน มีความสัมพันธ์ยังไง
พอเราแจ้งเรื่องกับทางโรงเรียน โรงเรียนพยายามบอกเราว่าเราโดนแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอก แต่เราบอกว่าไม่ใช่ น่าจะเป็นกู้นอกระบบ เพราะเค้าไม่ได้จะให้เราโอนเงินให้เลยสักบาท แต่แค่จะถามเราว่ารู้จักคนนี้ไหม ในตอนแรกทางโรงเรียนบอกจะให้ครูรีบไปแจ้งความ แต่ครูก็ไม่ได้ไปแจ้งในทันที เราก็ถามครูว่าทำไมไม่ไปแจ้งความ ครูก็บอกว่ารอให้ทนายเขียนข้อความให้อยู่ เราก็งงว่าทำไมแจ้งความต้องใช้ทนาย
เรื่องที่สี่ พอเจอเรื่องที่สามเราเลยยื่นคำขาดกับทางโรงเรียนว่าต้องเปลี่ยนครูให้เรา ทางโรงเรียนเลยรีบเปลี่ยนครูคนใหม่มาสอน แต่ผลของการที่ครูคนเก่าทำไว้ ทำให้เวลาเรียนที่เหลือกับเนื้อหาที่มี ทางโรงเรียนไม่สามารถสอนลูกเราให้จบหลักสูตรแกนกลางของกระทรวงได้ เราเลยถามทางโรงเรียนว่าจะเยียวยาหรือแก้ปัญหานี้ยังไงเพราะเวลาเรียนไม่พอและไม่ใช่ความผิดเด็ก แต่โรงเรียนเอาครูไม่มีคุณภาพมาสอน ทางโรงเรียนแจ้งเราว่าจะสอนเนื้อหาแบบเร่งรัดให้ลูกเรา ให้จบให้ได้ตามหลักสูตรภายใน 3 เดือน โดยไม่มีการขอเพิ่มเวลาสอนใด ๆ
เราเลยรู้สึกว่าโรงเรียนแบบนี้ถือว่ามีคุณภาพพอหรือไม่ในการลงทุนค่าเทอมที่จะส่งให้ลูกเรียนต่อไป ทางปู่ย่ากลับมองว่าเป็นเรื่องเล็กมาก ๆ เลยอยากถามความเห็นท่านอื่นค่ะว่าเรื่องแบบนี้ถือว่าเล็กหรือไม่คะ