สวัสดีค่ะ
เนื่องจากอ่านใน Pantip มีหลายกรณีที่เข้าใจผิด หรือไม่เข้าใจตัวประกัน และ เพื่อน ๆ เรา ก็เคยโดนปกปิดข้อมูล เราเลยอยากจะเอาเรื่องจริง ข้อมูลจริง ๆ มาแบ่งปันค่ะ บอกก่อนเลยนะคะ ตัวเองไม่ใช่ตัวแทนขายประกัน และตัวเองทำธุรกิจส่วนตัวเล็ก ๆ ค่ะ และเนื่องจากเป็นเจ้าของกิจการ เลยไม่มีประกันสังคมอัตโนมัติเหมือนของลูกน้องตัวเอง ซึ่งไม่แฟร์นะคะ คนเหมือนกัน เราดูแลลูกน้องแต่ไม่มีใครดูเรา เราเคยถามเจ้าหน้าที่ประกันสังคม ตำตอบคือ เจ้าของกิจการต้องดูแลตัวเองค่ะ -_-! เราต้องไปเป็นที่ปรึกษาให้บริษัทอื่นเพื่อให้ได้เงินเดือนและได้สมัครประกันสังคมค่ะ ตัวประกันสังคมก็ใช่ว่าจะตอบโจทย์ทุกข้อ เลยเป็นที่มาของการหาข้อมูลที่จริงจัง ซื้อประกันสุขภาพอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุดกับเงินที่เสียไปค่ะ
เราขอเน้นที่ประกันสุขภาพเท่านั้นนะคะ และก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกับความแตกต่างของบริษัทผู้ขายประกัน ระหว่าง บริษัทประกันชีวิต และ บริษัทประกันภัยก่อนนะคะ
บริษัทประกันชีวิต ก็มีมากมายตามที่เราเห็น และ ชื่อบริษัทจะลงท้ายด้วย ประกันชีวิตเสมอค่ะ กรุงเทพประกันชีวิต เมืองไทยประกันชีวิต อลิอันซ์อยุธยาประกันชีวิต และอื่น ๆ บริษัทกลุ่มนี้จะเน้น concept การจ่ายเงินหลังจากเราเสียชีวิตไปแล้ว ดังนั้นจะมีข้อความว่าวงเงินคุ้มครองเสมอ และบริษัทประกันชีวิตก็มี product หลากหลายคือ ก็จะขายตามจุดประสงค์ค่ะ เช่นเพื่อการออม เพื่อการรายรับหลังเกษียร เพื่อการลงทุน บริษัทประกันชีวิตจะมีตัวแทนขายเสมอ และนี่ก็คือรายได้ของเค้าจากการขายประกันค่ะ และระยะหลัง ๆ มานี้จะมีการขายประกันสุขภาพพ่วงมาด้วยค่ะ ซึ่งจะเป็นสัญญาคนละสัญญากัน คือสัญญาประกันชีวิตและ สัญญาประกันสุขภาพค่ะ ดังนั้นผู้ซื้อจะจ่ายเบี้ยประกัน 2 ก้อนค่ะ คือ 1 เบี้ยประกันชีวิต และ 2 เบี้ยประกันสุขภาพค่ะ เบี้ยประกันชีวิตจะต้องจ่ายต่อเนื่องไปเรื่อยตาม product นั้น ๆ ส่วน มีเงินคืนบ้างไม่มีเงินคืนบ้าง ส่วนเบี้ยประกันสุขภาพคือการจ่ายทิ้งปีต่อปีค่ะ ไม่มีเงินคืนใดๆ ทั้งสิ้น และบริษัทประกันชีวิต จะไม่สามารถขายประกันสุขภาพอย่างเดียวได้
ส่วน
บริษัทประกันสุขภาพ จะเป็นบริษัทประกันวินาศภัย และลงท้ายคำว่าประกันภัย เช่น กรุงเทพประกันภัย เมืองไทยประกันภัย วิริยะประกันภัย และอื่น ๆ สามารถซื้อจากตัวแทนของบริษัทประกันภัยนั้นๆ หรือซื้อจากบริษัทนายหน้า หรือซื้อตรงจากบริษัทประกันภัยก็ได้ค่ะ และจะเป็นการซื้อเฉพาะประกันสุขภาพ เป็นการจ่ายเบี้ยก้อนเดียวค่ะ และเป็นการจ่ายทิ้งต่อปีค่ะ ไม่มีเงินคืนใดๆ ทั้งสิ้นเช่นกัน และบริษัทประกันภัยขายประกันสุขภาพอย่างเดียวค่ะ ไม่ได้ขายประกันชีวิตพ่วงค่ะ
ทีนี้เข้าประเด็นเรื่อง
“อย่าโดนหลอก” การเลือกซื้อประกันสุขภาพให้ได้ประโยชน์สูงสุดค่ะ ถ้าจะซื้อประกันสุขภาพก็ซื้อแค่ประกันสุขภาพจากบริษัทประกันภัยค่ะ ไม่ใช่ซื้อจากบริษัทประกันชีวิตค่ะ เพราะคุณจะจ่ายเงินแต่ก้อนเดียว หลุมพรางผู้ซื้อถูกตัวแทนขายที่ไม่บริสุทธิ์ใจมีดังนี้ค่ะ
1. ต้องซื้อกับบริษัทประกันชีวิตกับตัวแทนจะดีกว่า เพราะสัญญาทำคู่กัน ถ้าไม่ทำประกันชีวิตพ่วง จะถูกยกเลิกประกันสุขภาพได้ง่ายในอนาคตค่ะ บางทีตัวแทนขายประกันชีวิตหลายคนไม่ทราบ ถูกหัวหน้าหน่วยงาน หลอกให้พูดแบบนี้ก็มีนะคะ เรื่องนี้ไม่เป็นความจริงและผู้ซื้อถูกหลอกค่ะ เพราะสัญญาคนละตัวกัน เค้าจะยกเลิกประกันสุขภาพเมื่อไหร่ก็ได้หากประสบภาวะขาดทุน ไม่ว่าจะเป็นบริษัทประกันชีวิตหรือบริษัทประกันภัย หากอยากรู้ให้ถามตัวแทนว่า มีประโยคไหนในสัญญาที่เขียนชัดเจนว่าสัญญาประกันสุขภาพจะไม่มีวันถูกยกเลิกหากมีกรมธรรม์ประกันชีวิตยังต่อเนื่องอยู่ ถ้าไม่มีก็คือไม่เกี่ยวกันค่ะ
2. การมีตัวแทนจะดูแลคุณได้ดีว่า ข้อนี้ก็ไม่เป็นความจริงเสมอไป ตัวแทนประกันชีวิตหลายคน ไม่มีความรู้ข้อมูลประกันสุขภาพได้เท่าบริษัทประกันสุขภาพค่ะ เรื่องนี้เคยเจอมากับตัวเองค่ะ ลูกน้องเราจะซื้อประกัน PA (ประกันอุบัติเหตุที่มีวงเงินคุ้มครองประกันชีวิต) ที่จะจ่ายส่วนตัวต่อ ซึ่งก็เป็นปีต่อปีแต่ลูกน้องเรามีเคสต่อเนื่องข้ามปี ดังนั้นเลยจะซื้อต่อเพื่อรักษาต่อเนื่อง จากบริษัทประกันชีวิตเจ้าใหญ่เจ้านึง ตัวแทนขายแจ้งว่ารักษาต่อเนื่องได้ ซื้อได้เลย ลูกน้องเราซื้อต่อ แต่ผลปรากฏว่าไม่สามารถรักษาต่อเนื่องได้เมื่อนำไปใช้จริง คำตอบของตัวแทนประกันคือ “ผมต้องขอโทษด้วยครับ ผมเข้าใจผิด” แค่นี้เลย แต่ลูกน้องได้จ่ายเงินไปแล้ว และระยะเวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว ไปทำเรื่องคืน ก็ไม่ได้คุ้มค่าอะไร เลยปล่อยผ่านไป เรามองว่า ตัวแทนประกันชีวิตมีความรู้เรื่องประกันสุขภาพไม่มากพอ หรืออาจจะเพียงแค่ขายประกันเพื่อรายได้ แต่เราก็ไม่อยากคิดแบบนั้น ส่วนตัวแทนประกันที่ทำหน้าที่ได้ดีก็มีอยู่มาก และตัวแทนที่แค่อยากจะขายอย่างเดียวก็มีอยู่มากเช่นกัน
ทีนี้
การเลือกประกันสุขภาพที่คุ้มค่าค่ะ
การที่เราไม่ต้องจ่ายเบี้ยประกันชีวิตก็ช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายไปได้แล้วส่วนนึงค่ะ ทีนี้เราจะเลือกบริษัทประกันสุขภาพอย่างไร ส่วนตัวเราดูจากนิสัยความตรงไปตรงมาของ บริษัทค่ะ เราจะเอาประสบการณ์ส่วนตัวของเรามาแชร์นะคะ
เราทำ
การบ้านเรื่อง รพ ที่เราจะเข้ารักษาก่อน เราดูค่าห้อง และค่ารักษาคร่าวๆ หากเกิดเหตุ เราโทรไปถามที่ รพ หรือไปให้ถึงที่เลยก็ได้ ว่าถ้าเกิดเหตุจะมีค่ารักษาเท่าไหร่ จากนั้นเราก็เลือกจากบริษัทที่มีความตรงไปตรงมาค่ะ และหาข้อมูลเรื่องนี้ค่ะ โดยที่เราก็จะแฟร์กับ บริษัทประกันด้วยเช่นกัน คือเค้าถามอะไรเรา เราตอบทั้งหมด เราถามอะไรเค้า เค้าตอบทั้งหมด เรากำลังจะจ่ายเงินเราก็ต้องละเอียดของเราเหมือนกันค่ะ เราจะ recheck หากเกิดเหตุค่ะ เราเก็บไว้เป็น email ไม่ใช่แค่คุยกันปากเปล่าค่ะ ว่าเค้าทำอย่างที่พูดรึเปล่า เราซื้อของ Bupa (ปัจจุบันเป็น Aetna) และซื้อคู่กับสามีเพื่อรับส่วนลด เหตุผลเพราะว่าตอบโจทย์ของเราในประกันที่คุ้มค่าที่สุดค่ะ เราต้องการซื้อแบบเหมาจ่ายเพราะเราต้องการสบายใจ ไม่ต้องการมานั่งคำนวณยิบย่อยว่าอะไรมีวงเงินเท่าไหร่และจะเหลือเท่าไหร่ ต้องอาจจะต้องจ่ายเพิ่มเท่าไหร่ค่ะ เราทำประกันตอนอายุมากแล้วแต่เราไม่มีโรคประกันตัวและแข็งแรงดี และที่นี่รับต่อประกันตลอดชีพ เราไม่รู้หรอกค่ะ ว่าเค้าจะต่อตลอดชีพจริงแค่ไหน แต่เราเห็นคนที่อายุมาก ที่ทำกับ Bupa ก็ยังใช้ Bupa ได้อยู่ค่ะ เราเลือก เฉพาะ IPD เท่านั้น จ่าย เคสละ 5,000,000 ต่อครั้งและไม่จำกัดจำนวนครั้งต่อปี เราไม่สนใจ OPD เพราะเบี้ยสูงขึ้นและเราไม่ค่อยป่วยเป็นไข้หวัด เราไม่ชอบกินยา เราคิดว่า เคส OPD เราดูแลตัวเองได้ เรากลัวเคสหลายล้านแบบนอน รพ มากกว่า เราเลยเลือก IPD อย่างเดียวและซื้อ PA เสริม กรณี อุบัติเหตุ 100,000 บาทต่อเคส จาก บริษัทประกันอื่น และแล้วเหตุก็เกิดค่ะ ทำประกันไปได้ 2 เดือนเราเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบค่ะ พ้นระยะ 30 วันแล้ว ประกันได้ใช้เลยค่ะ โรคนี้เป็นแบบเฉียบพลัน และเราเป็นจากเชื้อแบคทีเรีย เรานอน รพ เป็นครั้งแรกในชีวิต และออกจาก รพ สมิติเวช สุขุมวิท ด้วยค่ารักษา 130,000 เราไม่ได้จ่ายซักบาทเดียว และปีต่อ ๆ มาเราจ่ายเบี้ยด้วยเบี้ยคงที่มี step ขึ้นตามอายุค่ะ
ส่วนสามี ป่วยเป็นไข้เลือดออก 1 ครั้ง นอน 9 วัน มีการผ่าเข่า 1 ครั้ง นอน 7 วัน และผ่าตัดไหล่ เคสใหญ่ ๆ 1 ครั้ง นอน 8 วัน และมี follow up. สามีเราใช้ประกันไปเกือบ 2,000,000 จ่ายเพิ่มเพียงแค่เวชภัณฑ์ 2 ไม่เกิน 10,000 และได้ต่อประกันทุกปี เราและสามีทำประกันมา 10 ปีแล้วค่ะ
ส่วน เคสของ ลูกน้อง ซึ่งมีประกันสังคม ลูกน้องโดนรถมอเตอร์ไซค์สวนเลนชน ตัวกระเด็นไปตกไกล เราทำ กรุงเทพประกันภัยให้ มีค่าห้อง 4,000 และ 80,000 บาทต่อเคส และมีประกันอุบัติเหตุ 100,000 บาท รถกู้ภัยพาไปคามิลเลี่ยน เราขอเปลี่ยนไป เพชรเวชที่อยู่ใกล้กัน เพราะเค้ามีประกันสังคมที่นั่น เพราะเราต้องการให้เค้ามีประวัติการรักษาต่อเนื่องที่นั่น และเราดูทรงแล้ว ยาวแน่ๆ เราแจ้งย้าย รพ ทางโทรศัพท์ เค้าไม่ยอมย้าย เราเลยไปทำเรื่องเอง ได้ย้ายเลย ชน 9:30 ย้ายจาก คามิลเลี่ยนไป เพชรเวช 11:00 และไม่รอ ประกันสังคม อนุมัติ เราแจ้ง รพ ตามนี้ ให้ใช้วงเงิน 1 พรบ ก่อน ตามด้วย 2 ประกันผุ้ป่วยใน กรุงเทพประกันภัย 3. ประกันสังคม และ 4. ประกันอุบัติเหตุ เมืองไทยประกันชีวิต ลูกน้องเราได้ผ่าตัดวันนั้นเลย 18:00 เราบอกลูกน้องเราว่า ไม่ต้องกินน้ำ และ อาหาร คืนนี้ผ่าตัดแน่นอน ซึ่งได้ผ่าตัดคืนนั้น ประมาณ 21:30 ออกจากห้องผ่าตัด สรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมดประมาณ 180,000 นอน รพ 9 วัน ลูกน้องจ่ายค่าเวชภัณฑ์ 2 เป็นไม้ช่วยพยุงไม่กี่บาท พอตอนไป follow up วงเงินประกันอุบัติเหตุยังเหลือเลยค่ะ แทบไม่ต้องใช้ประกันสังคมเลย ทำให้ได้รับความรวดเร็วและได้ยาที่คุณภาพมากกว่า ปีต่อ ๆ มา เราก็ได้ต่อประกันสุขภาพของกรุงเทพประกันภัยตามปกติค่ะ
เคสของสามีเพื่อนค่ะ เค้าทำประกันสุขภาพ Aetna และเคยรักษา ริดสีดวงมาก่อน เมื่อไปรักษาตัวด้วย โรคนี้เค้าจะไม่คุ้มครองค่ะ เป็นเรื่องปกติ
เราอ่านกรณีของ Aetna มากมายใน Pantip เราไม่เข้าข้าง Aetna และเราไม่เข้าข้าง ผู้ซื้อประกัน Aetna ค่ะ เราว่า อาการป่วยของ ผู้ซื้อหลายท่านเป็น เคสที่ติดระยะเวลารอคอย หรือเป็นโรคที่เป็นมาก่อน ไม่มีที่ไหนคุ้มครองหรือ เคสเนื้องอกที่มีระยะเวลารอคอย 2-3 ปี ค่ะ แต่เมื่อระยะเวลารอคอยผ่านไปแล้ว และมั่นใจว่าไม่ใช่ preexisting condition ก็ไม่ต้องห่วงค่ะ ประกันก็จะจ่ายค่ะ แต่ในกรณีเดียวกัน ถ้าทำกับบริษัทประกันอื่นแล้วจ่ายให้ก็ดีใจกับผู้ซื้อด้วยค่ะ เพราะระยะเวลารอคอยอาจจะไม่เท่ากัน และที่บริษัทประกันนั้นอาจจะตรวจเช็คไม่เจอประวัติ ส่วนตัวเรามองว่า เป็นเงื่อนไขของแต่ละที่ค่ะ
เวลาทำประกันสุขภาพ ให้ทำตอนสุขภาพดี และขอให้แจ้งทุกอย่าง อย่าปกปิดใด ๆ ค่ะ เพราะถ้าปกปิด แล้วเกิดเหตุ ผู้ซื้อจะถูกยกเลิกกรมธรรม์ เราจะเสียโอกาสอย่างมากในการักษากรณีที่น่ากลัว อย่างอุบัติเหตุค่ะ
ส่วนตัวเรามองว่าประกันสุขภาพรักษาชีวิตเราเพื่อให้อยู่ต่อไปดีที่สุด ส่วนประกันชีวิตเอาไว้ให้คนข้างหลังค่ะ แต่ถ้าตัวแทนดี และเงื่อนไขดี จะทำคู่กันไปก็ไม่เสียหายอะไรค่ะ แล้วแต่ว่าผู้ซื้อต้องการอะไรนะคะ
เลือกทำประกันสุขภาพอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด
เนื่องจากอ่านใน Pantip มีหลายกรณีที่เข้าใจผิด หรือไม่เข้าใจตัวประกัน และ เพื่อน ๆ เรา ก็เคยโดนปกปิดข้อมูล เราเลยอยากจะเอาเรื่องจริง ข้อมูลจริง ๆ มาแบ่งปันค่ะ บอกก่อนเลยนะคะ ตัวเองไม่ใช่ตัวแทนขายประกัน และตัวเองทำธุรกิจส่วนตัวเล็ก ๆ ค่ะ และเนื่องจากเป็นเจ้าของกิจการ เลยไม่มีประกันสังคมอัตโนมัติเหมือนของลูกน้องตัวเอง ซึ่งไม่แฟร์นะคะ คนเหมือนกัน เราดูแลลูกน้องแต่ไม่มีใครดูเรา เราเคยถามเจ้าหน้าที่ประกันสังคม ตำตอบคือ เจ้าของกิจการต้องดูแลตัวเองค่ะ -_-! เราต้องไปเป็นที่ปรึกษาให้บริษัทอื่นเพื่อให้ได้เงินเดือนและได้สมัครประกันสังคมค่ะ ตัวประกันสังคมก็ใช่ว่าจะตอบโจทย์ทุกข้อ เลยเป็นที่มาของการหาข้อมูลที่จริงจัง ซื้อประกันสุขภาพอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุดกับเงินที่เสียไปค่ะ
เราขอเน้นที่ประกันสุขภาพเท่านั้นนะคะ และก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกับความแตกต่างของบริษัทผู้ขายประกัน ระหว่าง บริษัทประกันชีวิต และ บริษัทประกันภัยก่อนนะคะ
บริษัทประกันชีวิต ก็มีมากมายตามที่เราเห็น และ ชื่อบริษัทจะลงท้ายด้วย ประกันชีวิตเสมอค่ะ กรุงเทพประกันชีวิต เมืองไทยประกันชีวิต อลิอันซ์อยุธยาประกันชีวิต และอื่น ๆ บริษัทกลุ่มนี้จะเน้น concept การจ่ายเงินหลังจากเราเสียชีวิตไปแล้ว ดังนั้นจะมีข้อความว่าวงเงินคุ้มครองเสมอ และบริษัทประกันชีวิตก็มี product หลากหลายคือ ก็จะขายตามจุดประสงค์ค่ะ เช่นเพื่อการออม เพื่อการรายรับหลังเกษียร เพื่อการลงทุน บริษัทประกันชีวิตจะมีตัวแทนขายเสมอ และนี่ก็คือรายได้ของเค้าจากการขายประกันค่ะ และระยะหลัง ๆ มานี้จะมีการขายประกันสุขภาพพ่วงมาด้วยค่ะ ซึ่งจะเป็นสัญญาคนละสัญญากัน คือสัญญาประกันชีวิตและ สัญญาประกันสุขภาพค่ะ ดังนั้นผู้ซื้อจะจ่ายเบี้ยประกัน 2 ก้อนค่ะ คือ 1 เบี้ยประกันชีวิต และ 2 เบี้ยประกันสุขภาพค่ะ เบี้ยประกันชีวิตจะต้องจ่ายต่อเนื่องไปเรื่อยตาม product นั้น ๆ ส่วน มีเงินคืนบ้างไม่มีเงินคืนบ้าง ส่วนเบี้ยประกันสุขภาพคือการจ่ายทิ้งปีต่อปีค่ะ ไม่มีเงินคืนใดๆ ทั้งสิ้น และบริษัทประกันชีวิต จะไม่สามารถขายประกันสุขภาพอย่างเดียวได้
ส่วนบริษัทประกันสุขภาพ จะเป็นบริษัทประกันวินาศภัย และลงท้ายคำว่าประกันภัย เช่น กรุงเทพประกันภัย เมืองไทยประกันภัย วิริยะประกันภัย และอื่น ๆ สามารถซื้อจากตัวแทนของบริษัทประกันภัยนั้นๆ หรือซื้อจากบริษัทนายหน้า หรือซื้อตรงจากบริษัทประกันภัยก็ได้ค่ะ และจะเป็นการซื้อเฉพาะประกันสุขภาพ เป็นการจ่ายเบี้ยก้อนเดียวค่ะ และเป็นการจ่ายทิ้งต่อปีค่ะ ไม่มีเงินคืนใดๆ ทั้งสิ้นเช่นกัน และบริษัทประกันภัยขายประกันสุขภาพอย่างเดียวค่ะ ไม่ได้ขายประกันชีวิตพ่วงค่ะ
ทีนี้เข้าประเด็นเรื่อง “อย่าโดนหลอก” การเลือกซื้อประกันสุขภาพให้ได้ประโยชน์สูงสุดค่ะ ถ้าจะซื้อประกันสุขภาพก็ซื้อแค่ประกันสุขภาพจากบริษัทประกันภัยค่ะ ไม่ใช่ซื้อจากบริษัทประกันชีวิตค่ะ เพราะคุณจะจ่ายเงินแต่ก้อนเดียว หลุมพรางผู้ซื้อถูกตัวแทนขายที่ไม่บริสุทธิ์ใจมีดังนี้ค่ะ
1. ต้องซื้อกับบริษัทประกันชีวิตกับตัวแทนจะดีกว่า เพราะสัญญาทำคู่กัน ถ้าไม่ทำประกันชีวิตพ่วง จะถูกยกเลิกประกันสุขภาพได้ง่ายในอนาคตค่ะ บางทีตัวแทนขายประกันชีวิตหลายคนไม่ทราบ ถูกหัวหน้าหน่วยงาน หลอกให้พูดแบบนี้ก็มีนะคะ เรื่องนี้ไม่เป็นความจริงและผู้ซื้อถูกหลอกค่ะ เพราะสัญญาคนละตัวกัน เค้าจะยกเลิกประกันสุขภาพเมื่อไหร่ก็ได้หากประสบภาวะขาดทุน ไม่ว่าจะเป็นบริษัทประกันชีวิตหรือบริษัทประกันภัย หากอยากรู้ให้ถามตัวแทนว่า มีประโยคไหนในสัญญาที่เขียนชัดเจนว่าสัญญาประกันสุขภาพจะไม่มีวันถูกยกเลิกหากมีกรมธรรม์ประกันชีวิตยังต่อเนื่องอยู่ ถ้าไม่มีก็คือไม่เกี่ยวกันค่ะ
2. การมีตัวแทนจะดูแลคุณได้ดีว่า ข้อนี้ก็ไม่เป็นความจริงเสมอไป ตัวแทนประกันชีวิตหลายคน ไม่มีความรู้ข้อมูลประกันสุขภาพได้เท่าบริษัทประกันสุขภาพค่ะ เรื่องนี้เคยเจอมากับตัวเองค่ะ ลูกน้องเราจะซื้อประกัน PA (ประกันอุบัติเหตุที่มีวงเงินคุ้มครองประกันชีวิต) ที่จะจ่ายส่วนตัวต่อ ซึ่งก็เป็นปีต่อปีแต่ลูกน้องเรามีเคสต่อเนื่องข้ามปี ดังนั้นเลยจะซื้อต่อเพื่อรักษาต่อเนื่อง จากบริษัทประกันชีวิตเจ้าใหญ่เจ้านึง ตัวแทนขายแจ้งว่ารักษาต่อเนื่องได้ ซื้อได้เลย ลูกน้องเราซื้อต่อ แต่ผลปรากฏว่าไม่สามารถรักษาต่อเนื่องได้เมื่อนำไปใช้จริง คำตอบของตัวแทนประกันคือ “ผมต้องขอโทษด้วยครับ ผมเข้าใจผิด” แค่นี้เลย แต่ลูกน้องได้จ่ายเงินไปแล้ว และระยะเวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว ไปทำเรื่องคืน ก็ไม่ได้คุ้มค่าอะไร เลยปล่อยผ่านไป เรามองว่า ตัวแทนประกันชีวิตมีความรู้เรื่องประกันสุขภาพไม่มากพอ หรืออาจจะเพียงแค่ขายประกันเพื่อรายได้ แต่เราก็ไม่อยากคิดแบบนั้น ส่วนตัวแทนประกันที่ทำหน้าที่ได้ดีก็มีอยู่มาก และตัวแทนที่แค่อยากจะขายอย่างเดียวก็มีอยู่มากเช่นกัน
ทีนี้การเลือกประกันสุขภาพที่คุ้มค่าค่ะ
การที่เราไม่ต้องจ่ายเบี้ยประกันชีวิตก็ช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายไปได้แล้วส่วนนึงค่ะ ทีนี้เราจะเลือกบริษัทประกันสุขภาพอย่างไร ส่วนตัวเราดูจากนิสัยความตรงไปตรงมาของ บริษัทค่ะ เราจะเอาประสบการณ์ส่วนตัวของเรามาแชร์นะคะ
เราทำการบ้านเรื่อง รพ ที่เราจะเข้ารักษาก่อน เราดูค่าห้อง และค่ารักษาคร่าวๆ หากเกิดเหตุ เราโทรไปถามที่ รพ หรือไปให้ถึงที่เลยก็ได้ ว่าถ้าเกิดเหตุจะมีค่ารักษาเท่าไหร่ จากนั้นเราก็เลือกจากบริษัทที่มีความตรงไปตรงมาค่ะ และหาข้อมูลเรื่องนี้ค่ะ โดยที่เราก็จะแฟร์กับ บริษัทประกันด้วยเช่นกัน คือเค้าถามอะไรเรา เราตอบทั้งหมด เราถามอะไรเค้า เค้าตอบทั้งหมด เรากำลังจะจ่ายเงินเราก็ต้องละเอียดของเราเหมือนกันค่ะ เราจะ recheck หากเกิดเหตุค่ะ เราเก็บไว้เป็น email ไม่ใช่แค่คุยกันปากเปล่าค่ะ ว่าเค้าทำอย่างที่พูดรึเปล่า เราซื้อของ Bupa (ปัจจุบันเป็น Aetna) และซื้อคู่กับสามีเพื่อรับส่วนลด เหตุผลเพราะว่าตอบโจทย์ของเราในประกันที่คุ้มค่าที่สุดค่ะ เราต้องการซื้อแบบเหมาจ่ายเพราะเราต้องการสบายใจ ไม่ต้องการมานั่งคำนวณยิบย่อยว่าอะไรมีวงเงินเท่าไหร่และจะเหลือเท่าไหร่ ต้องอาจจะต้องจ่ายเพิ่มเท่าไหร่ค่ะ เราทำประกันตอนอายุมากแล้วแต่เราไม่มีโรคประกันตัวและแข็งแรงดี และที่นี่รับต่อประกันตลอดชีพ เราไม่รู้หรอกค่ะ ว่าเค้าจะต่อตลอดชีพจริงแค่ไหน แต่เราเห็นคนที่อายุมาก ที่ทำกับ Bupa ก็ยังใช้ Bupa ได้อยู่ค่ะ เราเลือก เฉพาะ IPD เท่านั้น จ่าย เคสละ 5,000,000 ต่อครั้งและไม่จำกัดจำนวนครั้งต่อปี เราไม่สนใจ OPD เพราะเบี้ยสูงขึ้นและเราไม่ค่อยป่วยเป็นไข้หวัด เราไม่ชอบกินยา เราคิดว่า เคส OPD เราดูแลตัวเองได้ เรากลัวเคสหลายล้านแบบนอน รพ มากกว่า เราเลยเลือก IPD อย่างเดียวและซื้อ PA เสริม กรณี อุบัติเหตุ 100,000 บาทต่อเคส จาก บริษัทประกันอื่น และแล้วเหตุก็เกิดค่ะ ทำประกันไปได้ 2 เดือนเราเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบค่ะ พ้นระยะ 30 วันแล้ว ประกันได้ใช้เลยค่ะ โรคนี้เป็นแบบเฉียบพลัน และเราเป็นจากเชื้อแบคทีเรีย เรานอน รพ เป็นครั้งแรกในชีวิต และออกจาก รพ สมิติเวช สุขุมวิท ด้วยค่ารักษา 130,000 เราไม่ได้จ่ายซักบาทเดียว และปีต่อ ๆ มาเราจ่ายเบี้ยด้วยเบี้ยคงที่มี step ขึ้นตามอายุค่ะ
ส่วนสามี ป่วยเป็นไข้เลือดออก 1 ครั้ง นอน 9 วัน มีการผ่าเข่า 1 ครั้ง นอน 7 วัน และผ่าตัดไหล่ เคสใหญ่ ๆ 1 ครั้ง นอน 8 วัน และมี follow up. สามีเราใช้ประกันไปเกือบ 2,000,000 จ่ายเพิ่มเพียงแค่เวชภัณฑ์ 2 ไม่เกิน 10,000 และได้ต่อประกันทุกปี เราและสามีทำประกันมา 10 ปีแล้วค่ะ
ส่วน เคสของ ลูกน้อง ซึ่งมีประกันสังคม ลูกน้องโดนรถมอเตอร์ไซค์สวนเลนชน ตัวกระเด็นไปตกไกล เราทำ กรุงเทพประกันภัยให้ มีค่าห้อง 4,000 และ 80,000 บาทต่อเคส และมีประกันอุบัติเหตุ 100,000 บาท รถกู้ภัยพาไปคามิลเลี่ยน เราขอเปลี่ยนไป เพชรเวชที่อยู่ใกล้กัน เพราะเค้ามีประกันสังคมที่นั่น เพราะเราต้องการให้เค้ามีประวัติการรักษาต่อเนื่องที่นั่น และเราดูทรงแล้ว ยาวแน่ๆ เราแจ้งย้าย รพ ทางโทรศัพท์ เค้าไม่ยอมย้าย เราเลยไปทำเรื่องเอง ได้ย้ายเลย ชน 9:30 ย้ายจาก คามิลเลี่ยนไป เพชรเวช 11:00 และไม่รอ ประกันสังคม อนุมัติ เราแจ้ง รพ ตามนี้ ให้ใช้วงเงิน 1 พรบ ก่อน ตามด้วย 2 ประกันผุ้ป่วยใน กรุงเทพประกันภัย 3. ประกันสังคม และ 4. ประกันอุบัติเหตุ เมืองไทยประกันชีวิต ลูกน้องเราได้ผ่าตัดวันนั้นเลย 18:00 เราบอกลูกน้องเราว่า ไม่ต้องกินน้ำ และ อาหาร คืนนี้ผ่าตัดแน่นอน ซึ่งได้ผ่าตัดคืนนั้น ประมาณ 21:30 ออกจากห้องผ่าตัด สรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมดประมาณ 180,000 นอน รพ 9 วัน ลูกน้องจ่ายค่าเวชภัณฑ์ 2 เป็นไม้ช่วยพยุงไม่กี่บาท พอตอนไป follow up วงเงินประกันอุบัติเหตุยังเหลือเลยค่ะ แทบไม่ต้องใช้ประกันสังคมเลย ทำให้ได้รับความรวดเร็วและได้ยาที่คุณภาพมากกว่า ปีต่อ ๆ มา เราก็ได้ต่อประกันสุขภาพของกรุงเทพประกันภัยตามปกติค่ะ
เคสของสามีเพื่อนค่ะ เค้าทำประกันสุขภาพ Aetna และเคยรักษา ริดสีดวงมาก่อน เมื่อไปรักษาตัวด้วย โรคนี้เค้าจะไม่คุ้มครองค่ะ เป็นเรื่องปกติ
เราอ่านกรณีของ Aetna มากมายใน Pantip เราไม่เข้าข้าง Aetna และเราไม่เข้าข้าง ผู้ซื้อประกัน Aetna ค่ะ เราว่า อาการป่วยของ ผู้ซื้อหลายท่านเป็น เคสที่ติดระยะเวลารอคอย หรือเป็นโรคที่เป็นมาก่อน ไม่มีที่ไหนคุ้มครองหรือ เคสเนื้องอกที่มีระยะเวลารอคอย 2-3 ปี ค่ะ แต่เมื่อระยะเวลารอคอยผ่านไปแล้ว และมั่นใจว่าไม่ใช่ preexisting condition ก็ไม่ต้องห่วงค่ะ ประกันก็จะจ่ายค่ะ แต่ในกรณีเดียวกัน ถ้าทำกับบริษัทประกันอื่นแล้วจ่ายให้ก็ดีใจกับผู้ซื้อด้วยค่ะ เพราะระยะเวลารอคอยอาจจะไม่เท่ากัน และที่บริษัทประกันนั้นอาจจะตรวจเช็คไม่เจอประวัติ ส่วนตัวเรามองว่า เป็นเงื่อนไขของแต่ละที่ค่ะ
เวลาทำประกันสุขภาพ ให้ทำตอนสุขภาพดี และขอให้แจ้งทุกอย่าง อย่าปกปิดใด ๆ ค่ะ เพราะถ้าปกปิด แล้วเกิดเหตุ ผู้ซื้อจะถูกยกเลิกกรมธรรม์ เราจะเสียโอกาสอย่างมากในการักษากรณีที่น่ากลัว อย่างอุบัติเหตุค่ะ
ส่วนตัวเรามองว่าประกันสุขภาพรักษาชีวิตเราเพื่อให้อยู่ต่อไปดีที่สุด ส่วนประกันชีวิตเอาไว้ให้คนข้างหลังค่ะ แต่ถ้าตัวแทนดี และเงื่อนไขดี จะทำคู่กันไปก็ไม่เสียหายอะไรค่ะ แล้วแต่ว่าผู้ซื้อต้องการอะไรนะคะ