Chunk! No, Captain Chunk! - Gone Are The Good Days (2021)
ห่างหายหน้าไปถึง6ปีเต็มๆในการออกอัลบัม นับเป็นเวลาที่ยาวนานมากเกินควรสำรับวงดาวรุ่งที่กำลังมีชื่อเสียงอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะพอดี
หลังจากออกอัลบัมGet Lost, Find Yourselfในปี2015 แน่นอนว่าแฟนๆชาวไทยได้ชื่นใจกันถ้วนหน้าเพราะวงได้มาเล่นสดที่ไทยเป็นครั้งแรก(และอาจเป็นครั้งเดียว)
บรรยากาศในวันนั้น หลายคนยังจำได้ดีเพราะนอกจากจะได้เล่นสดยังได้พูดคุยถ่ายรูปขอลายเซ็นพวกเขา นับได้ว่าเต็มอิ่มครบถ้วน ราวจะเป็นการสั่งลาซะงั้นแหละ
ที่ว่าวงห่างหายไปนานเกินควรก็คือวงได้ปล่อยSingleมาตั้งแต่ปี2016แล้วนั่นคือBlame It On This Song ตอนนั้นให้ความหวังแฟนๆว่าจะกลับมาออกอัลบัมในเร็ววัน
แต่แล้วก็วงก็ได้พักวงกันในปีเดียวกันนั่นเอง เหมือนกะจะโทษไปว่าเพราะเพลงนี้แหละเลยพักวงก่อน
ช่วงเวลาที่พักวงหลายคนในวงได้พักออกจากวงการดนตรีไปเลยก็จะมีแค่ Paul Cordebardที่แว่บไปโผล่กับวงLandmvrks โดยหมอนี่อัดทั้งกีตาร์และทัวร์ด้วย
แม้ว่าขาจะหักขาจะเป๋ก็ไม่หยุดความขยันของพี่แกได้
เอาเป็นว่าเข้าเรื่องกันเลยแล้วกัน Gone Are the Good Days คืออัลบัมเต็มๆชุดที่4ที่ออกกับบ้านหลังเดิมFearless Records
โดยอัลบัมนี้ไม่ได้ใช้บริการโปรดิวเซอร์ จากที่เคยมีทั้งKyle BlackและJoey Sturgisที่ได้มาฝากฝีไม้ลายมือไว้ในชุด2และ3
แกนนำหลักในการปรุงแต่งอัลบัมให้มีรสชาติดี Bert PoncetและBastien Lafayeโดยเป็นนักร้องและมือกลองของวงนั่นแหละคือกำลังสำคัญในการผลิตอัลบัมนี้ออกมา
นับว่าเป็นการกลับมาทำงานเบื้องหลังในรอบ10ปีเต็มๆของ Bertก็ว่าได้
Gone Are the Good Days ประโยคล้ำๆที่จะว่าเป็นความหมายด้านบวกและลบในคำๆเดียว ใครยังจำได้ดีในอัลบัมที่2ที่นับเป็นอัลบัมMaster Pieceของวง
จะมีคำว่า "used to be" ประโยคนี้นำมาเชื่อมต่อกับชื่ออัลบัมได้ดีเลยแหละ อดีตและคืนวันที่สวยงามยังคงสวยงามเสมอแม้ว่ามันจะจากไปตลอดกาล
เนื้อหาในอัลบัมที่มาจากปลายปากกา Bert Poncetมีควาาหลากหลายขึ้นมากนับจากอัลบัมก่อนเนื้อหามีสุขมีเศร้าแบบหวานอมขมกลืน มีความสนุกในชีวิตของวัยรุ่น มีคติสอนใจ
แถมไปด้วยปลายปากกาหวานๆที่จะว่าเป็นเพลงรักก็ว่าได้ นับเป็นอีกเพลงที่วงไม่ค่อยได้ทำออกมา
การร้องของBertลดการว้ากหรือสครีมลงไปพอควร เน้นการร้องคลีนแบบเมโลดีมา โดยยังคงมีการอัดร้องสองไลน์ซ้อนแบบธรรมดาและโมโนโทนเข้ามา
นับเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของพ่อหนุ่มคนนี้
มานับถึงแนวดนตรี ทางวงยังคงยืนพื้นในแนว easycore,pop punk สดใสซาบซ่าเป็นหลักโดยชุดนี้มีการไส่กีตาร์อคูสติกและเปียนโนลงไปด้วยเป็นสีสันใหม่ที่แปลกหูไปอีกแบบ
และแน่นอนว่ากีตาร์คู่ประสาน EricและPaulยังเข้ากันได้ดี ชอบการคิดริฟฟ์ของทั้งคู่มากๆ ถ้าจะนับในแนวeasycore ส่วนตัวคิดว่าทั้งคู่คือเบอร์1ของสายนี้จริงๆ
Track by Track
1. Bitter
ห่างหายไปถึง6ปีจะกลับมาพร้อมเพลงช้าๆก็ใช่เรื่อง มันต้องเป็นเพลงเร็วแบบนี้แหละดี
เพลงนี้มีความครบถ้วนในแบบที่easycoreควรมี ทั้งท่อนเบรคดาวน์กระเดื่องคู่ ท่อนว้ากและแน่นอนท่อนฮุคคอรัสยังเป็นไม้เด็ดของพวกเขาเช่นเคย
เพลงนี้ฉลองการกลับมาด้วยการทำเป็นMV โดยจะเป็นบันทึกการเดินทางของพวกเขาในที่ต่างๆทั่วโลกที่พวกเขาเคยไป(เสียดายไม่มีบ้านเรา)
และหลายสิ่งทำให้นึกถึง Restartในชุด Pardon My French ที่เรายังจำได้ดี
2. Drift Away
ริฟฟ์กีตาร์กวนๆผสานกับเสียงกีตาร์โปร่งยังทำงานร่วมกันได้ดี
เพลงนี้เป็นเพลงโจ๊ะๆที่มีความกวนในแบบฉบับPop punk
เอาเข้าจริงก็นึกถึงวง Pop punkรุ่นพี่ในช่วง90's-2000'sที่เป็นแรงบัลดาลใจให้กับพวกเขา
ถึงแม้เพลงจะออกสนุกไม่เศร้า แต่ก็แฝงเนื้อเพลงแอบน้อยใจเอาไว้นิดหน่อย
เอาน่าแม้ว่าจะไม่เห็นหน้าได้ยินกันนาน ก็อย่างพึ่งลืมกันไปง่ายๆนะ
3. Gone Are The Good Days
นึกไปถึงอดีตที่วัยเยาว์ที่เราทำอะไรเต็มที่โดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ไม่มีคำว่าเสียดายอยู่ในพจนานุกรม
Oh let's try to get back to where we started
Yeah 'cause this is all we ever wanted
เพลงนี้เปี่ยมไปด้วยความทรงจำที่ผ่านมา ทั้งเปี่ยมสุขและแสนเศร้า Bertเขียนเพลงนี้มาเป็นกำลังใจให้กับทุกคน
ที่ไม่สามารถทำอะไรได้แบบเดิมเคยมาในช่วง ล็อกดาวน์
4. Marigold
กีตาร์โปร่งและเสียงเปียนโนเพราะๆ เคล้าคลอในเพลงให้เราหลงไหล
ยิ่งความหมายเพลงหวานหยดย้อย ยิ่งทำให้หลายคนนึกอิจฉาคนที่เป็นตัวแทนคำว่า "Marigold" ที่Bertเขียนให้
นี่คือเพลงรักเพลงแรกที่วงได้เขียนหลังจากได้ออกเดินทางมากว่า10ขวบปี
เพลงนี้Bertเขียนและแต่งให้กับแฟนสาวของเขา และเป็นกำลังใจให้กับคู่รักที่มีระยะความสัมพันธ์ห่างไกล แม้ตัวจะอยู่ที่ใกล แต่ใจฉันอยู่ที่เธอ
5. Made For More
ความกวนความห่ามคืออาวุธหนักของ Chunk! No และความหมายเพลงมีความเป็นโลกส่วนตัวสูง การอยู่กับตัวเองมากเกินไป
ความโดดเดี่ยวที่จะทำให้ใครหลายคนเป็นบ้า
สิ่งที่เป็นอาวุธที่จะใช้ต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่บ้าคลั่ง นั่นก็คือการคุมสติของเรานั่นเอง
6. True Colors
ไหนๆก็มีเพลงที่เบาและหวานที่สุดในอัลบัมแล้ว เรามาพูดถึงเพลงที่ริฟฟ์สวยที่สุดในอัลบัมกัน
หลังจากที่เก็บกดมาในเพลงที่แล้ว มาระบายมันไปในเพลงนี้
แน่นอนเป็นเพลงด่า ด่าในสันดานของคนตรงข้าม นี่คือความจริง นีคือสันดานที่แท้จริงของเธอ
และทิ้งท้ายไว้ เพลงนี่มีประโยคนึงจากเช็คสเปียร์ ลองค้นหากันดู
7. Good Luck
ยาที่แรงที่สุดคือยาขม แม้เพลงนี้จะเต็มไปด้วยการเสียดสีประชดประชัน แต่ก็แอบมีข้อคิดและคติในปรัชญาสั้นๆที่ว่าด้วยคำว่า "ช่างมัน"
8. Complete You
เป็นเวลา10ปีเต็มๆเลยนับตั้งแต่ชุดSomething for Nothingที่มีแขกรับเชิญมาร่วมร้อง
และเพลงนี้ก็ได้AJ Perdomoมือเบสนักร้องนำที่เป็นฮีโร่ของพวกเขามาช่วยเพิ่มสีสัน
The Dangerous Summer ยุบวงไปแล้วในช่วงเวลาสั้นๆและกลับมาอีกครั้งกับสองอัลบัมแบบปีชนปี
นอกจากได้AJมาแล้วยังได้Hugo Leeมาเป่าแซกโซโฟน เป็นการผสานระหว่างวงสองวงและดนตรีทั้งสองแนวทางได้ดี
เพลงนี้พูดถึงการจากลา การทำลายความสัมพันธ์ของสองคนด้วยความประนีประนอม มีความอ้อมค้อมความอุปมาอุปไมยพรรณาถึงสิ่งหลายอย่าง
ที่ไหลมาเป็นสายน้ำบรรจบที่ปลายทางการจากลงของคนทั้งสองคน
9. Blame It On This Song
เพลงแรกในอัลบัมที่วงได้ปล่อยออกมาในช่วงปี2016 ระหว่างVans Warped Tour นั่นเลย
เป็นเพลงที่เหมาะกับช่วงหน้าร้อน การออกไปเที่ยว ความห่ามน่ารักๆที่วงได้มี
ไม่ว่าอะไรจะผิดพลาดก็ตาม วางใจได้เลยทุกอย่างมันเป็นเพราะเพลงนี้นั่นแหละ
10. Painkillers
เสียงสังเคราะห์แบบเกมส์8bitในช่วง80'sถูกนำมาใช้เป็นอินโทรเพลงนี้
นับได้ว่าเป็นเพลงที่หนักหน่วงในเนื้อหาและด้านภาคดนตรีก็ว่าได้
นับเป็นอีกเพลงที่ใช้เป็นยาขม เพลงนี้ไม่ได้ต้องการที่จะช่วยใครแต่เป็นการแนะนำในแนวทางที่จะช่วยเหลือตัวเองไห้มากที่สุด
11. Tongue Tied (feat. Yvette Young of Covet)
อย่างที่บอกไป ไม่บ่อยนักที่พวกเขาจะได้มีโอกาสทำเพลงแบบนี้ และนี่ก็นับเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่วงปล่อยเพลงแบบนี้ออกมา
ได้สาวน้อยมหัศจรรย์Yvette YoungจากCovetโดยเธอคนนี้ทำหน้าที่ทั้งร้องคู่และไวโอลีนได้ดีทีเดียว
เพลงนี้กล่าวด้วยความสัมพันธ์รักของคู่รักที่ค่อนข้างซับซ้อนเล็กน้อย เป็นการอยู่ร่วมกันในความสัมพันธ์ต่างมุมมอง
เพลงนี้คือเพลงที่เบาที่สุดเท่าที่วงทำมาเลยก็ว่าได้
12. Fin.
มาถึงเพลงที่ผู้เขียนชอบที่สุดในอัลบัม
เห็นชื่อเพลงแล้วก็แอบใจหายไม่ได้ยิ่งนึกถึงชื่ออัลบัมนี้แล้วยิ่งเริ่มไม่แน่ใจว่าเราจะได้เห็นวงนี้อีกต่อไปไหม
ทั้งท่อนคอรัสที่ว่า
This is my soundtrack to the end
Singing along is how it all began
และพรีคอรัส
When life is like a movie that nobody will ever see
It ends with a beginning
While the credits are running
ยิ่งฟังยิ่งชวนใจหายไม่น้อย
เอาล่ะมาฟังอีกด้านมุมมองของเพลงนี้กันสักหน่อย
แม้ว่าจะเป็นเพลงเร็วที่เศร้า เพลงเศร้าที่เร็วที่แอบแฝงความหวานอมขมกลืนไม่น้อย
เอาเข้าจริงถึงแม้จะเป็นเพลงสุดท้ายในอัลบั้ม และอาจเป็นเพลงสุดท้ายของวง
เพลงนี้ได้เขียนเป็นเดโมมาตั้งแต่6ปีที่แล้วโดยเนื้อหาของเพลงได้รับแรงบัลดาลใจมาจากภาพยนต์เช่น The Wizard Of Oz และ Pulp Fiction
สิ่งที่ชอบที่สุดแน่นอนคือการเรียบเรียง เพลงนี้คือเพลงที่มีความเท่ห์ในทุกๆวินาทีที่เพลงนี้ได้
ทั้งช่วงที่มีการสครีมเป็นลูกส่งเสียงโซโล่กีตาร์ ก่อนที่จะค่อยๆเงียบเพลงลงอย่างช้าๆในช่วงOutroของเพลงกับเสียงของBert
ถ้าหากเพลงนี้จะเป็นเพลงสุดท้ายของพวกเค้าจริงๆ นี่คือการปิดตำนานที่โครตเท่ห์และสวยงามที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้อย่างสมศักดิ์ศรี
[REVIEW] Chunk! No, Captain Chunk! - Gone Are The Good Days (2021)
ห่างหายหน้าไปถึง6ปีเต็มๆในการออกอัลบัม นับเป็นเวลาที่ยาวนานมากเกินควรสำรับวงดาวรุ่งที่กำลังมีชื่อเสียงอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะพอดี
หลังจากออกอัลบัมGet Lost, Find Yourselfในปี2015 แน่นอนว่าแฟนๆชาวไทยได้ชื่นใจกันถ้วนหน้าเพราะวงได้มาเล่นสดที่ไทยเป็นครั้งแรก(และอาจเป็นครั้งเดียว)
บรรยากาศในวันนั้น หลายคนยังจำได้ดีเพราะนอกจากจะได้เล่นสดยังได้พูดคุยถ่ายรูปขอลายเซ็นพวกเขา นับได้ว่าเต็มอิ่มครบถ้วน ราวจะเป็นการสั่งลาซะงั้นแหละ
ที่ว่าวงห่างหายไปนานเกินควรก็คือวงได้ปล่อยSingleมาตั้งแต่ปี2016แล้วนั่นคือBlame It On This Song ตอนนั้นให้ความหวังแฟนๆว่าจะกลับมาออกอัลบัมในเร็ววัน
แต่แล้วก็วงก็ได้พักวงกันในปีเดียวกันนั่นเอง เหมือนกะจะโทษไปว่าเพราะเพลงนี้แหละเลยพักวงก่อน
ช่วงเวลาที่พักวงหลายคนในวงได้พักออกจากวงการดนตรีไปเลยก็จะมีแค่ Paul Cordebardที่แว่บไปโผล่กับวงLandmvrks โดยหมอนี่อัดทั้งกีตาร์และทัวร์ด้วย
แม้ว่าขาจะหักขาจะเป๋ก็ไม่หยุดความขยันของพี่แกได้
เอาเป็นว่าเข้าเรื่องกันเลยแล้วกัน Gone Are the Good Days คืออัลบัมเต็มๆชุดที่4ที่ออกกับบ้านหลังเดิมFearless Records
โดยอัลบัมนี้ไม่ได้ใช้บริการโปรดิวเซอร์ จากที่เคยมีทั้งKyle BlackและJoey Sturgisที่ได้มาฝากฝีไม้ลายมือไว้ในชุด2และ3
แกนนำหลักในการปรุงแต่งอัลบัมให้มีรสชาติดี Bert PoncetและBastien Lafayeโดยเป็นนักร้องและมือกลองของวงนั่นแหละคือกำลังสำคัญในการผลิตอัลบัมนี้ออกมา
นับว่าเป็นการกลับมาทำงานเบื้องหลังในรอบ10ปีเต็มๆของ Bertก็ว่าได้
Gone Are the Good Days ประโยคล้ำๆที่จะว่าเป็นความหมายด้านบวกและลบในคำๆเดียว ใครยังจำได้ดีในอัลบัมที่2ที่นับเป็นอัลบัมMaster Pieceของวง
จะมีคำว่า "used to be" ประโยคนี้นำมาเชื่อมต่อกับชื่ออัลบัมได้ดีเลยแหละ อดีตและคืนวันที่สวยงามยังคงสวยงามเสมอแม้ว่ามันจะจากไปตลอดกาล
เนื้อหาในอัลบัมที่มาจากปลายปากกา Bert Poncetมีควาาหลากหลายขึ้นมากนับจากอัลบัมก่อนเนื้อหามีสุขมีเศร้าแบบหวานอมขมกลืน มีความสนุกในชีวิตของวัยรุ่น มีคติสอนใจ
แถมไปด้วยปลายปากกาหวานๆที่จะว่าเป็นเพลงรักก็ว่าได้ นับเป็นอีกเพลงที่วงไม่ค่อยได้ทำออกมา
การร้องของBertลดการว้ากหรือสครีมลงไปพอควร เน้นการร้องคลีนแบบเมโลดีมา โดยยังคงมีการอัดร้องสองไลน์ซ้อนแบบธรรมดาและโมโนโทนเข้ามา
นับเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของพ่อหนุ่มคนนี้
มานับถึงแนวดนตรี ทางวงยังคงยืนพื้นในแนว easycore,pop punk สดใสซาบซ่าเป็นหลักโดยชุดนี้มีการไส่กีตาร์อคูสติกและเปียนโนลงไปด้วยเป็นสีสันใหม่ที่แปลกหูไปอีกแบบ
และแน่นอนว่ากีตาร์คู่ประสาน EricและPaulยังเข้ากันได้ดี ชอบการคิดริฟฟ์ของทั้งคู่มากๆ ถ้าจะนับในแนวeasycore ส่วนตัวคิดว่าทั้งคู่คือเบอร์1ของสายนี้จริงๆ
Track by Track
1. Bitter
ห่างหายไปถึง6ปีจะกลับมาพร้อมเพลงช้าๆก็ใช่เรื่อง มันต้องเป็นเพลงเร็วแบบนี้แหละดี
เพลงนี้มีความครบถ้วนในแบบที่easycoreควรมี ทั้งท่อนเบรคดาวน์กระเดื่องคู่ ท่อนว้ากและแน่นอนท่อนฮุคคอรัสยังเป็นไม้เด็ดของพวกเขาเช่นเคย
เพลงนี้ฉลองการกลับมาด้วยการทำเป็นMV โดยจะเป็นบันทึกการเดินทางของพวกเขาในที่ต่างๆทั่วโลกที่พวกเขาเคยไป(เสียดายไม่มีบ้านเรา)
และหลายสิ่งทำให้นึกถึง Restartในชุด Pardon My French ที่เรายังจำได้ดี
2. Drift Away
ริฟฟ์กีตาร์กวนๆผสานกับเสียงกีตาร์โปร่งยังทำงานร่วมกันได้ดี
เพลงนี้เป็นเพลงโจ๊ะๆที่มีความกวนในแบบฉบับPop punk
เอาเข้าจริงก็นึกถึงวง Pop punkรุ่นพี่ในช่วง90's-2000'sที่เป็นแรงบัลดาลใจให้กับพวกเขา
ถึงแม้เพลงจะออกสนุกไม่เศร้า แต่ก็แฝงเนื้อเพลงแอบน้อยใจเอาไว้นิดหน่อย
เอาน่าแม้ว่าจะไม่เห็นหน้าได้ยินกันนาน ก็อย่างพึ่งลืมกันไปง่ายๆนะ
3. Gone Are The Good Days
นึกไปถึงอดีตที่วัยเยาว์ที่เราทำอะไรเต็มที่โดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ไม่มีคำว่าเสียดายอยู่ในพจนานุกรม
Oh let's try to get back to where we started
Yeah 'cause this is all we ever wanted
เพลงนี้เปี่ยมไปด้วยความทรงจำที่ผ่านมา ทั้งเปี่ยมสุขและแสนเศร้า Bertเขียนเพลงนี้มาเป็นกำลังใจให้กับทุกคน
ที่ไม่สามารถทำอะไรได้แบบเดิมเคยมาในช่วง ล็อกดาวน์
4. Marigold
กีตาร์โปร่งและเสียงเปียนโนเพราะๆ เคล้าคลอในเพลงให้เราหลงไหล
ยิ่งความหมายเพลงหวานหยดย้อย ยิ่งทำให้หลายคนนึกอิจฉาคนที่เป็นตัวแทนคำว่า "Marigold" ที่Bertเขียนให้
นี่คือเพลงรักเพลงแรกที่วงได้เขียนหลังจากได้ออกเดินทางมากว่า10ขวบปี
เพลงนี้Bertเขียนและแต่งให้กับแฟนสาวของเขา และเป็นกำลังใจให้กับคู่รักที่มีระยะความสัมพันธ์ห่างไกล แม้ตัวจะอยู่ที่ใกล แต่ใจฉันอยู่ที่เธอ
5. Made For More
ความกวนความห่ามคืออาวุธหนักของ Chunk! No และความหมายเพลงมีความเป็นโลกส่วนตัวสูง การอยู่กับตัวเองมากเกินไป
ความโดดเดี่ยวที่จะทำให้ใครหลายคนเป็นบ้า
สิ่งที่เป็นอาวุธที่จะใช้ต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่บ้าคลั่ง นั่นก็คือการคุมสติของเรานั่นเอง
6. True Colors
ไหนๆก็มีเพลงที่เบาและหวานที่สุดในอัลบัมแล้ว เรามาพูดถึงเพลงที่ริฟฟ์สวยที่สุดในอัลบัมกัน
หลังจากที่เก็บกดมาในเพลงที่แล้ว มาระบายมันไปในเพลงนี้
แน่นอนเป็นเพลงด่า ด่าในสันดานของคนตรงข้าม นี่คือความจริง นีคือสันดานที่แท้จริงของเธอ
และทิ้งท้ายไว้ เพลงนี่มีประโยคนึงจากเช็คสเปียร์ ลองค้นหากันดู
7. Good Luck
ยาที่แรงที่สุดคือยาขม แม้เพลงนี้จะเต็มไปด้วยการเสียดสีประชดประชัน แต่ก็แอบมีข้อคิดและคติในปรัชญาสั้นๆที่ว่าด้วยคำว่า "ช่างมัน"
8. Complete You
เป็นเวลา10ปีเต็มๆเลยนับตั้งแต่ชุดSomething for Nothingที่มีแขกรับเชิญมาร่วมร้อง
และเพลงนี้ก็ได้AJ Perdomoมือเบสนักร้องนำที่เป็นฮีโร่ของพวกเขามาช่วยเพิ่มสีสัน
The Dangerous Summer ยุบวงไปแล้วในช่วงเวลาสั้นๆและกลับมาอีกครั้งกับสองอัลบัมแบบปีชนปี
นอกจากได้AJมาแล้วยังได้Hugo Leeมาเป่าแซกโซโฟน เป็นการผสานระหว่างวงสองวงและดนตรีทั้งสองแนวทางได้ดี
เพลงนี้พูดถึงการจากลา การทำลายความสัมพันธ์ของสองคนด้วยความประนีประนอม มีความอ้อมค้อมความอุปมาอุปไมยพรรณาถึงสิ่งหลายอย่าง
ที่ไหลมาเป็นสายน้ำบรรจบที่ปลายทางการจากลงของคนทั้งสองคน
9. Blame It On This Song
เพลงแรกในอัลบัมที่วงได้ปล่อยออกมาในช่วงปี2016 ระหว่างVans Warped Tour นั่นเลย
เป็นเพลงที่เหมาะกับช่วงหน้าร้อน การออกไปเที่ยว ความห่ามน่ารักๆที่วงได้มี
ไม่ว่าอะไรจะผิดพลาดก็ตาม วางใจได้เลยทุกอย่างมันเป็นเพราะเพลงนี้นั่นแหละ
10. Painkillers
เสียงสังเคราะห์แบบเกมส์8bitในช่วง80'sถูกนำมาใช้เป็นอินโทรเพลงนี้
นับได้ว่าเป็นเพลงที่หนักหน่วงในเนื้อหาและด้านภาคดนตรีก็ว่าได้
นับเป็นอีกเพลงที่ใช้เป็นยาขม เพลงนี้ไม่ได้ต้องการที่จะช่วยใครแต่เป็นการแนะนำในแนวทางที่จะช่วยเหลือตัวเองไห้มากที่สุด
11. Tongue Tied (feat. Yvette Young of Covet)
อย่างที่บอกไป ไม่บ่อยนักที่พวกเขาจะได้มีโอกาสทำเพลงแบบนี้ และนี่ก็นับเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่วงปล่อยเพลงแบบนี้ออกมา
ได้สาวน้อยมหัศจรรย์Yvette YoungจากCovetโดยเธอคนนี้ทำหน้าที่ทั้งร้องคู่และไวโอลีนได้ดีทีเดียว
เพลงนี้กล่าวด้วยความสัมพันธ์รักของคู่รักที่ค่อนข้างซับซ้อนเล็กน้อย เป็นการอยู่ร่วมกันในความสัมพันธ์ต่างมุมมอง
เพลงนี้คือเพลงที่เบาที่สุดเท่าที่วงทำมาเลยก็ว่าได้
12. Fin.
มาถึงเพลงที่ผู้เขียนชอบที่สุดในอัลบัม
เห็นชื่อเพลงแล้วก็แอบใจหายไม่ได้ยิ่งนึกถึงชื่ออัลบัมนี้แล้วยิ่งเริ่มไม่แน่ใจว่าเราจะได้เห็นวงนี้อีกต่อไปไหม
ทั้งท่อนคอรัสที่ว่า
This is my soundtrack to the end
Singing along is how it all began
และพรีคอรัส
When life is like a movie that nobody will ever see
It ends with a beginning
While the credits are running
ยิ่งฟังยิ่งชวนใจหายไม่น้อย
เอาล่ะมาฟังอีกด้านมุมมองของเพลงนี้กันสักหน่อย
แม้ว่าจะเป็นเพลงเร็วที่เศร้า เพลงเศร้าที่เร็วที่แอบแฝงความหวานอมขมกลืนไม่น้อย
เอาเข้าจริงถึงแม้จะเป็นเพลงสุดท้ายในอัลบั้ม และอาจเป็นเพลงสุดท้ายของวง
เพลงนี้ได้เขียนเป็นเดโมมาตั้งแต่6ปีที่แล้วโดยเนื้อหาของเพลงได้รับแรงบัลดาลใจมาจากภาพยนต์เช่น The Wizard Of Oz และ Pulp Fiction
สิ่งที่ชอบที่สุดแน่นอนคือการเรียบเรียง เพลงนี้คือเพลงที่มีความเท่ห์ในทุกๆวินาทีที่เพลงนี้ได้
ทั้งช่วงที่มีการสครีมเป็นลูกส่งเสียงโซโล่กีตาร์ ก่อนที่จะค่อยๆเงียบเพลงลงอย่างช้าๆในช่วงOutroของเพลงกับเสียงของBert
ถ้าหากเพลงนี้จะเป็นเพลงสุดท้ายของพวกเค้าจริงๆ นี่คือการปิดตำนานที่โครตเท่ห์และสวยงามที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้อย่างสมศักดิ์ศรี