[รีวิวหนัง] Sonic The Hedgehog 2: ภาคต่อเจ้าเม่นสีฟ้าที่ทะเยอทะยานกว่าเดิมเป็นเท่าตัว

เป็นภาคต่อที่ไม่ต้องรอนานสำหรับ Sonic The Hedgehog 2 ที่ทิ้งห่างจากภาคแรกเพียง 2 ปี จากจุดเริ่มต้นที่อาจจะดูไม่ค่อยสวยนัก เมื่อตัวอย่างแรกของภาคแรกถูกปล่อยออกมา เจ้าเม่นสีฟ้าเวอร์ชั่นแรกก็ถูกแฟนๆ ถล่มต่อว่าจนแทบหาทางกลับบ้านไม่เจอ ด้วยความตั้งใจของผู้กำกับที่ต้องการให้โซนิคเวอร์ชั่นนี้มีความสมจริงมากที่สุด แต่ไม่ว่ามองมุมไหนมันก็ดูพลึกและออกไปทางน่ากลัวด้วยซ้ำ ทำให้ พาราเมาต์ พิกเจอร์ส ยอมทุ่มเงินเพิ่มอีก 5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อแก้ไขเจ้าเม่นให้ออกมาถูกใจแฟนๆที่สุด โดยต้องใช้เวลากว่า 5 เดือนในการรื้อเจ้าเม่นตัวเดิมที่ทำเสร็จไปแล้วทั้งหมด จนในที่สุดก็ได้ออกมาเป็นโซนิคแบบที่เราเห็นกันในภาคแรกนั่นเอง ซึ่งก็ต้องบอกว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่ทางค่ายยอมเคารพในเสียงของแฟนๆ เพราะหนังทำรายได้ทั่วโลกไป 320 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้างราวๆ 90 ล้านเหรียญฯ และมีภาคต่อออกมาให้เราได้ชม ซึ่งก็น่าคิดว่าหากพาราเมาต์ดื้อดึงที่จะฉายเจ้าเม่นแบบแรกโดยไม่ฟังเสียงค้านของแฟนๆ โซนิคเวอร์ชั่นนี้ก็คงดับอนาจที่ภาคแรกแบบไม่ต้องสืบ

  Sonic The Hedgehog 2 เล่าต่อเนื่องจากภาคที่แล้ว หลังจากส่ง ดร. โรบอตนิก (Jim Carrey) ไปอยู่ดาวเห็ดอันไกลโพ้นในภาคแรก โซนิค (พากษ์เสียงโดย Ben Schwartz) ก็มาอาศัยอยู่กับ "ทอม" นายอำเภอเมืองกรีนฮิลล์ (Green Hills) และ "แมดดีย์" (Tika Sumpter) แฟนสาวของทอม ซึ่งทั้งคู่เป็นทั้งเพื่อนและครอบครัวของเขา โดยโซนิคใช้ชีวิตประจำวันอย่างสงบสุข หรือบางครั้งก็เป็นฮีโร่ช่วยเหลือผู้คนในเมืองใหญ่ แต่ก็สร้างความซวยมากกว่าช่วยเหลือ จนกระทั่งวันหนึ่ง ทอมกับแมดดีย์ต้องเดินทางไปงานแต่งงานของ "ราเชล" (Natasha Rothwell) ผู้เป็นพี่สะใภ้ โซนิคที่เฝ้าบ้านอยู่คนเดียวได้ถูก ดร. โรบอตนิก และ "นักเคิลส์" (พากษ์เสียงโดย Idris Elba) เม่นสีแดงนักรบเผ่าอีคิดนาที่มาพร้อมกับหมัดอันทรงพลังเพื่อต่อกรกับโซนิคโดยเฉพาะ และทั้งคู่ยังตามหา มรกตในตำนาน (Emerald) ที่จะมอบพลังอันมหาศาลให้กับผู้ครอบครอง โซนิคจึงต้องหยุด ดร. โรบอตนิก และนักเคิลส์ ก่อนที่ทั้งคู่จะได้มรกตนี้ไป และงานนี้โซนิคมีคู่หูใหม่อย่าง "เทลส์" (พากษ์เสียงโดย Collen O’Shanussy) จิ้งจอกสองหางสุดน่ารักที่มาพร้อมกับความสามารถในการบินและประดิษฐ์อุปกรณ์ไฮเทคที่จะช่วยโซนิคกอบกู้โลกอีกแรง

  ยอมรับว่า ผู้กำกับ Jeff Fowler เข้าใจการดัดแปลงภาพยนตร์จากวิดีโอเกมอย่างทะลุปรุโปร่งและเข้าใจผู้ชมว่า ผู้ชมต้องการอะไร อยากเห็นอะไร จากการดัดแปลงนี้ แถมยังใส่ความเป็นตัวเองเข้าไปได้อีกต่างหาก เป็นอีกคนที่ลบคำสาปว่าด้วยภาพยนตร์จากวิดีโอเกมที่มักจะล้มเหลวได้อย่างหมดจด ถ้าว่าภาคแรกดีแล้วภาคนี้ก็ดียิ่งไปอีก ด้วยการให้คนดูเห็นสิ่งที่อยากเห็นอย่างการปรากฏตัวของนักเคิลส์และเทลส์ที่ยอมรับว่า ทำให้เรื่องสนุกขึ้นกว่าภาคที่แล้วหลายขุม หรือตัวร้ายอย่าง ดร.โรโบนิคก็ดูจะไปได้จนสุดทางกว่าเดิมด้วย นอกจากนั้นยังหยิบกิมมิคจากเกมต้นฉบับที่แฟนเกมเห็นแล้ว ต้องรู้สึกเหมือนเจอเพื่อนเก่า เช่น เฮลิคอปเตอร์สีแดงที่เทลส์ขับจากเกม SONIC The Hedgehog 2 หรือจะเป็นยานรูปไข่ของ ดร.โรโบนิค ที่ทำให้เขาได้รับฉายา Eggman ก็ปรากฏในเรื่องด้วยเช่นกัน และการปรากฏตัวของตัวละครในฉากคั่นเครดิตก็ดูเหมือนจะได้แรงบันดาลใจจากอนิเมชั่น Sonic X พอสมควร หากใครเคยดู Sonic X (มีให้ดูใน Netflix) จะรู้สึกคุ้นๆกับหลายๆอย่างในเรื่องเลยด้วย

  ด้านการเล่าเรื่องที่เรียบง่าย ฉับไว เป็นเส้นตรงไม่มีอะไรซับซ้อน หยอดมุกตลกบางตามรายทาง(ส่วนใหญ่ก็ดูจะเข้าเส้นดีซะด้วย) ตัวเนื้อเรื่องเองก็เป็นมิตรกับเด็ก ไม่มีฉากความรุนแรง(ไม่มีใครตาย) หรือความยากในการตามหาอัญมณีมรกตก็แทบจะเป็นศูนย์ คาแรคเตอร์ตัวละครก็ดูไม่ได้มีมิติอะไร บางทีก็สอนใจกันโต้งๆ ตรรกะการตัดสินใจของตัวละครก็ดูจะง่อนแง่นและบ้าบอ แต่ทำไมตัวหนังกลับไม่ทำให้คนดูรู้สึกเบื่อหรือตั้งแง่กับตัวหนังเลย ยิ่งไปกว่านั้นเรายังรู้สึกสนุกและเอาใจช่วยตัวละครหลักอย่าง โซนิค เทลส์ และนักเคิลส์ และพร้อมจะหมั่นไส้ ดร.โรโบนิค อย่างสุดๆ แม้ว่าสามตัวละครแรกจะเป็นเพียงภาพคอมพิวเตอร์กราฟฟิกที่ถูกสร้างขึ้นมาร้อยเปอร์เซนต์ก็ตาม นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมโซนิคเวอร์ชั่นนี้ถึงประสบความสำเร็จก็ได้ (พาลทำให้นึกถึง Godzilla vs. Kong ที่ไม่ต้องมีมนุษย์เลย)

  แต่กระนั้นจุดอ่อนหนึ่งที่พอจะสังเกตได้จากภาคนี้ คือ ในภาคแรกตัวละครฝั่งมนุษย์ ทอมและแมดดีย์ ยังพอมีบทบาทในฐานะเพื่อนหรือคู่หู ได้ปฏิบัติการต่อสู้ร่วมกับโซนิค แต่พอภาคนี้เมื่อมีเทลส์และนักเคิลส์เข้ามา บทบาทฝั่งมนุษย์ก็ดูจะลดน้อยลงไปอีก ซึ่งหนังก็รู้ตัวในจุดนี้ และพยายามสร้างเหตุการณ์ที่มนุษย์จะเข้าไปมีส่วนร่วม แต่ผลลัพธ์กลับดูเหมือนจับยัดและเป็นส่วนเกินซะมากกว่า เพราะเพียงแค่ โซนิค เทลส์ นักเคิลส์ และ ดร.โรโบนิค ก็แทบจะพาหนังทั้งเรื่องไปได้ตลอดรอดฝั่งแล้ว (พาลทำให้นึกถึง Godzilla vs. Kong ที่บทบาทฝั่งมนุษย์เลยก็แทบไม่จำเป็นเหมือนกัน)

งานด้านภาพก็ต้องบอกว่า มีสเกลที่ใหญ่ขึ้นจากภาคที่แล้วพอสมควร มีฉากใหญ่ๆ หลายฉาก เช่น ฉากวิหารใต้ทะเล ฉากซิ่งสกีลงจากภูเขาหิมะ หรือฉากต่อสู้กับไจแอนด์โรบอทของ ดร.โรโบนิค ตอนท้ายเรื่อง ที่ล้วนแล้วแต่สาแก่ใจคนดูแน่นอน ความมันส์ไม่แพ้หนังใหญ่ๆของมาร์เวลเลยทีเดียวแต่ที่ประทับใจมาก คือ ความมีชีวิตชีวาของเหล่าตัวละครหลัก แม้ว่าพวกเขาจะถูกสร้างจากคอมพิวเตอร์ แต่ทีมงานก็สามารถสร้างความกลมกลืนระหว่างตัวละครเหล่านี้กับมนุษย์ได้อย่างน่าพึงพอใจ เสมือนกับว่าพวกเขามีตัวตนอยู่จริงๆ (ส่วนตัวชอบเทลส์ หางน้องดูนุ่มน่ากอดมาก)

  ด้านตัวละคร ถ้าไม่นับ โซนิค เทลส์ และนักเคิลส์ คนที่ควรจะได้รับความชื่นชมอย่างที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้น Jim Carrey หรือ ดร.โรโบนิค ที่ถ่ายทอดความยียวนกวนประสาท ติ๊งต๊อง บ้าบอ เอาแน่เอานอนไม่ได้ ตามสไตล์อัจฉริยะสุดเพี้ยนที่เห็นกันในการ์ตูนบ่อยๆ ซึ่งแม้จะผิดวิสัยของมนุษย์แต่เมื่ออยู่ในหนังเรื่องนี้แล้ว มันดูลงตัวสุดๆไปเลย ถ้าตามที่ประกาศว่าจิมจะรีไทล์ชีวิตนักแสดงโดยมีบท ดร.โรโบนิค เป็นการแสดงหนังเรื่องสุดท้ายก็ต้องบอกว่าเป็นการจากลาที่น่าจดจำมากทีเดียว แอบอยากให้เขากลับมารับบทนี้อีกในภาคหน้า เพราะคิดไม่ออกว่า ถ้าไม่ใช่จิม แครี่ แล้วใครจะเข้าถึงบทนี้ได้มากกว่าเขา

  สรุป Sonic The Hedgehog 2 เป็นภาคต่อที่ไปได้ไกลกว่าภาคแรกมาก ความดีงามที่มีในภาคแรกถูกขยายในภาคนี้จนคับแก้ว ซึ่งดูแล้วอนาคตของโซนิคฉบับนี้น่าจะไปได้ไกลเกิน 3 ภาคด้วยซ้ำ ต้องรอดูกันต่อไป

ฝากเพจ Story Decoder ด้วยนะครับ แวะไปเยี่ยมชมกันได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่