คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
มูดี้ส์' คงอันดับความน่าเชื่อถือไทยที่ 'Baa1

"มูดี้ส์" คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ "Baa1" และมุมมองความน่าเชื่อถือที่ระดับมีเสถียรภาพ ชี้เศรษฐกิจไทยมีกิจกรรมเศรษฐกิจขนาดใหญ่รองรับ Economic Shock ได้
วันที่ 24 ส.ค. 2564 นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กล่าวว่า บริษัท Moody’s Investors Service (มูดี้ส์) ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ Baa1 หรือเทียบเท่า BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) ที่ระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ประเทศไทยมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่และหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ที่ได้รับการพัฒนาเป็นอย่างดี และอุตสาหกรรมส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนประเทศไทยยังเป็นฐานของเกษตรกรรมและการท่องเที่ยวที่โดดเด่นและมีชื่อเสียง อีกทั้งการจ้างงาน รายได้และผลที่เกิดจากการกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้ประเทศไทยมีความสามารถที่จะรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงได้ (Economic Shock) และฐานการเงินภาครัฐที่แข็งแกร่งทำให้มีพื้นที่ทางการคลังที่รองรับแรงกระทบจาก Economic Shock ได้
นอกจากนี้ มูดี้ส์คาดว่า การลงทุนในโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จะช่วยเพิ่มการลงทุนของภาคเอกชนและอุปสงค์ภายในประเทศในระยะ 2–3 ปีข้างหน้า และการลงทุนในโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยจะดึงดูดธุรกิจใหม่และเทคโนโลยีสมัยใหม่ และเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตของประเทศ
อย่างไรก็ดี แม้ว่าในระยะสั้น เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 แต่มูดี้ส์คาดว่า เศรษฐกิจไทยปี 2564 และ ปี 2565 จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ร้อยละ 2 และร้อยละ 5.8 ตามลำดับ เนื่องจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวไทยและเศรษฐกิจโลก และในระยะยาว การระบาดของโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในวงจำกัด
2. ภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) ของประเทศไทยมีความแข็งแกร่งมาก เป็นผลจากนโยบายและการบริหารจัดการทางการคลังที่โปร่งใส รอบคอบและเป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 และพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม อีกทั้งหนี้ภาครัฐบาล (General Government Debt) มีอายุเฉลี่ย (Average Time to Maturity: ATM) ค่อนข้างยาว คือ 11 ปี มีหนี้ระยะสั้น (Short–Term Debt) อยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 8 และมีสัดส่วนหนี้ภาครัฐบาลสกุลเงินต่างประเทศอยู่ในระดับต่ำมาก (น้อยกว่าร้อยละ 2)
เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกัน (Baa peers) เช่น อินเดีย ฮังการี เม็กซิโก คาซัคสถาน อินโดนีเซีย โคลอมเบีย ฟิลิปปินส์ บัลกาเรีย และปานามา เป็นต้น ที่มีค่ากลางของหนี้สกุลเงินต่างประเทศอยู่ที่ประมาณร้อยละ 30 นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีความสามารถในการชำระหนี้อยู่ในระดับสูง (High Debt Affordability)
3. ภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) มีความเข้มแข็ง ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูงและสามารถนำมาใช้สนับสนุนการดำเนินมาตรการเพิ่มเติมในอนาคต อีกทั้งนโยบายการเงินมีประสิทธิภาพโดยสามารถคงอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำและมีเสถียรภาพ
ทั้งนี้ สำหรับปัจจัยสำคัญที่จะทำให้มูดี้ส์ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ของประเทศไทย คือ ความสำเร็จของการดำเนินนโยบายเพื่อเพิ่มศักยภาพ ประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง อาทิ ปัญหาโครงสร้างประชากรสูงอายุ (Ageing Population) และปัญหาขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ (Labor Skills)
ขณะเดียวกัน ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้มูดี้ส์ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย คือ ปัจจัยทางการเมืองที่อาจจะส่งผลต่อการกำหนดนโยบายเพื่อการพัฒนาในระยะยาว การชะลอตัวของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) และกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจและภาคการคลังของประเทศ
https://www.bangkokbiznews.com/business/956335
เรื่องเศรษฐกิจมีมูดี้ส์รับประกันให้ว่ายังดี อ่านด้วยล่ะ...นางป้าฝ้า

"มูดี้ส์" คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ "Baa1" และมุมมองความน่าเชื่อถือที่ระดับมีเสถียรภาพ ชี้เศรษฐกิจไทยมีกิจกรรมเศรษฐกิจขนาดใหญ่รองรับ Economic Shock ได้
วันที่ 24 ส.ค. 2564 นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กล่าวว่า บริษัท Moody’s Investors Service (มูดี้ส์) ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ Baa1 หรือเทียบเท่า BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) ที่ระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ประเทศไทยมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่และหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ที่ได้รับการพัฒนาเป็นอย่างดี และอุตสาหกรรมส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนประเทศไทยยังเป็นฐานของเกษตรกรรมและการท่องเที่ยวที่โดดเด่นและมีชื่อเสียง อีกทั้งการจ้างงาน รายได้และผลที่เกิดจากการกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้ประเทศไทยมีความสามารถที่จะรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงได้ (Economic Shock) และฐานการเงินภาครัฐที่แข็งแกร่งทำให้มีพื้นที่ทางการคลังที่รองรับแรงกระทบจาก Economic Shock ได้
นอกจากนี้ มูดี้ส์คาดว่า การลงทุนในโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จะช่วยเพิ่มการลงทุนของภาคเอกชนและอุปสงค์ภายในประเทศในระยะ 2–3 ปีข้างหน้า และการลงทุนในโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยจะดึงดูดธุรกิจใหม่และเทคโนโลยีสมัยใหม่ และเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตของประเทศ
อย่างไรก็ดี แม้ว่าในระยะสั้น เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 แต่มูดี้ส์คาดว่า เศรษฐกิจไทยปี 2564 และ ปี 2565 จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ร้อยละ 2 และร้อยละ 5.8 ตามลำดับ เนื่องจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวไทยและเศรษฐกิจโลก และในระยะยาว การระบาดของโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในวงจำกัด
2. ภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) ของประเทศไทยมีความแข็งแกร่งมาก เป็นผลจากนโยบายและการบริหารจัดการทางการคลังที่โปร่งใส รอบคอบและเป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 และพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม อีกทั้งหนี้ภาครัฐบาล (General Government Debt) มีอายุเฉลี่ย (Average Time to Maturity: ATM) ค่อนข้างยาว คือ 11 ปี มีหนี้ระยะสั้น (Short–Term Debt) อยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 8 และมีสัดส่วนหนี้ภาครัฐบาลสกุลเงินต่างประเทศอยู่ในระดับต่ำมาก (น้อยกว่าร้อยละ 2)
เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกัน (Baa peers) เช่น อินเดีย ฮังการี เม็กซิโก คาซัคสถาน อินโดนีเซีย โคลอมเบีย ฟิลิปปินส์ บัลกาเรีย และปานามา เป็นต้น ที่มีค่ากลางของหนี้สกุลเงินต่างประเทศอยู่ที่ประมาณร้อยละ 30 นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีความสามารถในการชำระหนี้อยู่ในระดับสูง (High Debt Affordability)
3. ภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) มีความเข้มแข็ง ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูงและสามารถนำมาใช้สนับสนุนการดำเนินมาตรการเพิ่มเติมในอนาคต อีกทั้งนโยบายการเงินมีประสิทธิภาพโดยสามารถคงอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำและมีเสถียรภาพ
ทั้งนี้ สำหรับปัจจัยสำคัญที่จะทำให้มูดี้ส์ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ของประเทศไทย คือ ความสำเร็จของการดำเนินนโยบายเพื่อเพิ่มศักยภาพ ประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง อาทิ ปัญหาโครงสร้างประชากรสูงอายุ (Ageing Population) และปัญหาขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ (Labor Skills)
ขณะเดียวกัน ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้มูดี้ส์ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย คือ ปัจจัยทางการเมืองที่อาจจะส่งผลต่อการกำหนดนโยบายเพื่อการพัฒนาในระยะยาว การชะลอตัวของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) และกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจและภาคการคลังของประเทศ
https://www.bangkokbiznews.com/business/956335
เรื่องเศรษฐกิจมีมูดี้ส์รับประกันให้ว่ายังดี อ่านด้วยล่ะ...นางป้าฝ้า
แสดงความคิดเห็น
💜มาลาริน/มีสนามบินก็ต้องมีการบินค่ะ..ได้ข้อสรุปแล้ว นกแอร์บิน ‘เบตง’ เริ่ม 29 เม.ย. ททท.ควักหนุนค่าตั๋วที่นั่งละพัน
ข้อสรุปแล้ว นกแอร์เปิดบินดอนเมือง-เบตง 29 เม.ย. นี้ เคาะราคาตั๋วไปกลับ 6,300 บาท ททท.อุดหนุนที่นั่งละ 1,000 บาท ผู้โดยสารจ่าย 5,300 บาท สมาคมท่องเที่ยวการันตี 60 ที่นั่งต่อเที่ยว พร้อมวางโปรแกรมทัวร์รองรับ ขั้นต่อไปดึงเครื่องบินเล็กเชื่อม 3 เหลี่ยมเศรษฐกิจ
นายนรินทร์ เรืองวงศา อุปนายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวอำเภอเบตงเปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ได้รับการยืนยันชัดเจนแล้วว่า สายการบินนกแอร์จะเริ่มเปิดทำการบินเชิงพาณิชย์ดอนเมือง-เบตง ตั้งแต่วันที่ 29 เมษายน 2565 นี้เป็นต้นไป
โดยทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จะเข้ามาชดเชยส่วนต่างราคาตั๋ว 1,000 บาทต่อ 1 ที่นั่งจำนวน 60 ที่นั่งทุกเที่ยวบิน ซึ่ง 60 ที่นั่งเป็นการรับประกันที่นั่งของภาคธุรกิจท่องเที่ยว บินสัปดาห์ละ 3 วัน คือ จันทร์-พุธ-ศุกร์
นายนรินทร์ กล่าวอีกว่า สำหรับราคาตั๋วโดยสารที่สายการบินนกแอร์กำหนด ดอนเมือง-เบตง-ดอนเมือง (ไป-กลับ) อยู่ที่ 6,300 บาทต่อคน บวกกับค่าธรรมเนียม-ค่าสัมภาระกระเป๋า 10 กิโลกรัม และทางททท.เข้ามาสนับสนุนชดเชยส่วนต่างให้ 1,000 บาท ทำให้ราคาค่าตั๋วที่ผู้โดยสารต้องจ่ายอยู่ 5,300 บาทต่อ คน (ไป-กลับ) ซึ่งตัวเลขนี้ชัดเจนแล้ว ไม่มีปัญหาทุกอย่างลงตัว
หลังจากที่ชัดเจนว่า สายการบินนกแอร์จะเปิดบินดอนเมือง-เบตงในวันที่ 29 เมษายน 2565 เป็นต้นไปตอนนี้ทางผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว ก็ได้ทำโปรแกรมทัวร์กันแล้ว โดยตอนนี้ภาคธุรกิจท่องเที่ยว ได้มีการวางโปรแกรมท่องเที่ยว โดยจะเริ่มบินวันที่ 27 เมษายน 2565 มาลงที่สนามบินหาดใหญ่ แล้วต่อรถเข้าไปเที่ยวที่เบตง เพื่อให้วันที่ 29 เมษายน 2565 เขาจะมีทัวร์บินกลับจากเบตง-ดอนเมืองในเที่ยวบินแรก
ทั้งนี้ เงื่อนไขของสายการบินนกแอร์ก็คือ ให้ภาคธุรกิจท่องเที่ยวรับประกันที่นั่ง 60 ที่นั่งต่อเที่ยว จากจำนวนที่นั่ง 86 ที่นั่งทุกเที่ยวบิน
อุปนายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวอำเภอเบตง กล่าวอีกว่า เมื่อมีความชัดเจนเรื่องการบินดอนเมือง-เบตงที่จะเริ่มในวันที่ 29 เมษายน 2565 นี้แล้ว สิ่งที่ได้มีการประชุมกับท่านรัฐมนตรีท่องเที่ยวและกีฬา (นายพิพัฒน์รัชกิจประการ) ว่า ในอนาคตอาจจะมีหารือเรื่องการบินเชื่อมเส้นทางระหว่างประเทศ ในโครงการสมเหลี่ยมเศรษฐกิจ(อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย)
เนื่องจากในประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซีย ก็มีเครื่องบินขนาดเล็กเหมือนกัน ซึ่งสามารถบินมาลงที่สนามบินเบตงได้ ซึ่งเป็นเครื่องบินแบบใบพัดสำหรับการบินระยะสั้น
“สำหรับการบินระหว่างประเทศในพื้นที่โครงการสามเหลี่ยมเศรษฐกิจซึ่งหากเป็นไปได้ก็จะเป็นการเพิ่มจำนวนผู้โดยสารของสนามบินเบตง” อุปนายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวอำเภอเบตงกล่าว
สนามบินเบตง อำเภอใต้สุดของไทย สร้างเสร็จมา 2-3 ปี ท่าม กลางเสียงเรียกร้องให้เปิดเที่ยวบินประจำเชิงพาณิชย์มานาน แต่ก็ไม่ลงตัวเสียที ในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ร่วมเดินทางเที่ยวบินปฐมฤกษ์ เมื่อ 14 มีนาคม 2564
ถัดมาเพียงวันเดียวนกแอร์ก็ประกาศยกเลิกเที่ยวบินวันที่ 16 มีนาคม 2565 เพื่อปรับปรุงแผนการตลาดใหม่ เนื่องจากมีผู้จองตั๋วในเที่ยวบินดังกล่าวเพียง 3 ที่นั่ง จากทั้งหมด 86 ที่นั่ง ไม่คุ้มเปิดการบิน
ทำให้ผู้เกี่ยวข้องฝ่ายต่างๆ หา รือด่วนเพื่อร่วมกันหาทางให้นกแอร์เปิดบินเชิงพาณิชย์ประจำสัปดาห์ละ 3 วันจนได้ข้อสรุปข้างต้น และช่วยให้การท่องเที่ยวเป็นอีกสาขาขับเคลื่อนเศรษฐกิจพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้
สนามบินหาดใหญ่ค่อยฟื้นสู่ความคึกคักเช่นกัน นายสมพล ชีว-วัฒนพงศ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดสงขลา เปิดเผยว่า ในเดือนเมษายน 2565 นี้ จะมีเที่ยวบินระหว่างประเทศกลับมาบินสนามบินหาดใหญ่ประกอบด้วย
วันที่ 13 เมษายน 2565 สายการบินแอร์เอเชีย จะเปิดทำการบิน เส้นทาง กัวลาลัมเปอร์-หาดใหญ่-กัวลาลัมเปอร์ สัปดาห์ละ 3 เที่ยว (จันทร์-พุธ-ศุกร์) และวันที่ 25 เมษายน 2565 สายการบินสกู๊ตแอร์จะเปิดทำการบินเส้นทาง สิงคโปร์-หาดใหญ่-สิงคโปร์ สัปดาห์ละ 3 เที่ยว(อังคาร-พฤหัสบดี-เสาร์)
“การเปิดเส้นทางบินเข้ามาจะเป็นผลบวกกับจังหวัดสงขลา นักท่องเที่ยวมาเลเซียและสิงคโปร์คงจะค่อยๆกลับมาจนเข้าสู่ภาวะปกติ ภายใน 3 เดือน พอถึงกรกฎาคมก็ค่อยดีขึ้นสำหรับการท่องเที่ยวจังหวัดสงขลา” นายสมพลกล่าวอย่างมีความหวัง
สมชาย สามารถ/รายงาน
หน้า 10 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,773 วันที่ 10-13 เมษายน พ.ศ.2565
https://www.thansettakij.com/economy/520776
ยินดีกับชาวเบตง ยะลานะคะ
สนามบินไปทางไหนความเจริญตามไปที่นั่น
การเดินทางสายตรงอย่างนี้ราคาอาจแพงแต่ความใหม่สดของสนามบินก็น่าเชิญชวนให้ไปเยือนเบตง
สนับสนุนค่ะ....🤟💕