ปัญหาการเรียนต่อ+คิดเยอะมาก

ตอนนี้เป็นเด็กที่พึ่งจบม.5 ที่กำลังอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบปี66ที่ระบบไม่แน่นอนค่ะ ปัญหาคือยังไม่รู้ว่าจะเรียนคณะอะไรดี เรื่องก็คือตอนม.5 เทอม1 เราตั้งเป้าหมายว่าเราคงเข้าทางสายศิลปะ ดิจิทัลมีเดีย ไม่ก็ดิจิทัลอาร์ต เพราะเป็นสิ่งที่เราชอบและทำได้ดี แต่ก็เกิดปัญหาขึ้น ด้วยความที่เราเป็นคนที่คิดเยอะมากกกก เราก็เอาความคิดของเรามาคิดทบทวนอีกที ทำให้ความคิดของเราไม่ค่อยมั่นคงเหมือนตอนแรก

   ปัญหาแรกคือ สถานที่เรียน เราเป็นเด็กในต่างจังหวัด ที่ในจังหวัดมีมหาวิทยาลัยไม่กี่ที่ ราชภัฏ มีชื่อสุดแล้วที่นี้ ซึ่งพี่เราเรียนอยู่แล้วเขามักจะมารีวิวให้เราฟังว่าเหมือนเรียน ม.7 ต่อ คอยจี้คอยตามงานเหมือนม.ปลาย คณะที่นี้ก็พอมีทางสายเราอยู่ แต่เราก็ไปค้นเว็บหางานแล้วหางานที่พอเราจบแล้วสามารถทำได้ในจังหวัด แน่นอนว่าแทบจะไม่มี ถ้าถามว่าทำไมไม่ไปเรียนที่ต่างจังหวัดอื่นหรือกรุงเทพ คือ

   ปัญหาที่สอง ทางบ้านเราเอง ทางบ้านเราตั้งแต่เด็กๆก็พูดกันอยู่แล้วว่าไม่อยากให้เรียนต่างจังหวัด ความคิดในตอนแรกของเราก็ไม่ยอมอยุ่แล้ว ค้นหาวิทยาลัยที่อยู่ต่างจังหวัดที่อยู่ในกรุงเทพรอเรียบร้อยแล้ว คือตอนนั้นคิดเลยว่าคงไม่เรียนในจังหวัดแน่นอน และอีกหนึ่งตัวเลือกคือแม่ให้เรียนที่จังหวัดข้างเคียงได้ มน. คือที่ที่แม่เราบอกถ้าอยากไปจริงก็ให้ได้ ตอนนั้นเราก็รู้เลยว่าต้องเข้าที่นั้นแน่ก็ไปหาคณะที่ใกล้เคียงกับที่เราอยากเข้ามากที่สุด แต่แน่นอนเราก็คิดอีกว่าถ้าเราเรียนจบมาแล้วพ่อกับแม่จะยอมให้ไปทำงานที่ต่างจังหวัดหรือกรุงเทพได้ไหม แล้วเรื่องค่าใช้จ่ายด้วย

    ปัญหาที่สาม ค่าใช้จ่าย ฐานะทางบ้านเราไม่ได้ดีนัก ในตอนแรกที่แม่บอกเข้ามน. เพราะหาเงินมาให้เราเรียนได้อยู่ หรือขอทุนก็ได้ ตอนนั้นเราก็ไม่ห่วงเรื่องนี้เพราะแม่บอกว่าหาได้ แต่ตอนนี้เรากลับคิดอีกอย่างนึงว่าค่าเรียน ค่าใช้จ่ายก็เยอะมากกกก บวกกับช่วงนี้ทางบ้านเราติดโควิดไม่ได้ไปทำงานกันหลายวัน บวกด้วยคุณแม่สุขภาพไม่ดีในทุกๆปี ก็คิดว่าจะช่วยท่านประหยัดโดยการไม่เลือก มน. ดีไหม เคยคิดที่จะหาของมาขายออนไลน์แต่ก็ไม่มีเวลาด้วยงานการบ้านทางโรงเรียน และปกติตอนปิดเทอมเราก็จะไปช่วยยายขนของขายของ ก็จะได้เงินค่าจ้างมานิดๆหน่อย เคยอยากทำงานพาร์ทไทม์ แต่ทางบ้านไม่ยอม เคยคิดจะศึกษาเรื่องการเทรด แต่ก็รู้สึกไม่มีต้นทุนและไม่น่าใช่เรื่องที่เราถนัด หลายคนอาจจะบอกว่าเป็นข้ออ้างเราก็ได้

    ปัญหาที่สี่ ครอบครัว ทางบ้านเรา เราเห็นได้เลยว่าเราถูกเลี้ยงมาแบบให้อยู่ติดบ้าน ไปเที่ยวกับเพื่อนก็ต้องขอล่วงหน้า ไปไหนก็ต้องให้เขาพาไป ช่วงทุ่มสองทุ่มก็ต้องเข้าบ้านไม่ออกไปไหนแล้ว ตอนเด็กคอยว่า ให้เรียนทาง หมอ พยาบาล ตำรวจ ทหาร เรียนสูงๆแล้วก็เลี้ยงพ่อแม่ แต่ตอนนี้แม่ก็บอกว่าขอให้แค่มีงานทำแล้วเอาตัวเองให้รอดก็พอ เคยเปิดใจคุยเพราะตอนนั้นพ่อของเราอยากให้เราเข้าตำรวจ แต่ตอนนี้คุยกันเขาก็เข้าใจแล้ว ใจนึงเราก็อยากไปใชีวิตด้วยตัวเอง อีกใจก็เป็นห่วงทางบ้าน

    ปัญหาที่ห้า ความคิดเราเอง ตอนแรกที่เกริ่นมาว่าจะไปในทางสายอาร์ต แต่ภายในจังหวัดทางสายนี้ไม่น่าจะมีงานเลย เราก็คิดว่าถ้าเราเรียนมาแล้วมันจะสามารถนำไปหางานในจังหวัดได้ไหม ตอนนี้เราเกิดห่วงครอบครัว เพราะว่าแม่กับพ่อก็อายุมากขึ้นทุกปี ทำงานรับจ้างที่เกี่ยวกับใช้แรงเป็นส่วนใหญ่ เราดูๆแล้วน่าจะทำงานเดิมที่ทำอยู่ได้ไม่เกิน7ปี น่าจะทำไม่ได้แล้ว แล้วในครอบครัวก็จะมีเราที่ทำทุกอย่าง ทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า และอื่นๆ เราคิดว่าถ้าเราไปแล้วใครจะทำ เพราะพ่อแม่พอกลับมาบ้านก็เหนื่อยแล้ว แถมค่าใช้จ่ายเรียนมหาวิทยาลัยก็เยอะมาก ถ้าเราอยู่ใกล้ๆก็ยังพอช่วยแบ่งเบาภาระเขาได้ เราก็คิดกับตัวเองอีกครั้งว่าจะเรียนที่ต่างจังหวัดดีไหม และปัญหาสำคัญสุดที่ทำให้เราไขว้เขวคือการที่เราอยากไปทางสายอาร์ตแต่พอเห็นงานคนอื่นในออนไลน์แล้วคิดว่า ทำไมเราวาดไม่ได้อย่างเขา ตอนนั้นเราดาวน์มากๆไม่ชอบงานตัวเองขึ้นมา ไม่อยากเปิดทวิตขึ้นมาดูทั้งๆที่แต่ก่อนเราชอบเลื่อนดูภาพวาดมากๆ แต่เราก็ข้ามความรู้สึกนั้นมาได้ด้วยการที่เราฟังความคิดจากนักวาดที่เราติดตามหรือชอบ ทำให้เรารักงานตัวเองมากขึ้นมาก แล้วความคิดเราก็ชัดเจนขึ้นอีกว่าเราไม่มีทางทนวาดแบบนั้นได้แน่ [ไม่ใช่ว่าเรายังไม่เคยลอง]มันคือการที่เรารู้ตัวเราเองเลยว่าเราไม่มีทางที่จะมานั่งใส่รายละเอียดยิบย่อยในชุดตัวละคร หรือการวาดฉาก เรารู้เลยว่าไม่สามารถทำได้แน่นอน และความคิดของฉันก็เกิดขึ้นมาว่า การที่ฉันชอบวาด มันไม่ใช่อาชีพที่ฉันจะสามารถทำได้ เพราะการวาดรูปของฉันคือการที่ฉันวาดในสิ่งที่ตัวเองชอบโดยไม่โดนใครกำหนดกฎเกณฑ์ มันเป็นแค่งานอดิเรก ฉันจึงกลับมาเครียดเรื่องสิ่งที่ฉันอยากเรียนอีกครั้ง เคยเปิดพวกคลิปในยูทูปดูก็จะมีคลิปนึงที่เราชอบมาก เขาบอกว่าสำหรับคนที่ยังไม่รู้ตัวเองเขามีทางออกให้สองทาง หนึ่งทางที่ใครที่ฟังแล้วก็ต้องเห็นด้วยคือเลือกเรียนสิ่งที่เราชอบ  สองทางที่ใครฟังก็จะบ่นคือเลือกอะไรก็เลือกไปเถอะ เขาให้เหตุผลว่า ถ้ายังไม่รู้อะไรจริงก็ให้เลือกอะไรก็ได้ เพราะโลกนี้ไม่มีใครรู้อนาคต บางคนเรียนจบมาจากสายนึงแล้วไปทำงานคนละสายก็มีเยอะแยะ แต่กรณีของฉันไม่น่าจะสามารถทำได้  ถ้าฉันเลือกผิดแล้วซิ่วก็จะเสียเงินที่ใช้จ่ายไป และจะถูกพูดถึงไปอีกนาน[พี่ฉันเป็นเด็กดรอปเรียน พ่อแม่ก็ยังพูดมาถึงทุกวันนี้] ก็เลยคิดเยอะขึ้นเรื่อยๆจะตอนนี้ไม่รู้อะไรเป็นอะไรแล้ว

สรุปคือ ด้วยปัญหาทุกอย่างบวกกับการที่เราเป็นคนคิดมากความคิดของเราก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองควรไปต่อยังไงดี ตอนนี้ก็เลยติวด้วยตัวเองที่บ้านกับพวกวิชาวิทย์-คณิตเผื่อไว้ ความต้องการที่แท้จริงมันมี แต่มันไม่สามารถเป็นไปได้เลยถ้าเรายังมีปัญหาพวกนี้

อยากได้ความคิดเห็นของทุกคนเรื่องของเราค่ะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่