กระทู้นี้ตั้งขึ้นมาเพื่อแชร์เรื่องราวที่เกิดขึ้น
เรื่องนี้เกิดขึ้นกับเพื่อนบ้านของเรา ซึ่งเราขอเลือกแทนเธอว่า L
L เป็นหญิงกลางคนผิวขาวชาวอเมริกัน L ย้ายมาอยู่ที่อพาร์ตเมนต์เดียวกับเรา ซึ่งเป็นตึกเดี่ยว อยู่เกือบติดกัน มีทางเดินเชื่อมติดกันห่างกันแค่ 2 เมตร L อาศัยอยู่คนเดียว ส่วนเราอยู่กับสามี และน้องหมาพันธุ์ลาบราดอร์หนึ่งตัว ชื่อว่า B เราและ L เป็นเพื่อนบ้านกันมา 4 ปีแล้ว
L เป็นคนอัธยาศัยดี และใจดี L รัก B มากๆ เนื่องจากมีลักษณะคล้ายกับน้องหมาของเธอที่พึ่งเสียไปก่อนที่เธอจะย้ายมาที่นี่ เมื่อไหร่ที่ L มีเวลาว่าง L จะขอพา B ไปเล่นที่บ้านเธอตลอด L เปรียบเสมือนเป็นgodmother ของ B
L ไม่มีครอบครัว และญาติๆของเธออยู่ต่างรัฐ ครั้งหนึ่ง L ตกบันไดทางขึ้นอพาร์ตเมนต์ หัวกระแทกพื้นต้องเข้าโรงพยาบาล พวกเราไปเยี่ยม L เธอดีใจมาก เพราะเธอคิดว่าเธอตัวคนเดียวอยู่ตลอดเวลา แต่ในวันที่เธอเจ็บกลับมีคนที่ไม่ใช่ครอบครัวมาคอยเป็นห่วง และให้กำลังใจเธอ เหตการณ์ครั้งนี้ทำให้เรารู้ว่าL กำลังป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ซึ่ง L ไม่เคยบอกให้ใครรู้ แม้กระทั่งคนในครอบครัวของเธอ เพราะเธอไม่อยากให้ทุกคนเป็นห่วง และไม่อยากให้ตัวเองเป็นภาระของใคร
L ปฏิเสธการรักษามะเร็ง เพียงแต่ทานยาเพื่อบรรเทาอาการปวด L จะพูดกับพวกเราบ่อยๆว่าเธอจะอยู่ได้อีกไม่นาน และขอบคุณพวกเราที่คอยช่วยเหลือและอนุญาตให้เธอได้มีความสุขกับ B เธอพูดว่าทุกวันนี้ B เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เธอมีชีวิตอยู่ต่อไปได้
เมื่อเดือนมกราคม B ป่วยหนักมาก ต้องเข้าโรงพยาบาล L เป็นห่วง B มากๆ เธอขอไปเยี่ยม B กับพวกเราทุกวัน เราเกือบที่จะเสีย B ไป แต่ B ก็กลับมาหายเป็นปรกติ
แต่ L อาการเริ่มแย่ลง เดือนมีนาคม เธอบอกเราว่า หมอบอกว่านี่อาจเป็นเดือนสุดท้ายของเธอ
เธอเริ่มพยายามใช้เวลากับ B ให้มากขึ้น เธอมาเล่นกับ B ที่บ้านเราบ่อยขึ้น และเธอจะร้องไห้ทุกครั้งที่เธอเดินหันหลังกลับบ้านของเธอ เธอจะพูดประโยคเดิมๆ ซ้ำๆ ว่า ขอบคุณที่อดทนกับเธอ และให้เวลาเธอได้ใช้ร่วมกับ B มันมีความหมายมากๆ สำหรับเธอ
เมื่อวานตอนเย็น L ส่งข้อความมาขอเจอ B พร้อมข้อความที่ว่า นี่อาจเป็นคืนสุดท้ายของเธอ
หลังจากที่พา B มาส่งที่บ้าน เธอนำของเล่นของ B ที่เธอซื้อไว้มาให้เรา สามีเราพยายามบอกเธอว่าให้เธอเก็บไว้เล่นกับ B แต่เธอบอกว่า เธอรู้สึกว่าร่างกายของเธอไม่ไหวแล้ว เธออาจจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกในพรุ่งนี้เช้า สามีเราพยายามพาเธอไปโรงพยาบาล แต่เธอปฏิเสธ
เช้าวันนี้ สามีเราส่งข้อความชวนเธอพา B ไปเดินเล่นที่ทะเลด้วยกัน แต่ไม่มีการตอบกลับจาก L พวกเราพยายามโทรหาเธอ แต่ก็ไม่มีการตอบรับ ผ่านไป 2 ชม พวกเราจึงโทรไปที่สำนักงานของอพาร์ตเมนต์แล้วอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เขาฟัง แต่ทางสำนักงานไม่สามารถมาเปิดประตูให้ได้ เนื่องจากเราไม่ใช่ครอบครัวโดยตรงของ L เราจึงโทรหาตำรวจ ผ่านไป 20 นาที ตำรวจมาถึง รับฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้วก็เคาะประตูบ้านเธออยู่หลายครั้ง แต่ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมา ตำรวจพูดกับเราว่า เขาทำอะไรไม่ได้เพราะมันยังมีน้ำหนักไม่พอ เขาไม่ได้ยินเสียงคนร้องให้ช่วย หรือเห็นคนนอนอยู่ที่พื้น เขาไม่สามารถพังประตูเข้าไปได้
พวกเราร้อนใจ เป็นกังวล และเป็นห่วง L มากๆ และยิ่งเจอกับคำตอบที่ได้ ว่าไม่มีใครสามารถเปิดประตูเข้าไปได้ ทั้งๆที่รู้ว่าอาจมีคนกำลังจะตาย หรืออาจจะตายแล้วนอนอยู่ในนั้น
สามีเราไปคุยกับสำนักงานอีกครั้ง แต่คำตอบก็ยังเหมือนเดิม พร้อมกับบอกให้เราสังเกตว่ามีกลิ่นเหม็นเน่า หรือแมลงวันเมื่อไหร่ค่อยมาแจ้งอีกที สามีเราโมโหกับคำพูดนี้มาก จึงย้อนถามกลับไปว่า ถ้านั่นเป็นแม่หรือน้องสาวของพวกคุณที่นอนอยู่ในนั้นล่ะ คุณจะยังให้คำตอบแบบนี้อยู่มั้ย.... ไร้คำพูดใดๆตอบกลับมาจากพวกเขา
สามีเราพยายามค้นหาข้อมูลติดต่อญาติของ L ใน google ซึ่งเราเจอรายชื่อ พ่อแม่และน้องสาวของเธอพร้อมเบอร์โทรศัพท์ เราโทรไปหาน้องสาวของ L น้องสาว L ตกใจมากที่รู้ข่าว เธอโทรไปแจ้งตำรวจอีกครั้ง และบอกตำรวจว่าพี่สาวเธออาจจะฆ่าตัวตาย เพื่อให้ฟังดูมีน้ำหนัก ให้ตำรวจพยายามพังประตูเข้าไป
ตำรวจนายใหม่มาที่บ้าน แต่คำตอบที่ได้ยังเหมือนเดิม พร้อมกับคำสันนิษฐานว่า เธออาจจะอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ
เราทนฟังคำพูดไร้ความรู้สึกต่อไปไม่ไหว จึงเดินหนีกลับมาที่บ้านเรา แล้วร้องไห้ ความรู้สึกที่มีตอนนี้คือสงสาร L จับใจ เธออาจจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่ได้รับความช่วยเหลือ หรือแม้ถ้าเธอตายไปแล้วจริงๆ พวกเขาจะปล่อยเธอทิ้งไว้แบบนั้น จนเธอเน่า ทั้งเสียใจและโมโหที่เรารู้ว่าเพื่อนเรานอนอยู่ในนั้น แต่ไม่มีใครที่จะพาเธอออกมาได้ มันบีบหัวใจพวกเรามาก
ทุกครั้งที่เรามองไปที่ B ก็จะนึกถึง L สามีบอกเราว่า เมื่อวาน L บอกกับเขาว่าตอนที่ B ป่วย L อธิษฐานต่อพระเจ้าว่าขอให้ B มีชีวิตรอด แล้วเอาชีวิตเธอไปแทน เธอไม่กลัวที่จะต้องตาย แต่เธอเสียใจที่ B จะไม่ได้เจอเธออีกต่อไปแล้ว
Lonely life in USA
เรื่องนี้เกิดขึ้นกับเพื่อนบ้านของเรา ซึ่งเราขอเลือกแทนเธอว่า L
L เป็นหญิงกลางคนผิวขาวชาวอเมริกัน L ย้ายมาอยู่ที่อพาร์ตเมนต์เดียวกับเรา ซึ่งเป็นตึกเดี่ยว อยู่เกือบติดกัน มีทางเดินเชื่อมติดกันห่างกันแค่ 2 เมตร L อาศัยอยู่คนเดียว ส่วนเราอยู่กับสามี และน้องหมาพันธุ์ลาบราดอร์หนึ่งตัว ชื่อว่า B เราและ L เป็นเพื่อนบ้านกันมา 4 ปีแล้ว
L เป็นคนอัธยาศัยดี และใจดี L รัก B มากๆ เนื่องจากมีลักษณะคล้ายกับน้องหมาของเธอที่พึ่งเสียไปก่อนที่เธอจะย้ายมาที่นี่ เมื่อไหร่ที่ L มีเวลาว่าง L จะขอพา B ไปเล่นที่บ้านเธอตลอด L เปรียบเสมือนเป็นgodmother ของ B
L ไม่มีครอบครัว และญาติๆของเธออยู่ต่างรัฐ ครั้งหนึ่ง L ตกบันไดทางขึ้นอพาร์ตเมนต์ หัวกระแทกพื้นต้องเข้าโรงพยาบาล พวกเราไปเยี่ยม L เธอดีใจมาก เพราะเธอคิดว่าเธอตัวคนเดียวอยู่ตลอดเวลา แต่ในวันที่เธอเจ็บกลับมีคนที่ไม่ใช่ครอบครัวมาคอยเป็นห่วง และให้กำลังใจเธอ เหตการณ์ครั้งนี้ทำให้เรารู้ว่าL กำลังป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ซึ่ง L ไม่เคยบอกให้ใครรู้ แม้กระทั่งคนในครอบครัวของเธอ เพราะเธอไม่อยากให้ทุกคนเป็นห่วง และไม่อยากให้ตัวเองเป็นภาระของใคร
L ปฏิเสธการรักษามะเร็ง เพียงแต่ทานยาเพื่อบรรเทาอาการปวด L จะพูดกับพวกเราบ่อยๆว่าเธอจะอยู่ได้อีกไม่นาน และขอบคุณพวกเราที่คอยช่วยเหลือและอนุญาตให้เธอได้มีความสุขกับ B เธอพูดว่าทุกวันนี้ B เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เธอมีชีวิตอยู่ต่อไปได้
เมื่อเดือนมกราคม B ป่วยหนักมาก ต้องเข้าโรงพยาบาล L เป็นห่วง B มากๆ เธอขอไปเยี่ยม B กับพวกเราทุกวัน เราเกือบที่จะเสีย B ไป แต่ B ก็กลับมาหายเป็นปรกติ
แต่ L อาการเริ่มแย่ลง เดือนมีนาคม เธอบอกเราว่า หมอบอกว่านี่อาจเป็นเดือนสุดท้ายของเธอ
เธอเริ่มพยายามใช้เวลากับ B ให้มากขึ้น เธอมาเล่นกับ B ที่บ้านเราบ่อยขึ้น และเธอจะร้องไห้ทุกครั้งที่เธอเดินหันหลังกลับบ้านของเธอ เธอจะพูดประโยคเดิมๆ ซ้ำๆ ว่า ขอบคุณที่อดทนกับเธอ และให้เวลาเธอได้ใช้ร่วมกับ B มันมีความหมายมากๆ สำหรับเธอ
เมื่อวานตอนเย็น L ส่งข้อความมาขอเจอ B พร้อมข้อความที่ว่า นี่อาจเป็นคืนสุดท้ายของเธอ
หลังจากที่พา B มาส่งที่บ้าน เธอนำของเล่นของ B ที่เธอซื้อไว้มาให้เรา สามีเราพยายามบอกเธอว่าให้เธอเก็บไว้เล่นกับ B แต่เธอบอกว่า เธอรู้สึกว่าร่างกายของเธอไม่ไหวแล้ว เธออาจจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกในพรุ่งนี้เช้า สามีเราพยายามพาเธอไปโรงพยาบาล แต่เธอปฏิเสธ
เช้าวันนี้ สามีเราส่งข้อความชวนเธอพา B ไปเดินเล่นที่ทะเลด้วยกัน แต่ไม่มีการตอบกลับจาก L พวกเราพยายามโทรหาเธอ แต่ก็ไม่มีการตอบรับ ผ่านไป 2 ชม พวกเราจึงโทรไปที่สำนักงานของอพาร์ตเมนต์แล้วอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เขาฟัง แต่ทางสำนักงานไม่สามารถมาเปิดประตูให้ได้ เนื่องจากเราไม่ใช่ครอบครัวโดยตรงของ L เราจึงโทรหาตำรวจ ผ่านไป 20 นาที ตำรวจมาถึง รับฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้วก็เคาะประตูบ้านเธออยู่หลายครั้ง แต่ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมา ตำรวจพูดกับเราว่า เขาทำอะไรไม่ได้เพราะมันยังมีน้ำหนักไม่พอ เขาไม่ได้ยินเสียงคนร้องให้ช่วย หรือเห็นคนนอนอยู่ที่พื้น เขาไม่สามารถพังประตูเข้าไปได้
พวกเราร้อนใจ เป็นกังวล และเป็นห่วง L มากๆ และยิ่งเจอกับคำตอบที่ได้ ว่าไม่มีใครสามารถเปิดประตูเข้าไปได้ ทั้งๆที่รู้ว่าอาจมีคนกำลังจะตาย หรืออาจจะตายแล้วนอนอยู่ในนั้น
สามีเราไปคุยกับสำนักงานอีกครั้ง แต่คำตอบก็ยังเหมือนเดิม พร้อมกับบอกให้เราสังเกตว่ามีกลิ่นเหม็นเน่า หรือแมลงวันเมื่อไหร่ค่อยมาแจ้งอีกที สามีเราโมโหกับคำพูดนี้มาก จึงย้อนถามกลับไปว่า ถ้านั่นเป็นแม่หรือน้องสาวของพวกคุณที่นอนอยู่ในนั้นล่ะ คุณจะยังให้คำตอบแบบนี้อยู่มั้ย.... ไร้คำพูดใดๆตอบกลับมาจากพวกเขา
สามีเราพยายามค้นหาข้อมูลติดต่อญาติของ L ใน google ซึ่งเราเจอรายชื่อ พ่อแม่และน้องสาวของเธอพร้อมเบอร์โทรศัพท์ เราโทรไปหาน้องสาวของ L น้องสาว L ตกใจมากที่รู้ข่าว เธอโทรไปแจ้งตำรวจอีกครั้ง และบอกตำรวจว่าพี่สาวเธออาจจะฆ่าตัวตาย เพื่อให้ฟังดูมีน้ำหนัก ให้ตำรวจพยายามพังประตูเข้าไป
ตำรวจนายใหม่มาที่บ้าน แต่คำตอบที่ได้ยังเหมือนเดิม พร้อมกับคำสันนิษฐานว่า เธออาจจะอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ
เราทนฟังคำพูดไร้ความรู้สึกต่อไปไม่ไหว จึงเดินหนีกลับมาที่บ้านเรา แล้วร้องไห้ ความรู้สึกที่มีตอนนี้คือสงสาร L จับใจ เธออาจจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่ได้รับความช่วยเหลือ หรือแม้ถ้าเธอตายไปแล้วจริงๆ พวกเขาจะปล่อยเธอทิ้งไว้แบบนั้น จนเธอเน่า ทั้งเสียใจและโมโหที่เรารู้ว่าเพื่อนเรานอนอยู่ในนั้น แต่ไม่มีใครที่จะพาเธอออกมาได้ มันบีบหัวใจพวกเรามาก
ทุกครั้งที่เรามองไปที่ B ก็จะนึกถึง L สามีบอกเราว่า เมื่อวาน L บอกกับเขาว่าตอนที่ B ป่วย L อธิษฐานต่อพระเจ้าว่าขอให้ B มีชีวิตรอด แล้วเอาชีวิตเธอไปแทน เธอไม่กลัวที่จะต้องตาย แต่เธอเสียใจที่ B จะไม่ได้เจอเธออีกต่อไปแล้ว