เรียกว่าโดนคำวิจารณ์สับเละตั้งแต่ยังไม่เข้าฉายในบ้านเราสำหรับ Morbius ภาพยนตร์แอนตี้ฮีโร่เรื่องใหม่จากจักรวาล Sony Pictures Universe of Marvel Characters ที่มีแอนตี้ฮีโร่นำร่องมาก่อนแล้วอย่าง Venom ทั้งสองภาค ซึ่งก็ดูท่าจะไปได้ดีอยู่พอสมควรกับความตั้งใจที่จะทยอยเปิดตัวเหล่าตัวละคร Marvel Comic ที่ทาง Sony ถือลิขสิทธิ์อยู่ จะเพื่อสร้างแนวทางใหม่ๆ ของภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่หรือจะใช้ข้ามไปมาระหว่างสองจักรวาลก็ตามที แต่กระนั้น สิ่งที่เกิดขึ้น คือ ตัว Morbius กลับดูท่าทางจะส่อแววตกม้าตายไปก่อนเสียนี่ เกิดอะไรขึ้นในเวลาที่ภาพยนตร์แนวซุปเปอร์ฮีโร่กลายมาเป็นภาพยนตร์กระแสหลักที่ไม่ว่าจะถูกสร้างหรือถูกฉายเมื่อไหร่ก็จะได้รับกระแสและความสนใจเป็นอย่างมาก

.
Morbius เป็นเรื่องราวของ ดร.ไมเคิล มอร์เบียส (รับบทโดย จาเรด เลโต) นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะที่อุทิศชีวิตให้กับการหาหนทางรักษาอาการป่วยด้วยโรคเลือดหายากของตนเอง และ ไมโล หรือ ลูเซียส คราวน์ (รับบทโดย แมตต์ สมิธ) เพื่อนซี้ที่ประสบชะตากรรมเช่นเดียวกับไมเคิล และเป็นฝ่ายช่วยเหลือเรื่องทุนการวิจัยเพื่อหวังว่าเขาและไมเคิลจะได้หายจากโรคนี้ด้วยกัน โดยมีผู้ช่วยนักวิทยาศาสตร์สาว ดร. มาร์ทีน แบนครอฟตฺ์’ (รับบทโดย เอเดรีย อาโจน่า) เป็นลูกมือด้วยอีกแรง กระทั่ง ดร.ไมเคิล ค้นพบความหวังในการรักษาโดยใช้องค์ประกอบของสารสะกัดจากค้างคาว แต่ผลลัพธ์ของมันกลับทำให้เขากลายเป็นแวมไพร์จอมกระหายเลือด ที่มีพลังเหนือมนุษย์แต่กลับคุ้มคลั่งและไล่ล่ามนุษย์ เขาจึงต้องหาทางรับมือกับเรื่องนี้ให้ได้

จากคำวิจารณ์ที่ออกมามีสองเรื่องใหญ่ๆ ที่หนังเรื่องนี้ถูกกล่าวหา คือ เรื่องของคุณภาพของเทคนิคพิเศษด้านภาพหรือ CGI และ เรื่องของตัวบทภาพยนตร์ ว่ากันในส่วนของCGI ก่อน ซึ่งเอาเข้าจริงมันก็ไม่ได้แย่ถึงขั้นรับไม่ได้ หรือลอยเป็นขนมปังเวลาให้อาหารปลาสวายขนาดนั้น แต่ในยุคที่ภาพยนตร์โดยเฉพาะแนวซุปเปอร์ฮีโร่ต่างทุ่มพลังไปที่งานด้านนี้จนเรียกได้ว่าแทบจะเป็นเรื่องปกติกันแล้วที่เราจะเห็นเหล่าฮีโร่ปล่อยพลัง เปลี่ยนร่าง ขยายร่าง บินไปมาระหว่างตึก หรือ ต่อยตีกันจนเมืองพังพินาศ ซึ่งถ้าเทียบกับภาพยนตร์เรื่องอื่นๆของ Marvel หรือแม้แต่ DC แล้ว Morbius อาจจะจัดอยู่ในหมวดธรรมดาไปสักหน่อย แต่ไม่ได้หมายความว่ามันแย่จนเสียอารมณ์หรือเสียอรรถรสของหนังแบบนั้น CGI ยังคงทำหน้าที่ได้ดีตามที่มันควรจะเป็น ทั้งการกลายร่างเป็นแวมไพร์ การใช้พลัง และฉากต่อสู้(แม้ฉากต่อสู้สุดท้ายจะจบจืดไปหน่อย)

.
ส่วนเรื่องบทภาพยนตร์และการเล่าเรื่อง ตรงนี้ต้องบอกว่าเป็นอิทธิพลจากจักรวาล MCU อีกนั่นแหละ เพราะที่ผ่านมา MCU ทำให้ภาพจำของคนดูเกี่ยวกับเหล่าฮีโร่จากจักรวาลนี้จะต้องยิ่งใหญ่ ทะเยอทะยาน รวมถึงน่าจดจำและสร้างแรงบันดาลใจอันมหาศาลให้กับผู้ชม อีกทั้งการเปิด "มัลติเวิร์ส" ก็กลายเป็นว่าผู้ชมจะไปโฟกัสว่า เอ๊ะ ฮีโร่ตัวนี้จะข้ามมิติไปในจักรวาลหลักรึเปล่า? เอ๊ะ ใครจะมาตอนท้ายเอ็นเครดิตนะ? สไปเดอร์แมนจะโผล่รึเปล่า? นั่นเท่ากับว่าพื้นที่ของการเล่าฮีโร่ที่สมควรจะเป็นเอกเทศย่อมกลายเป็นหนังที่น่าเบื่อไปโดยปริยาย

ซึ่ง Morbius คงจะเป็นหนังที่ตรงข้ามกับสิ่งที่กล่าวไปอย่างสิ้นเชิง เพราะหนังมาในสูตร "หนังกำเนิดฮีโร่" แบบแท้ๆเลย (สูตรเดียวกับสไปเดอร์แมน) เริ่มจากเจอปัญหาชีวิต ได้รับพลังพิเศษ เรียนรู้การใช้พลัง ต่อสู้กับวายร้าย แล้วจบลงที่การยอมรับในพลังนั้น ถามว่าผิดไหมที่จะใช้สูตรนี้ในการเล่าเรื่อง แน่นอนมันไม่ใช่เรื่องผิด แต่หากความคาดหวังของคนดูที่เมื่อแปะป้าย Marvel แล้ว มันจะต้องแปลกใหม่และน่าประทับใจเสมอ ซึ่ง Morbius ให้สิ่งนั้นไม่ได้ แถมยังต้องยอมรับว่า แม้จะใช้สูตรสำเร็จในการเล่าเรื่อง แต่หนังเรื่องนี้ก็ยังทำออกมาได้จืดชืดและสิ้นดี ทั้งเรื่องแรงจูงใจของตัวละครที่ดูจะทื่อและไร้เหตุผล หรือความน่าเอาใจช่วยตัวละครก็ไม่ค่อยจะมีสักเท่าไหร่ด้วย กลายเป็นว่าเราไม่รู้สึกอินกับใครในเรื่องเลยแม้แต่น้อย (อาจเป็นเพราะหนังสั้นด้วยแค่ 104 นาที ทำให้รายละเอียดที่ควรจะมีถูกตัดออกไป) รวมถึงเรื่องที่หนังต้องการจะเป็นหนังสยองขวัญก็ดูเหมือนจะไม่ปกคลุมไปทั่วหนังสักเท่าไหร่ด้วย
.
ที่จริงตัวละคร ดร.ไมเคิล เป็นตัวละครที่มีความน่าสนใจไม่น้อย ทั้งความขัดแย้งของการต้องกินเลือดมนุษย์เพื่อรักษาชีวิต แต่ตัวเขาก็เป็นหมอที่เป็นคนดีเกินกว่าจะทำร้ายคนอื่น (บุคลิกตามแบบฉบับแอนตี้ฮีโร่) หรือในเรื่องความสามารถของตัว Morbius ก็น่าสนใจเช่นกัน ทั้งการใช้คลื่นโซนาร์จับการเคลื่อนไหวสิ่งของรอบๆตัวที่พลิกแพลงในหลากหลาย การบิน(ร่อน)ที่อาศัยแรงดันอากาศช่วยพยุงตัว ความเร็วและประสาทสัมผัสที่เฉียบคมก็เช่นกัน น่าเสียดาย ถ้าสิ่งเหล่านี้ถูกขัดเกลาให้เข้มข้นมากกว่านี้ ตัว Morbius ก็น่าจะถูกจดจำได้มากกว่านี้เช่นกัน หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ ผู้กำกับไม่สามารถดึงเสน่ห์ของตัวละครนี้ออกมาได้เท่าที่ควร

แต่ทั้งนี้สิ่งที่ดีก็ยังมีอยู่ ก็คือการแสดงของ จาเรด เลโต และแมตต์ สมิธ นี่แหละ แม้ตัวหนังจะราบเรียบเพียงใด ตัวละคร ดร.ไมเคิล ก็ยังดูมีมิติของความเป็นตัวเอกไม่น้อยเลย ในความเป็นหมอที่อ่อนโยนห่วงใยคนไข้พร้อมอุทิศตัวเองเพื่อเพื่อนมนุษย์แต่ในขณะเดียวกันก็มีความน่ากลัวของความกระหายเลือดอย่างแวมไพร์ที่พร้อมจะคร่าชีวิตผู้อื่นเช่นกัน ความคุ้มดีคุ้มร้ายนี้แหละที่จาเรด เลโต แสดงออกมาได้สมกับที่เขาได้รับความชื่นชมในฐานะนักแสดงเรื่อยมา ส่วนตัวละคร ไมโล ของแมตต์ สมิธ แม้จะแบนราบเป็นแผ่นโรตีสายไหม แต่ด้วยใบหน้าและแววตาของชายคนนี้ ทำให้เรารู้สึกว่า เขาคือคนที่หากมีอาวุธหรือพลังอยู่ในมือ เขาก็พร้อมจะฆ่าผู้อื่นอย่างง่ายดาย เพียงเพื่อความสะใจของตัวเองเท่านั้น

สรุป Morbius ตัวละครแอนตี้ฮีโร่จากจักรวาล Sony Pictures อาจจะบอกได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่เกิดช้าไปสักหน่อย ถ้าหากภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ในยุคต้นๆ ปี 2000 ก็อาจจะรุ่งกว่านี้ก็ได้ แต่ทั้งนี้ในภาพรวมก็ต้องใช้คำพูดว่า "ดูได้เพลินๆ" แบบไม่ต้องคิดอะไรมาก ซึ่งดูแล้วตัวละครนี้ก็มีอนาคตในจักรวาล MCU (ได้เชื่อมกันแน่นอน) แต่จะมากน้อยอย่างไรก็ต้องติดตามกันต่อไป

ฝากเพจ
Story Decoder ด้วยนะครับ
[รีวิวหนัง] Morbius: หนังแอนตี้ฮีโร่สูตรต้นกำเนิดฮีโร่ที่ดูจะตกยุคไปสักหน่อย]
.
Morbius เป็นเรื่องราวของ ดร.ไมเคิล มอร์เบียส (รับบทโดย จาเรด เลโต) นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะที่อุทิศชีวิตให้กับการหาหนทางรักษาอาการป่วยด้วยโรคเลือดหายากของตนเอง และ ไมโล หรือ ลูเซียส คราวน์ (รับบทโดย แมตต์ สมิธ) เพื่อนซี้ที่ประสบชะตากรรมเช่นเดียวกับไมเคิล และเป็นฝ่ายช่วยเหลือเรื่องทุนการวิจัยเพื่อหวังว่าเขาและไมเคิลจะได้หายจากโรคนี้ด้วยกัน โดยมีผู้ช่วยนักวิทยาศาสตร์สาว ดร. มาร์ทีน แบนครอฟตฺ์’ (รับบทโดย เอเดรีย อาโจน่า) เป็นลูกมือด้วยอีกแรง กระทั่ง ดร.ไมเคิล ค้นพบความหวังในการรักษาโดยใช้องค์ประกอบของสารสะกัดจากค้างคาว แต่ผลลัพธ์ของมันกลับทำให้เขากลายเป็นแวมไพร์จอมกระหายเลือด ที่มีพลังเหนือมนุษย์แต่กลับคุ้มคลั่งและไล่ล่ามนุษย์ เขาจึงต้องหาทางรับมือกับเรื่องนี้ให้ได้
จากคำวิจารณ์ที่ออกมามีสองเรื่องใหญ่ๆ ที่หนังเรื่องนี้ถูกกล่าวหา คือ เรื่องของคุณภาพของเทคนิคพิเศษด้านภาพหรือ CGI และ เรื่องของตัวบทภาพยนตร์ ว่ากันในส่วนของCGI ก่อน ซึ่งเอาเข้าจริงมันก็ไม่ได้แย่ถึงขั้นรับไม่ได้ หรือลอยเป็นขนมปังเวลาให้อาหารปลาสวายขนาดนั้น แต่ในยุคที่ภาพยนตร์โดยเฉพาะแนวซุปเปอร์ฮีโร่ต่างทุ่มพลังไปที่งานด้านนี้จนเรียกได้ว่าแทบจะเป็นเรื่องปกติกันแล้วที่เราจะเห็นเหล่าฮีโร่ปล่อยพลัง เปลี่ยนร่าง ขยายร่าง บินไปมาระหว่างตึก หรือ ต่อยตีกันจนเมืองพังพินาศ ซึ่งถ้าเทียบกับภาพยนตร์เรื่องอื่นๆของ Marvel หรือแม้แต่ DC แล้ว Morbius อาจจะจัดอยู่ในหมวดธรรมดาไปสักหน่อย แต่ไม่ได้หมายความว่ามันแย่จนเสียอารมณ์หรือเสียอรรถรสของหนังแบบนั้น CGI ยังคงทำหน้าที่ได้ดีตามที่มันควรจะเป็น ทั้งการกลายร่างเป็นแวมไพร์ การใช้พลัง และฉากต่อสู้(แม้ฉากต่อสู้สุดท้ายจะจบจืดไปหน่อย)
.
ส่วนเรื่องบทภาพยนตร์และการเล่าเรื่อง ตรงนี้ต้องบอกว่าเป็นอิทธิพลจากจักรวาล MCU อีกนั่นแหละ เพราะที่ผ่านมา MCU ทำให้ภาพจำของคนดูเกี่ยวกับเหล่าฮีโร่จากจักรวาลนี้จะต้องยิ่งใหญ่ ทะเยอทะยาน รวมถึงน่าจดจำและสร้างแรงบันดาลใจอันมหาศาลให้กับผู้ชม อีกทั้งการเปิด "มัลติเวิร์ส" ก็กลายเป็นว่าผู้ชมจะไปโฟกัสว่า เอ๊ะ ฮีโร่ตัวนี้จะข้ามมิติไปในจักรวาลหลักรึเปล่า? เอ๊ะ ใครจะมาตอนท้ายเอ็นเครดิตนะ? สไปเดอร์แมนจะโผล่รึเปล่า? นั่นเท่ากับว่าพื้นที่ของการเล่าฮีโร่ที่สมควรจะเป็นเอกเทศย่อมกลายเป็นหนังที่น่าเบื่อไปโดยปริยาย
ซึ่ง Morbius คงจะเป็นหนังที่ตรงข้ามกับสิ่งที่กล่าวไปอย่างสิ้นเชิง เพราะหนังมาในสูตร "หนังกำเนิดฮีโร่" แบบแท้ๆเลย (สูตรเดียวกับสไปเดอร์แมน) เริ่มจากเจอปัญหาชีวิต ได้รับพลังพิเศษ เรียนรู้การใช้พลัง ต่อสู้กับวายร้าย แล้วจบลงที่การยอมรับในพลังนั้น ถามว่าผิดไหมที่จะใช้สูตรนี้ในการเล่าเรื่อง แน่นอนมันไม่ใช่เรื่องผิด แต่หากความคาดหวังของคนดูที่เมื่อแปะป้าย Marvel แล้ว มันจะต้องแปลกใหม่และน่าประทับใจเสมอ ซึ่ง Morbius ให้สิ่งนั้นไม่ได้ แถมยังต้องยอมรับว่า แม้จะใช้สูตรสำเร็จในการเล่าเรื่อง แต่หนังเรื่องนี้ก็ยังทำออกมาได้จืดชืดและสิ้นดี ทั้งเรื่องแรงจูงใจของตัวละครที่ดูจะทื่อและไร้เหตุผล หรือความน่าเอาใจช่วยตัวละครก็ไม่ค่อยจะมีสักเท่าไหร่ด้วย กลายเป็นว่าเราไม่รู้สึกอินกับใครในเรื่องเลยแม้แต่น้อย (อาจเป็นเพราะหนังสั้นด้วยแค่ 104 นาที ทำให้รายละเอียดที่ควรจะมีถูกตัดออกไป) รวมถึงเรื่องที่หนังต้องการจะเป็นหนังสยองขวัญก็ดูเหมือนจะไม่ปกคลุมไปทั่วหนังสักเท่าไหร่ด้วย
.
ที่จริงตัวละคร ดร.ไมเคิล เป็นตัวละครที่มีความน่าสนใจไม่น้อย ทั้งความขัดแย้งของการต้องกินเลือดมนุษย์เพื่อรักษาชีวิต แต่ตัวเขาก็เป็นหมอที่เป็นคนดีเกินกว่าจะทำร้ายคนอื่น (บุคลิกตามแบบฉบับแอนตี้ฮีโร่) หรือในเรื่องความสามารถของตัว Morbius ก็น่าสนใจเช่นกัน ทั้งการใช้คลื่นโซนาร์จับการเคลื่อนไหวสิ่งของรอบๆตัวที่พลิกแพลงในหลากหลาย การบิน(ร่อน)ที่อาศัยแรงดันอากาศช่วยพยุงตัว ความเร็วและประสาทสัมผัสที่เฉียบคมก็เช่นกัน น่าเสียดาย ถ้าสิ่งเหล่านี้ถูกขัดเกลาให้เข้มข้นมากกว่านี้ ตัว Morbius ก็น่าจะถูกจดจำได้มากกว่านี้เช่นกัน หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ ผู้กำกับไม่สามารถดึงเสน่ห์ของตัวละครนี้ออกมาได้เท่าที่ควร
แต่ทั้งนี้สิ่งที่ดีก็ยังมีอยู่ ก็คือการแสดงของ จาเรด เลโต และแมตต์ สมิธ นี่แหละ แม้ตัวหนังจะราบเรียบเพียงใด ตัวละคร ดร.ไมเคิล ก็ยังดูมีมิติของความเป็นตัวเอกไม่น้อยเลย ในความเป็นหมอที่อ่อนโยนห่วงใยคนไข้พร้อมอุทิศตัวเองเพื่อเพื่อนมนุษย์แต่ในขณะเดียวกันก็มีความน่ากลัวของความกระหายเลือดอย่างแวมไพร์ที่พร้อมจะคร่าชีวิตผู้อื่นเช่นกัน ความคุ้มดีคุ้มร้ายนี้แหละที่จาเรด เลโต แสดงออกมาได้สมกับที่เขาได้รับความชื่นชมในฐานะนักแสดงเรื่อยมา ส่วนตัวละคร ไมโล ของแมตต์ สมิธ แม้จะแบนราบเป็นแผ่นโรตีสายไหม แต่ด้วยใบหน้าและแววตาของชายคนนี้ ทำให้เรารู้สึกว่า เขาคือคนที่หากมีอาวุธหรือพลังอยู่ในมือ เขาก็พร้อมจะฆ่าผู้อื่นอย่างง่ายดาย เพียงเพื่อความสะใจของตัวเองเท่านั้น
สรุป Morbius ตัวละครแอนตี้ฮีโร่จากจักรวาล Sony Pictures อาจจะบอกได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่เกิดช้าไปสักหน่อย ถ้าหากภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ในยุคต้นๆ ปี 2000 ก็อาจจะรุ่งกว่านี้ก็ได้ แต่ทั้งนี้ในภาพรวมก็ต้องใช้คำพูดว่า "ดูได้เพลินๆ" แบบไม่ต้องคิดอะไรมาก ซึ่งดูแล้วตัวละครนี้ก็มีอนาคตในจักรวาล MCU (ได้เชื่อมกันแน่นอน) แต่จะมากน้อยอย่างไรก็ต้องติดตามกันต่อไป
ฝากเพจ Story Decoder ด้วยนะครับ