4
เอมิลี่ยืนหลบอยู่หลังเสาอาคาร ร่างทั้งร่างเผลอเกร็งแน่น ในขณะที่ดวงตาจับจ้องไปยังเงาสะท้อนหน้าต่างสำนักงานสถานีรถไฟตรงหน้า
จนกระทั่งร่างของพีเตอร์ แฮมเดินหายไปจากสายตา เธอจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ในที่สุดเธอก็สลัดแฮมเน่าจอมโรคจิตคนนั้นไปได้
“ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะตามคุณมาถึงนี่” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากข้างๆเธอ
เอมิลี่หันไปทางต้นเสียง ก่อนที่จะเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนมองเธออยู่เงียบๆ ในชุดเสื้อยืด และกางเกงยีนส์ที่มีรอยขาด
เอมิลี่มองใบหน้าอันอ่อนเยาว์นั่น ไล่สายตามองไปตามเรือนผมสีทอง และใบหูที่เจาะต่างหูข้างหนึ่งอย่างช้าๆ
เกิดอะไรขึ้นกับต่างหูอีกข้างหนึ่งของเขากัน -- เอมิลี่นึก
เด็กหนุ่มยักไหล่
“ผมให้คนรักของผมไป” เขาบอกสั้นๆ เมื่อเห็นสีหน้าของเธอ ก่อนจะพยักเพยิดไปทางด้านหนึ่งของสถานีรถไฟ “ผู้ชายแฮมเน่าคนนั้นจะหาคุณเจอ ถ้าคุณยังยืนหลบอยู่หลังเสาแบบนี้”
เอมิลี่ดูทึ่งขึ้นมาเล็กน้อย
เขารู้จักแฮมเน่าคนนั้นหรือ --
“คนนามสกุลแฮมแบบนั้น เดาได้ไม่ยากหรอกว่าเป็นคนแบบไหน” เด็กหนุ่มตอบกลับมาราวกับอ่านความคิดเธอได้ ก่อนจะเดินนำไปยังทางออกอีกทาง “คุณไม่มาด้วยกันหรือ” เขาถาม
เอมิลี่เดินตามเด็กหนุ่มไป จนกระทั่งทะลุมาถึงถนนที่อยู่ทางด้านหลังสถานี
เอมิลี่กระชับเสื้อคลุมตัวโคร่งเข้ากับตัว เดินไปตามถนนขรุขระที่เต็มไปด้วยกรวดหิน และขนาบไปด้วยทุ่งหญ้าสีเขียวนั่นอย่างรวดเร็ว
“นี่เข้าหน้าร้อนแล้ว” เด็กหนุ่มพูดขึ้น “คุณใส่เสื้อคลุมตัวใหญ่ขนาดนี้ ไม่ร้อนหรอกหรือ”
เอมิลี่มองชุดกระโปรงสีแดงข้างใน
ไม่ เธอถอดเสื้อคลุมออกไม่ได้ -- ชุดนี้มันเด่นเกินไป --
เด็กหนุ่มมองชายกระโปรงแดงนั่น ก่อนจะวนสายตากลับมาพินิจใบหน้าเธอ --
“ผมรู้จักคุณ” เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว
ใช่ -- เอมิลี่ตอบในใจ กระชับเป้แน่น เร่งฝีเท้าเดินไปตามทาง จนรู้สึกร้อนขึ้นมาแล้วจริงๆ
ฉันลืมไปแล้วว่าเมืองนี้ร้อนมากแค่ไหนในหน้าร้อน -- เธอนึก
“โอ คุณเป็นคนที่นี่” เด็กหนุ่มร้องออกมา “มิน่าผมคุ้นหน้าคุณ”
เอมิลี่ยักไหล่ --
ความจริงแล้ว เธอก็คุ้นหน้าเขา -- เธออาจจะจากเมืองนี้ไปนานจริงๆ จนภาพใบหน้าของผู้คนในอดีตเริ่มเลือนรางไป
แต่ -- เอมิลี่เหลือบตามองเด็กหนุ่มข้างตัว -- เธอกลับจำรายละเอียดของเด็กหนุ่มคนนี้ได้ดีกว่าที่คิด
“คุณอาจจะเคยเห็นผมร้องเพลงที่บาร์” เด็กหนุ่มยิ้มยิงฟัน ยกชายเสื้อขึ้น จนเห็นรอยสักที่เอวข้างขวาของตนเองเป็นคำว่า ‘พลูโต’
เอมิลี่หลับตาแน่น ราวกับเจ็บปวดกับภาพที่เห็น
ทำไมเขากล้าเปิดเสื้อให้คนแปลกหน้าดูแบบนี้กัน -- เธอโหยหวนในใจ -- ต่อให้เขาจะมีกล้ามหน้าท้องก็ตาม
เด็กหนุ่มดูแปลกใจ
“คุณทำตัวเหมือนคุณเป็นคนแปลกหน้ากับผม --” เขาว่า “แต่คุณไม่ใช่คนแปลกหน้านี่ -- คุณเป็นคน
ที่นี่ และคุณ
คุ้นหน้าผม จริงไหม”
เอมิลี่เร่งฝีเท้าเดินนำอีกฝ่าย สะบัดเรือนผมไปให้พ้นใบหน้า ไม่สนใจที่จะต่อบทสนทนาแม้แต่คำเดียว
“คุณเย็นชากว่าที่ผมคิด -- สาวผมดำคนอื่นๆที่ผมรู้จักยังไม่เย็นชาเท่าคุณ” เด็กหนุ่มวิ่งตามติดมา จนกลับมาเดินข้างเธอได้สำเร็จ “นั่นเป็นเหตุผลที่ผมคุณมีสีแดงในตอนที่โดนแสงแดดหรือเปล่า”
เอมิลี่ชะงักฝีเท้า ขยับฮู้ดออกไปให้พ้นใบหน้าตนเองเล็กน้อย ก่อนที่จะสบตามองอีกฝ่ายนิ่ง “เธอพูดว่าอะไรนะ” เธอถามเสียงเบา
“คุณยอมพูดกับผมแล้ว”
เด็กหนุ่มมองเรือนผมของเธอ ก่อนที่จะพยักหน้าไปทางแสงแดดยามเช้าที่สาดส่องมาทางพวกเขา ริมฝีปากหยักนั่นขยับช้าๆ ค่อยๆเปล่งเสียงตอบออกมา
หากแต่เอมิลี่รีบเบือนหน้าหนี แล้วออกเดินต่อในทันที
เด็กหนุ่มชะงักไป ริมฝีปากยังคงเผยอเล็กน้อยในตอนที่เห็นเธอเดินหนี
“ผมรู้ว่าคุณชอบรอยสักของผม” เขาหัวเราะ “คุณอยากรู้ว่าทำไมถึงเป็นคำว่าพลูโต”
เด็กหนุ่มวิ่งกลับมาเดินข้างเธออีกครั้ง
“พลูโตเป็นดาวที่เป็นตัวแทนแห่งการเปลี่ยนแปลง และการเกิดใหม่” เขาบอก “เขาว่ากันว่ามันเป็นดาวที่เป็นตัวแทนของความรุนแรง และเอาจริงเอาจัง”
เอมิลี่เผลอหัวเราะออกมา ในขณะที่ยกมือเช็ดเหงื่อไปจากลำคอตนเอง
รุนแรง และเอาจริงเอาจัง -- เธอทวนในใจ -- เขากำลังพูดเหมือนพลูโตเป็นมนุษย์ก็ไม่ปาน
“เขาว่ากันว่าผู้ที่มาจากดาวพลูโต จะเอาจริงเอาจัง และทรงพลังรุนแรง” เด็กหนุ่มหัวเราะตาม “และนั่นทำให้พวกเขาต้องผ่านด่านทดสอบแสนสาหัสหลายครั้ง -- แต่พวกเขาจะผ่านไปได้ และแปลงร่างเป็นคนๆใหม่ ราวกับเกิดใหม่ก็ไม่ปาน”
เอมิลี่คิดตาม
นั่นฟังดูดีมาก -- เธอยอมรับ -- ฟังดูเหมือนไม่มีใครสามารถโค่นผู้ที่มาจากดาวพลูโตได้ และการเกิดใหม่ฟังดูเป็นเรื่องที่ดีจนน่าทึ่ง
จากนั้นเธอก็พึมพัมออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า “ฉันน่าจะเอาเรื่องนี้เล่าให้บอนนี่ฟังบ้าง”
“ใครคือบอนนี่หรือ” เด็กหนุ่มถาม
บอนนี่ --
แวบนั้นเอมิลี่เหนื่อยเกินกว่าจะอธิบายเขา
หากแต่เธอพึมพัมออกมาอีกครั้งว่า “คงจะดี ถ้าเราได้เป็นชาวพลูโต -- พวกเขาคงมีชีวิตที่ดีและง่ายกว่ามนุษย์โลก --”
“ใช่ พวกเขาแปลงความเจ็บปวดที่เผชิญให้มาเป็นพลังของตนเองได้ นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาเกิดใหม่ได้” เด็กหนุ่มเห็นด้วย “แต่พวกเขาต้องผ่านบทดสอบที่แสนสาหัสมาก่อนทั้งนั้น --”
เด็กหนุ่มเหลือบมองมาทางเอมิลี่เล็กน้อย -- เอมิลี่เองก็หันมาสบตาเขาในวินาทีเดียวกัน
หากแต่ไม่มีใครหลบสายตาของกันและกันในครั้งนี้
“เพลงของผมก็เอาจริงเอาจังเหมือนกัน” เด็กหนุ่มบอกเบาๆ “วงของผมถึงชื่อพลูโต”
เอมิลี่ทอดสายตาไปตามถนนเบื้องหน้าตนเอง รู้สึกดีใจเมื่อเริ่มมองเห็นตัวเมือง
แน่นอนล่ะ ว่าเขาจริงจังกับดนตรี -- เธอถอนหายใจ -- ไม่อย่างนั้นเขาจะสักมันทำไม
“ผมหมายความว่าเพลงของผมเอาจริงเอาจังแบบ
จริงๆ” เด็กหนุ่มย้ำ
เอมิลี่ยังคงเดินต่อไป ท่าทีนิ่งเฉยเสียจนอีกฝ่ายหยุดเดินตามเธอ
“เอมิลี่” เด็กหนุ่มเรียกชื่อเธอออกมา
เอมิลี่หยุดฝีเท้า หันกลับมามองเด็กหนุ่มที่กำลังถอนหายใจอย่างยาวเหยียด
“จริงๆนะ” เขาบอก “ถึงขนาดนี้แล้ว คุณจะยังไม่ถามชื่อผมหน่อยหรือ”
เอมิลี่เม้มริมฝีปากแน่น ดูลังเลและชั่งใจในอะไรบางอย่าง
“คุณคิดว่าเราเป็นคนแปลกหน้ากัน
ขนาดนั้นเลยหรือไง” เด็กหนุ่มถาม “และอย่าทำ
แบบนั้น --”
เอมิลี่เลิกคิ้ว
เด็กหนุ่มชี้ไปที่ริมฝีปากเธอ “คุณเม้มปาก” เขาบอก “แล้วมันทำให้ลิปสติกเปื้อนริมฝีปากคุณ -- คุณไม่ชอบแบบนั้นหรอก จริงไหม”
เอมิลี่มองเด็กหนุ่มเดินเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ
“คุณจะไม่ถามชื่อผมจริงๆหรือ” เขายิ้ม ใบหน้าอ่อนเยาว์ดูสดใสขึ้นมามากกว่าเดิม เมื่อเห็นท่าทีลังเลของเธอ ราวกับกำลังสนุกสนานในอะไรบางอย่าง “ไม่อยากรู้จักผมสักนิด
จริงๆน่ะหรือ -- ไม่อยากรู้จักเด็กหนุ่มคนนี้ที่เดินมาเป็นเพื่อนคุณนานขนาดนี้
จริงๆน่ะหรือ”
เอมิลี่เชิดหน้าเล็กน้อยอย่างไว้ท่าที
เด็กหนุ่มถอนหายใจกับท่าทีเธอ “คุณรู้ตัวว่าคุณสวยใช่ไหม” เขาถาม “คุณรู้ตัวว่าผู้ชายแบบเราต้องมาจีบคุณแน่นอน”
เอมิลี่ยักไหล่
เธอไม่รู้เรื่องนั้นหรอก -- เธอนึกหน้าตาเฉย -- แต่เธอรู้ว่าตัวเองสวย
เด็กหนุ่มยิ้มกว้างกว่าเดิม ราวกับรับรู้คำตอบนั่นอยู่ก่อนแล้ว
“เธอชื่ออะไรหรือ” เอมิลี่ถามในที่สุด
คำถามนั้นทำให้เด็กหนุ่มหัวเราะดังกว่าเดิมเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับมาว่า “ถ้าอยากรู้ คุณมาที่บาร์หัวมุมถนนสิ คุณรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน จริงไหม” เด็กหนุ่มเดินถอยหลังอย่างสบายอารมณ์ “ผมมีเล่นดนตรีที่นั่น -- มาสิ -- แล้วคุณจะรู้ว่าวงพลูโตของเราเป็นยังไง และผมร้องเพลงเอาจริงเอาจังมากแค่ไหน”
เอมิลี่กลอกตา
เสียงของแดนนี่ก้องกังวานในหัวของเธอในทันที --
เรามีวงดนตรีที่นั่น
พวกผู้ชาย -- เอมิลี่นึก -- แน่นอนสิ ว่าพวกเขาต้องเล่นดนตรีที่บาร์นั่น -- หยั่งกะว่าในเมืองเล็กๆนี่จะมีเวทีให้พวกเขาแสดงกันมากนักนี่
“รหัสคือเมลลอน” เด็กหนุ่มบอก “ถ้าคุณมา -- แค่คุณบอกรหัสนี่กับคนเฝ้าประตู พวกเขาจะให้คุณเข้าไป”
เมลลอน -- เอมิลี่ทวนคำนั้นในใจ
บาร์นั่นยังใช้รหัสนี้อยู่ไหมนะ
“มันเป็นบาร์ส่วนตัวน่ะ -- หลายคนในเมืองยังไม่รู้ความลับนี้เลย ว่าเรามีการแสดงส่วนตัวในวันที่บาร์ปิด -- เหมือนคอนเสิร์ตเล็กๆของพวกวงดนตรีอย่างไรกันล่ะ” เด็กหนุ่มบอก “นักดนตรีในเมืองทุกคนชอบแสดงที่บาร์นี่ก็เพราะแบบนี้แหละ!”
“แน่นอนเธอต้องแสดงที่นั่น” เอมิลี่พึมพัมออกมา
แล้วเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เด็กหนุ่มคนนั้นก็ไม่ได้เดินเป็นเพื่อนเธออีกต่อไป
หากแต่เขาวิ่งตรงเข้าไปในเมือง พร้อมกับตะโกนลั่นมาตามทางว่า “ผมจะรอคุณ”
SHE,SUMMER เธอ,ฤดูร้อน (4)
จนกระทั่งร่างของพีเตอร์ แฮมเดินหายไปจากสายตา เธอจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ในที่สุดเธอก็สลัดแฮมเน่าจอมโรคจิตคนนั้นไปได้
“ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะตามคุณมาถึงนี่” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากข้างๆเธอ
เอมิลี่หันไปทางต้นเสียง ก่อนที่จะเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนมองเธออยู่เงียบๆ ในชุดเสื้อยืด และกางเกงยีนส์ที่มีรอยขาด
เอมิลี่มองใบหน้าอันอ่อนเยาว์นั่น ไล่สายตามองไปตามเรือนผมสีทอง และใบหูที่เจาะต่างหูข้างหนึ่งอย่างช้าๆ
เกิดอะไรขึ้นกับต่างหูอีกข้างหนึ่งของเขากัน -- เอมิลี่นึก
เด็กหนุ่มยักไหล่
“ผมให้คนรักของผมไป” เขาบอกสั้นๆ เมื่อเห็นสีหน้าของเธอ ก่อนจะพยักเพยิดไปทางด้านหนึ่งของสถานีรถไฟ “ผู้ชายแฮมเน่าคนนั้นจะหาคุณเจอ ถ้าคุณยังยืนหลบอยู่หลังเสาแบบนี้”
เอมิลี่ดูทึ่งขึ้นมาเล็กน้อย
เขารู้จักแฮมเน่าคนนั้นหรือ --
“คนนามสกุลแฮมแบบนั้น เดาได้ไม่ยากหรอกว่าเป็นคนแบบไหน” เด็กหนุ่มตอบกลับมาราวกับอ่านความคิดเธอได้ ก่อนจะเดินนำไปยังทางออกอีกทาง “คุณไม่มาด้วยกันหรือ” เขาถาม
เอมิลี่เดินตามเด็กหนุ่มไป จนกระทั่งทะลุมาถึงถนนที่อยู่ทางด้านหลังสถานี
เอมิลี่กระชับเสื้อคลุมตัวโคร่งเข้ากับตัว เดินไปตามถนนขรุขระที่เต็มไปด้วยกรวดหิน และขนาบไปด้วยทุ่งหญ้าสีเขียวนั่นอย่างรวดเร็ว
“นี่เข้าหน้าร้อนแล้ว” เด็กหนุ่มพูดขึ้น “คุณใส่เสื้อคลุมตัวใหญ่ขนาดนี้ ไม่ร้อนหรอกหรือ”
เอมิลี่มองชุดกระโปรงสีแดงข้างใน
ไม่ เธอถอดเสื้อคลุมออกไม่ได้ -- ชุดนี้มันเด่นเกินไป --
เด็กหนุ่มมองชายกระโปรงแดงนั่น ก่อนจะวนสายตากลับมาพินิจใบหน้าเธอ --
“ผมรู้จักคุณ” เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว
ใช่ -- เอมิลี่ตอบในใจ กระชับเป้แน่น เร่งฝีเท้าเดินไปตามทาง จนรู้สึกร้อนขึ้นมาแล้วจริงๆ
ฉันลืมไปแล้วว่าเมืองนี้ร้อนมากแค่ไหนในหน้าร้อน -- เธอนึก
“โอ คุณเป็นคนที่นี่” เด็กหนุ่มร้องออกมา “มิน่าผมคุ้นหน้าคุณ”
เอมิลี่ยักไหล่ --
ความจริงแล้ว เธอก็คุ้นหน้าเขา -- เธออาจจะจากเมืองนี้ไปนานจริงๆ จนภาพใบหน้าของผู้คนในอดีตเริ่มเลือนรางไป
แต่ -- เอมิลี่เหลือบตามองเด็กหนุ่มข้างตัว -- เธอกลับจำรายละเอียดของเด็กหนุ่มคนนี้ได้ดีกว่าที่คิด
“คุณอาจจะเคยเห็นผมร้องเพลงที่บาร์” เด็กหนุ่มยิ้มยิงฟัน ยกชายเสื้อขึ้น จนเห็นรอยสักที่เอวข้างขวาของตนเองเป็นคำว่า ‘พลูโต’
เอมิลี่หลับตาแน่น ราวกับเจ็บปวดกับภาพที่เห็น
ทำไมเขากล้าเปิดเสื้อให้คนแปลกหน้าดูแบบนี้กัน -- เธอโหยหวนในใจ -- ต่อให้เขาจะมีกล้ามหน้าท้องก็ตาม
เด็กหนุ่มดูแปลกใจ
“คุณทำตัวเหมือนคุณเป็นคนแปลกหน้ากับผม --” เขาว่า “แต่คุณไม่ใช่คนแปลกหน้านี่ -- คุณเป็นคนที่นี่ และคุณคุ้นหน้าผม จริงไหม”
เอมิลี่เร่งฝีเท้าเดินนำอีกฝ่าย สะบัดเรือนผมไปให้พ้นใบหน้า ไม่สนใจที่จะต่อบทสนทนาแม้แต่คำเดียว
“คุณเย็นชากว่าที่ผมคิด -- สาวผมดำคนอื่นๆที่ผมรู้จักยังไม่เย็นชาเท่าคุณ” เด็กหนุ่มวิ่งตามติดมา จนกลับมาเดินข้างเธอได้สำเร็จ “นั่นเป็นเหตุผลที่ผมคุณมีสีแดงในตอนที่โดนแสงแดดหรือเปล่า”
เอมิลี่ชะงักฝีเท้า ขยับฮู้ดออกไปให้พ้นใบหน้าตนเองเล็กน้อย ก่อนที่จะสบตามองอีกฝ่ายนิ่ง “เธอพูดว่าอะไรนะ” เธอถามเสียงเบา
“คุณยอมพูดกับผมแล้ว”
เด็กหนุ่มมองเรือนผมของเธอ ก่อนที่จะพยักหน้าไปทางแสงแดดยามเช้าที่สาดส่องมาทางพวกเขา ริมฝีปากหยักนั่นขยับช้าๆ ค่อยๆเปล่งเสียงตอบออกมา
หากแต่เอมิลี่รีบเบือนหน้าหนี แล้วออกเดินต่อในทันที
เด็กหนุ่มชะงักไป ริมฝีปากยังคงเผยอเล็กน้อยในตอนที่เห็นเธอเดินหนี
“ผมรู้ว่าคุณชอบรอยสักของผม” เขาหัวเราะ “คุณอยากรู้ว่าทำไมถึงเป็นคำว่าพลูโต”
เด็กหนุ่มวิ่งกลับมาเดินข้างเธออีกครั้ง
“พลูโตเป็นดาวที่เป็นตัวแทนแห่งการเปลี่ยนแปลง และการเกิดใหม่” เขาบอก “เขาว่ากันว่ามันเป็นดาวที่เป็นตัวแทนของความรุนแรง และเอาจริงเอาจัง”
เอมิลี่เผลอหัวเราะออกมา ในขณะที่ยกมือเช็ดเหงื่อไปจากลำคอตนเอง
รุนแรง และเอาจริงเอาจัง -- เธอทวนในใจ -- เขากำลังพูดเหมือนพลูโตเป็นมนุษย์ก็ไม่ปาน
“เขาว่ากันว่าผู้ที่มาจากดาวพลูโต จะเอาจริงเอาจัง และทรงพลังรุนแรง” เด็กหนุ่มหัวเราะตาม “และนั่นทำให้พวกเขาต้องผ่านด่านทดสอบแสนสาหัสหลายครั้ง -- แต่พวกเขาจะผ่านไปได้ และแปลงร่างเป็นคนๆใหม่ ราวกับเกิดใหม่ก็ไม่ปาน”
เอมิลี่คิดตาม
นั่นฟังดูดีมาก -- เธอยอมรับ -- ฟังดูเหมือนไม่มีใครสามารถโค่นผู้ที่มาจากดาวพลูโตได้ และการเกิดใหม่ฟังดูเป็นเรื่องที่ดีจนน่าทึ่ง
จากนั้นเธอก็พึมพัมออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า “ฉันน่าจะเอาเรื่องนี้เล่าให้บอนนี่ฟังบ้าง”
“ใครคือบอนนี่หรือ” เด็กหนุ่มถาม
บอนนี่ --
แวบนั้นเอมิลี่เหนื่อยเกินกว่าจะอธิบายเขา
หากแต่เธอพึมพัมออกมาอีกครั้งว่า “คงจะดี ถ้าเราได้เป็นชาวพลูโต -- พวกเขาคงมีชีวิตที่ดีและง่ายกว่ามนุษย์โลก --”
“ใช่ พวกเขาแปลงความเจ็บปวดที่เผชิญให้มาเป็นพลังของตนเองได้ นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาเกิดใหม่ได้” เด็กหนุ่มเห็นด้วย “แต่พวกเขาต้องผ่านบทดสอบที่แสนสาหัสมาก่อนทั้งนั้น --”
เด็กหนุ่มเหลือบมองมาทางเอมิลี่เล็กน้อย -- เอมิลี่เองก็หันมาสบตาเขาในวินาทีเดียวกัน
หากแต่ไม่มีใครหลบสายตาของกันและกันในครั้งนี้
“เพลงของผมก็เอาจริงเอาจังเหมือนกัน” เด็กหนุ่มบอกเบาๆ “วงของผมถึงชื่อพลูโต”
เอมิลี่ทอดสายตาไปตามถนนเบื้องหน้าตนเอง รู้สึกดีใจเมื่อเริ่มมองเห็นตัวเมือง
แน่นอนล่ะ ว่าเขาจริงจังกับดนตรี -- เธอถอนหายใจ -- ไม่อย่างนั้นเขาจะสักมันทำไม
“ผมหมายความว่าเพลงของผมเอาจริงเอาจังแบบจริงๆ” เด็กหนุ่มย้ำ
เอมิลี่ยังคงเดินต่อไป ท่าทีนิ่งเฉยเสียจนอีกฝ่ายหยุดเดินตามเธอ
“เอมิลี่” เด็กหนุ่มเรียกชื่อเธอออกมา
เอมิลี่หยุดฝีเท้า หันกลับมามองเด็กหนุ่มที่กำลังถอนหายใจอย่างยาวเหยียด
“จริงๆนะ” เขาบอก “ถึงขนาดนี้แล้ว คุณจะยังไม่ถามชื่อผมหน่อยหรือ”
เอมิลี่เม้มริมฝีปากแน่น ดูลังเลและชั่งใจในอะไรบางอย่าง
“คุณคิดว่าเราเป็นคนแปลกหน้ากันขนาดนั้นเลยหรือไง” เด็กหนุ่มถาม “และอย่าทำแบบนั้น --”
เอมิลี่เลิกคิ้ว
เด็กหนุ่มชี้ไปที่ริมฝีปากเธอ “คุณเม้มปาก” เขาบอก “แล้วมันทำให้ลิปสติกเปื้อนริมฝีปากคุณ -- คุณไม่ชอบแบบนั้นหรอก จริงไหม”
เอมิลี่มองเด็กหนุ่มเดินเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ
“คุณจะไม่ถามชื่อผมจริงๆหรือ” เขายิ้ม ใบหน้าอ่อนเยาว์ดูสดใสขึ้นมามากกว่าเดิม เมื่อเห็นท่าทีลังเลของเธอ ราวกับกำลังสนุกสนานในอะไรบางอย่าง “ไม่อยากรู้จักผมสักนิดจริงๆน่ะหรือ -- ไม่อยากรู้จักเด็กหนุ่มคนนี้ที่เดินมาเป็นเพื่อนคุณนานขนาดนี้จริงๆน่ะหรือ”
เอมิลี่เชิดหน้าเล็กน้อยอย่างไว้ท่าที
เด็กหนุ่มถอนหายใจกับท่าทีเธอ “คุณรู้ตัวว่าคุณสวยใช่ไหม” เขาถาม “คุณรู้ตัวว่าผู้ชายแบบเราต้องมาจีบคุณแน่นอน”
เอมิลี่ยักไหล่
เธอไม่รู้เรื่องนั้นหรอก -- เธอนึกหน้าตาเฉย -- แต่เธอรู้ว่าตัวเองสวย
เด็กหนุ่มยิ้มกว้างกว่าเดิม ราวกับรับรู้คำตอบนั่นอยู่ก่อนแล้ว
“เธอชื่ออะไรหรือ” เอมิลี่ถามในที่สุด
คำถามนั้นทำให้เด็กหนุ่มหัวเราะดังกว่าเดิมเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับมาว่า “ถ้าอยากรู้ คุณมาที่บาร์หัวมุมถนนสิ คุณรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน จริงไหม” เด็กหนุ่มเดินถอยหลังอย่างสบายอารมณ์ “ผมมีเล่นดนตรีที่นั่น -- มาสิ -- แล้วคุณจะรู้ว่าวงพลูโตของเราเป็นยังไง และผมร้องเพลงเอาจริงเอาจังมากแค่ไหน”
เอมิลี่กลอกตา
เสียงของแดนนี่ก้องกังวานในหัวของเธอในทันที -- เรามีวงดนตรีที่นั่น
พวกผู้ชาย -- เอมิลี่นึก -- แน่นอนสิ ว่าพวกเขาต้องเล่นดนตรีที่บาร์นั่น -- หยั่งกะว่าในเมืองเล็กๆนี่จะมีเวทีให้พวกเขาแสดงกันมากนักนี่
“รหัสคือเมลลอน” เด็กหนุ่มบอก “ถ้าคุณมา -- แค่คุณบอกรหัสนี่กับคนเฝ้าประตู พวกเขาจะให้คุณเข้าไป”
เมลลอน -- เอมิลี่ทวนคำนั้นในใจ
บาร์นั่นยังใช้รหัสนี้อยู่ไหมนะ
“มันเป็นบาร์ส่วนตัวน่ะ -- หลายคนในเมืองยังไม่รู้ความลับนี้เลย ว่าเรามีการแสดงส่วนตัวในวันที่บาร์ปิด -- เหมือนคอนเสิร์ตเล็กๆของพวกวงดนตรีอย่างไรกันล่ะ” เด็กหนุ่มบอก “นักดนตรีในเมืองทุกคนชอบแสดงที่บาร์นี่ก็เพราะแบบนี้แหละ!”
“แน่นอนเธอต้องแสดงที่นั่น” เอมิลี่พึมพัมออกมา
แล้วเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เด็กหนุ่มคนนั้นก็ไม่ได้เดินเป็นเพื่อนเธออีกต่อไป
หากแต่เขาวิ่งตรงเข้าไปในเมือง พร้อมกับตะโกนลั่นมาตามทางว่า “ผมจะรอคุณ”