ยอดติดโควิดรวม ATK วันนี้ 47,335 ราย ดับนิวไฮ 97 กทม.ป่วยสูงสุด 3,103
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_3268497
ยอดติดโควิดรวม ATK วันนี้ 47,335 ราย ดับนิวไฮ 97 กทม.ป่วยสูงสุด 3,103
วันที่ 3 เมษายน ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 เผยแพร่ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ประจำวันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน 2565 โดยวันนี้มียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจำนวนรวม 26,840 ราย จำแนกเป็นผู้ป่วยจากในประเทศ 26,800 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 40 ราย ผู้ป่วยสะสม 1,488,160 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)
หายป่วยกลับบ้าน 23,412 ราย หายป่วยสะสม 1,258,560 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ผู้ป่วยกำลังรักษา 259,126 ราย และเสียชีวิต 97 ราย
จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบ รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 1,838 ราย เฉลี่ยจังหวัดละ 24 ราย อัตราครองเตียง ร้อยละ 30.0
ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อที่ตรวจโดย ATK วันนี้อยู่ที่ 20,495 ราย โดยยอดผู้ติดเชื้อสูงสุดยังคงเป็น กทม. อยู่ที่ 3,103 ราย
โลกก้าวสู่ยุคแบ่งขั้วอำนาจ “TDRI” แนะตีโจทย์ วางกลยุทธ์เคลื่อนเศรษฐกิจ
https://www.prachachat.net/finance/news-902287
TDRI เผยสงครามรัสเซีย-ยูเครน ผลักโลกก้าวสู่ยุคแบ่งขั้วอำนาจ ชี้ไทยต้องตี 3 โจทย์ใหญ่ เลือกฝั่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พร้อมเปิดกลยุทธ์ต้องทำ หวังรัฐบาลใหม่เข้าใจความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์
วันที่ 2 เมษายน 2565 นาย
สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เปิดเผยว่า หลังจากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน มีโลกอยู่ 3 ขั้ว ได้แก่ กลุ่มโลกทางยุโรป และอเมริกาที่ใกล้ชิดกันมากขึ้น จึงกลายเป็น 1 ขั้วที่กำหนดระบบของโลก กลุ่มต่อมาคือ จีน และอันดับสุดท้ายเป็นประเทศอื่นๆ ที่เหลือในโลก อย่างไรก็ดี 2 ขั้วแรกสามารถกำหนดมาตรฐานทางเศรษฐกิจ และเทคโนโลยีต่างๆ ได้ ซึ่งประเทศไทยเป็นจุดสำคัญอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่จะต้องเลือกฝั่ง เนื่องจากระยะต่อไปจะมีแนวโน้มเป็น 2 มาตรฐานที่แข่งขันกัน
“รูปแบบที่เห็นตอนนี้คือ เทคโนโลยี หากมี 6G เกิดขึ้น อาจจะมีการแย่งห่วงโซ่อุปทานกัน ซึ่งจะมีมาตรฐานระหว่างตะวันตก และจีน ซึ่งประเทศไทยจะเจอโจทย์ว่าจะเลือกเล่นฝั่งใด และยังมีมาตรฐานเศรษฐกิจและสังคมอีกมากที่จะต้องตัดสินใจ ซึ่งยังมีโจทย์ที่ประเทศขนาดเล็กอย่างไทยยากที่จะไปกำหนดกฎกติกาของโลก”
ทั้งนี้ ไทยต้องมีการตีโจทย์ 3 ข้อ ได้แก่
1. การรักษาระยะห่างที่เหมาะสมกับคู่ขัดแย้ง ซึ่งจะต้องมีการรักษาระยะห่างเท่าๆ กัน
2. ไทยต้องบริหารความสมดุลของเศรษฐกิจอย่างเหมาะสม ซึ่งปัจจุบันด้านการส่งออกยังบริหารได้อย่างดี แต่ในรายละเอียดยังต้องมีความสมดุล ซึ่งอาจมีผลต่อการกำหนดนโยบาย เช่น การบริหารความสมดุลเรื่องนักท่องเที่ยว ที่พึ่งพานักท่องเที่ยวจีนจำนวนมาก โดยก่อนโควิดนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่มาไทย 39 ล้านคน เป็นนักท่องเที่ยวจีนประมาณ 1 ใน 3 ฉะนั้น เมื่อจีนมีนโยบายป้องกันโควิด ยังไม่อนัญาตให้เดินทางออกนอกประเทศ การท่องเที่ยวไทยก็ทรุดลง
3. เทคโนโลยี ซึ่งเป็นอีกหนึ่งส่วนที่จะต้องตัดสินใจ แม้ว่าขณะนี้เทคโนโลยีไทยยังพัฒนาไม่ถึงที่จะไปเกี่ยวข้องกับซัพพลายเชนสินค้ายุทธศาสตร์ที่มีความขัดแย้งระหว่างจีนและอเมริกา รวมทั้งโลกตะวันตก แต่ในอนาคตจะเป็นแรงกดดันที่จะต้องการให้เลือกฝั่ง
นาย
สมเกียรติ กล่าวว่า เศรษฐกิจของไทยภายใต้โครงสร้างภูมิรัฐศาสตร์ที่โลกกำลังแบ่งขั้วกัน กลยุทธ์ของประเทศไทยที่จะต้องทำ ได้แก่ การเน้นการรวมกลุ่มทางภูมิภาค โดยเฉพาะอาเซียนให้มากขึ้น ซึ่งจะต้องใช้อาเซียนเป็นตลาด แรงงาน และแหล่งพลังงาน เนื่องจากขณะนี้อาเซียนเป็นตลาดที่กำลังโตเร็ว มีประชากร 620 ล้านคน และเศรษฐกิจเติบโตเฉลี่ย 5%
ขณะที่ประเทศไทยทำได้ 3% ถือว่าเก่งมากแล้ว เนื่องจากประชากรมีเพียง 70 ล้านคน และอีกส่วนที่เศรษฐกิจเติบโตใกล้เคียงอาเซียนก็คือ จีน ซึ่งมีประชากร 1,400 ล้านคน โดยจีนก็อยู่ในโลกที่แบ่งขั้ว ฉะนั้น ไทยจึงควรถอยออกมา เพื่อรักษาระยะห่างที่เหมาะสม
“ในทางเศรษฐกิจเราควรไปหาตลาดใหม่มากขึ้น และเสนอว่าเป็นตลาดอาเซียน เพราะเป็นกลุ่มที่เหมาะสมสำหรับไทย ซึ่งเรามีเทคโนโลยีระดับปานกลาง เรามีแบรนด์ที่อยู่ในตลาดอาเซียน และอาเซียนก็ยังเป็นแหล่งแรงงานได้ รวมทั้งแหล่งพลังงาน ตอนนี้เราก็พึ่งพาไฟฟ้าจากลาว หากเชื่อมโยงโครงข่าวไฟฟ้าทั่วอาเซียนได้ จะมีโอกาสบริหารพลังงานภายในได้อย่างเหมาะสมด้วย โดยธุรกิจไทยก็เห็นโอกาสนี้มาพอสมควร โดยบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (ตลท.) มี 220 บริษัทแล้วที่ลงทุนในอาเซียน ลงทุนต่อปี 1.5 แสนล้านบาท ได้รายได้กลับมาปีละ 5 แสนล้านบาท จากรายได้ที่ไทยได้จากลงทุนในต่างประเทศ 3 ล้านล้านบาท”
ขณะเดียวกันต้องสร้างงานชนิดใหม่ในไทย ซึ่งอนาคตจะมีการย้ายฐานการผลิตจากปัญหาขวามขัดแย้งต่างๆ โดยจะเป็นโอกาสของไทย ที่จะดึงการลงทุนในเทคโนโลยีที่สูงขึ้น อย่างไรก็ ในทางการเมืองจะต้องมีทิศทางที่สอดคล้องกับประเทศเพื่อบ้านมากขึ้น เพื่อให้ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งนี้ ประเทศไทยมีความสัมพันธ์อันดีกับขั้วมหาอำนาจ จะต้องรักษาสัมพันธ์เหล่านี้ไว้ต่อไป เพราะจะทำให้ไทยสามารถหาตลาดในโลกได้ แม้ปัจจุบันไทยยังไม่อยู่ในจุดต้องเลือกข้าง แต่จดนี้จะมาในวันใดวันหนึ่ง
ทั้งนี้ มองว่าประชาธิปไตยเป็นอนาคตสำหรับประเทศต่างๆ ในโลก และคาดว่าไทยจะมีการเลือกตั้งในปีหน้า ซึ่งมองว่าจะเป็นการเลือกตั้งรัฐบาลที่มีความเสรี และความเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น โดยการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่ที่จะได้มา จึงมองว่ารัฐบาลใหม่จะต้องเข้าใจความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ มากกว่าที่เป็นอยู่ ทั้งนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะมีบทบาทมากขึ้น จึงอยากเห็นรัฐบาลใหม่ของไทยรักษาความสมดุลกับประเทศมหาอำนาจได้อย่างเหมาะสม
"สวนดุสิตโพล" เผยคนไทยชอบเสี่ยงโชค ซื้อ "หวย"-ไม่เชื่อรัฐบาลแก้หวยแพงได้
https://www.bangkokbiznews.com/politics/997180
"สวนดุสิตโพล" เผยผลสำรวจประชาชนล่าสุด พบคนไทยส่วน 61.78% ชอบเสี่ยงโชค ซื้อหวย นิยมซื้อ "หวย" สลากกินแบ่งรัฐบาลมากที่สุด ขณะที่ 66.08% คิดว่ารัฐบาลไม่น่าจะแก้ปัญหาหวยแพงได้สำเร็จ
เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2565
“สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,081 คน (สำรวจทางออนไลน์) ระหว่างวันที่ 29-31 มีนาคม 2565 หัวข้อ “คนไทยกับหวย” เพื่อสะท้อนความคิดเห็นกรณีคนไทยกับ “หวย” อยู่คู่กันมาช้านาน หลายคนนิยมเสี่ยงโชคเพื่อความสนุกสนาน หลายคนก็หวังร่ำรวย ในภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่หรือรายได้ลดน้อยลงแต่คนไทยก็ยังนิยมซื้อหวยกันเหมือนเดิม
โดยพบว่า ประชาชนชอบเสี่ยงโชค ซื้อหวย ร้อยละ 61.78 นิยมซื้อหวยบนดิน (สลากกินแบ่งรัฐบาล) มากที่สุด ร้อยละ 54.05 รองลงมาคือ หวยใต้ดิน ร้อยละ 31.44 โดยซื้อทุกงวด ร้อยละ 28.49 ซื้อนาน ๆ ครั้ง ร้อยละ 26.46
สาเหตุที่ซื้อ คือ หวังถูกรางวัล หวังรวย ร้อยละ 54.60 ปัญหาที่พบจากการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล คือ ผู้ขายขายเกินราคา ร้อยละ 87.38 สิ่งที่อยากให้รัฐบาลดำเนินการคือ แก้ปัญหายี่ปั๊ว ซาปั๊ว ร้อยละ 64.00 รองลงมาคือ เพิ่มบทลงโทษให้หนักกรณีขายเกินราคา ร้อยละ 60.09 ประชาชนร้อยละ 64.07 เห็นด้วยหากมีการขายสลาก 80 บาท ผ่านแอปเป๋าตัง ในภาพรวมคิดว่ารัฐบาลไม่น่าจะแก้ปัญหาหวยแพงได้สำเร็จ ร้อยละ 66.08
นางสาว
พรพรรณ บัวทอง นักวิจัย สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เปิดเผยว่า ปัญหา “หวยแพง” มีมาช้านานและยังไม่มีรัฐบาลใดแก้ได้ ประชาชนจึงมองว่ารัฐบาลปัจจุบันก็ไม่น่าจะแก้ปัญหาหวยแพงได้สำเร็จเช่นกัน จะเห็นได้จากผลโพลที่ประชาชนสะท้อนว่า “มีการขายสลากเกินราคา” จากความหวังที่อยากจะรวยข้ามคืนในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด กลับต้องเจอปัญหาหวยแพงซ้ำเติม จึงอยากให้รัฐบาลแก้ปัญหาอย่างจริงจังมิใช่เพียงการไล่จับกุมปิดเว็บไซต์ขายหวยออนไลน์เพียงอย่างเดียว
ด้านผู้ช่วยศาสตราจารย์
นิศารัตน์ อิสระมโนรส รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เปิดเผยว่า จากผลการสำรวจของสวนดุสิตโพลจะพบว่าคนไทยมีความต้องการในการเสี่ยงโชคค่อนข้างสูงถึงแม้ว่าเศรษฐกิจจะไม่ค่อยดีก็ตาม แต่ยังอยากมีรายได้ที่ได้มาโดยง่าย จำนวนมาก และรวดเร็ว ทำให้หวยหรือสลากกินแบ่งรัฐบาลจึงเป็นที่นิยมของนักเสี่ยงโชค ซึ่งเราจะพบปัญหาของการขายหวยหรือสลากกินแบ่งรัฐบาลที่เกินราคาอยู่บ่อยครั้งและไม่สามารถที่จะแก้ปัญหานี้ได้อย่างถาวร เนื่องจากระบบในการจัดการการขายต่อเป็นทอดหรือยี่ปั๊ว ซาปั๊ว มีการทำกำไรจากส่วนต่างของต้นทุน ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะมีบทลงโทษในการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคาแล้วก็ตาม แต่การเสี่ยงที่จะขายก็ยังคงสร้างรายได้ให้กับคนขายลอตเตอรี่ได้ดีกว่าการไม่ได้ขาย
“การที่รัฐบาลจะเปลี่ยนรูปแบบการขายเป็นระบบออนไลน์อาจช่วยลดปัญหาของการขายเกินราคาได้แต่จะส่งผลกระทบต่ออาชีพคนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ทำเป็นอาชีพหลักในการดำรงชีวิต จึงคิดว่าการแก้ปัญหานี้อาจไม่ประสบความสำเร็จในระยะยาว” ผู้ช่วยศาสตราจารย์
นิศารัตน์ กล่าว
JJNY : ยอดรวมATK47,335 ดับนิวไฮ97│TDRIแนะวางกลยุทธ์เคลื่อนศก.│ดุสิตโพลไม่เชื่อแก้หวยแพงได้│ชี้ปชช.เห็นด้วยพรรคเล็กมีส.ส.
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_3268497
ยอดติดโควิดรวม ATK วันนี้ 47,335 ราย ดับนิวไฮ 97 กทม.ป่วยสูงสุด 3,103
วันที่ 3 เมษายน ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 เผยแพร่ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ประจำวันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน 2565 โดยวันนี้มียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจำนวนรวม 26,840 ราย จำแนกเป็นผู้ป่วยจากในประเทศ 26,800 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 40 ราย ผู้ป่วยสะสม 1,488,160 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)
หายป่วยกลับบ้าน 23,412 ราย หายป่วยสะสม 1,258,560 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ผู้ป่วยกำลังรักษา 259,126 ราย และเสียชีวิต 97 ราย
จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบ รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 1,838 ราย เฉลี่ยจังหวัดละ 24 ราย อัตราครองเตียง ร้อยละ 30.0
ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อที่ตรวจโดย ATK วันนี้อยู่ที่ 20,495 ราย โดยยอดผู้ติดเชื้อสูงสุดยังคงเป็น กทม. อยู่ที่ 3,103 ราย
โลกก้าวสู่ยุคแบ่งขั้วอำนาจ “TDRI” แนะตีโจทย์ วางกลยุทธ์เคลื่อนเศรษฐกิจ
https://www.prachachat.net/finance/news-902287
TDRI เผยสงครามรัสเซีย-ยูเครน ผลักโลกก้าวสู่ยุคแบ่งขั้วอำนาจ ชี้ไทยต้องตี 3 โจทย์ใหญ่ เลือกฝั่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พร้อมเปิดกลยุทธ์ต้องทำ หวังรัฐบาลใหม่เข้าใจความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์
วันที่ 2 เมษายน 2565 นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เปิดเผยว่า หลังจากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน มีโลกอยู่ 3 ขั้ว ได้แก่ กลุ่มโลกทางยุโรป และอเมริกาที่ใกล้ชิดกันมากขึ้น จึงกลายเป็น 1 ขั้วที่กำหนดระบบของโลก กลุ่มต่อมาคือ จีน และอันดับสุดท้ายเป็นประเทศอื่นๆ ที่เหลือในโลก อย่างไรก็ดี 2 ขั้วแรกสามารถกำหนดมาตรฐานทางเศรษฐกิจ และเทคโนโลยีต่างๆ ได้ ซึ่งประเทศไทยเป็นจุดสำคัญอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่จะต้องเลือกฝั่ง เนื่องจากระยะต่อไปจะมีแนวโน้มเป็น 2 มาตรฐานที่แข่งขันกัน
“รูปแบบที่เห็นตอนนี้คือ เทคโนโลยี หากมี 6G เกิดขึ้น อาจจะมีการแย่งห่วงโซ่อุปทานกัน ซึ่งจะมีมาตรฐานระหว่างตะวันตก และจีน ซึ่งประเทศไทยจะเจอโจทย์ว่าจะเลือกเล่นฝั่งใด และยังมีมาตรฐานเศรษฐกิจและสังคมอีกมากที่จะต้องตัดสินใจ ซึ่งยังมีโจทย์ที่ประเทศขนาดเล็กอย่างไทยยากที่จะไปกำหนดกฎกติกาของโลก”
ทั้งนี้ ไทยต้องมีการตีโจทย์ 3 ข้อ ได้แก่
1. การรักษาระยะห่างที่เหมาะสมกับคู่ขัดแย้ง ซึ่งจะต้องมีการรักษาระยะห่างเท่าๆ กัน
2. ไทยต้องบริหารความสมดุลของเศรษฐกิจอย่างเหมาะสม ซึ่งปัจจุบันด้านการส่งออกยังบริหารได้อย่างดี แต่ในรายละเอียดยังต้องมีความสมดุล ซึ่งอาจมีผลต่อการกำหนดนโยบาย เช่น การบริหารความสมดุลเรื่องนักท่องเที่ยว ที่พึ่งพานักท่องเที่ยวจีนจำนวนมาก โดยก่อนโควิดนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่มาไทย 39 ล้านคน เป็นนักท่องเที่ยวจีนประมาณ 1 ใน 3 ฉะนั้น เมื่อจีนมีนโยบายป้องกันโควิด ยังไม่อนัญาตให้เดินทางออกนอกประเทศ การท่องเที่ยวไทยก็ทรุดลง
3. เทคโนโลยี ซึ่งเป็นอีกหนึ่งส่วนที่จะต้องตัดสินใจ แม้ว่าขณะนี้เทคโนโลยีไทยยังพัฒนาไม่ถึงที่จะไปเกี่ยวข้องกับซัพพลายเชนสินค้ายุทธศาสตร์ที่มีความขัดแย้งระหว่างจีนและอเมริกา รวมทั้งโลกตะวันตก แต่ในอนาคตจะเป็นแรงกดดันที่จะต้องการให้เลือกฝั่ง
นายสมเกียรติ กล่าวว่า เศรษฐกิจของไทยภายใต้โครงสร้างภูมิรัฐศาสตร์ที่โลกกำลังแบ่งขั้วกัน กลยุทธ์ของประเทศไทยที่จะต้องทำ ได้แก่ การเน้นการรวมกลุ่มทางภูมิภาค โดยเฉพาะอาเซียนให้มากขึ้น ซึ่งจะต้องใช้อาเซียนเป็นตลาด แรงงาน และแหล่งพลังงาน เนื่องจากขณะนี้อาเซียนเป็นตลาดที่กำลังโตเร็ว มีประชากร 620 ล้านคน และเศรษฐกิจเติบโตเฉลี่ย 5%
ขณะที่ประเทศไทยทำได้ 3% ถือว่าเก่งมากแล้ว เนื่องจากประชากรมีเพียง 70 ล้านคน และอีกส่วนที่เศรษฐกิจเติบโตใกล้เคียงอาเซียนก็คือ จีน ซึ่งมีประชากร 1,400 ล้านคน โดยจีนก็อยู่ในโลกที่แบ่งขั้ว ฉะนั้น ไทยจึงควรถอยออกมา เพื่อรักษาระยะห่างที่เหมาะสม
“ในทางเศรษฐกิจเราควรไปหาตลาดใหม่มากขึ้น และเสนอว่าเป็นตลาดอาเซียน เพราะเป็นกลุ่มที่เหมาะสมสำหรับไทย ซึ่งเรามีเทคโนโลยีระดับปานกลาง เรามีแบรนด์ที่อยู่ในตลาดอาเซียน และอาเซียนก็ยังเป็นแหล่งแรงงานได้ รวมทั้งแหล่งพลังงาน ตอนนี้เราก็พึ่งพาไฟฟ้าจากลาว หากเชื่อมโยงโครงข่าวไฟฟ้าทั่วอาเซียนได้ จะมีโอกาสบริหารพลังงานภายในได้อย่างเหมาะสมด้วย โดยธุรกิจไทยก็เห็นโอกาสนี้มาพอสมควร โดยบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (ตลท.) มี 220 บริษัทแล้วที่ลงทุนในอาเซียน ลงทุนต่อปี 1.5 แสนล้านบาท ได้รายได้กลับมาปีละ 5 แสนล้านบาท จากรายได้ที่ไทยได้จากลงทุนในต่างประเทศ 3 ล้านล้านบาท”
ขณะเดียวกันต้องสร้างงานชนิดใหม่ในไทย ซึ่งอนาคตจะมีการย้ายฐานการผลิตจากปัญหาขวามขัดแย้งต่างๆ โดยจะเป็นโอกาสของไทย ที่จะดึงการลงทุนในเทคโนโลยีที่สูงขึ้น อย่างไรก็ ในทางการเมืองจะต้องมีทิศทางที่สอดคล้องกับประเทศเพื่อบ้านมากขึ้น เพื่อให้ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งนี้ ประเทศไทยมีความสัมพันธ์อันดีกับขั้วมหาอำนาจ จะต้องรักษาสัมพันธ์เหล่านี้ไว้ต่อไป เพราะจะทำให้ไทยสามารถหาตลาดในโลกได้ แม้ปัจจุบันไทยยังไม่อยู่ในจุดต้องเลือกข้าง แต่จดนี้จะมาในวันใดวันหนึ่ง
ทั้งนี้ มองว่าประชาธิปไตยเป็นอนาคตสำหรับประเทศต่างๆ ในโลก และคาดว่าไทยจะมีการเลือกตั้งในปีหน้า ซึ่งมองว่าจะเป็นการเลือกตั้งรัฐบาลที่มีความเสรี และความเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น โดยการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่ที่จะได้มา จึงมองว่ารัฐบาลใหม่จะต้องเข้าใจความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ มากกว่าที่เป็นอยู่ ทั้งนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะมีบทบาทมากขึ้น จึงอยากเห็นรัฐบาลใหม่ของไทยรักษาความสมดุลกับประเทศมหาอำนาจได้อย่างเหมาะสม
"สวนดุสิตโพล" เผยคนไทยชอบเสี่ยงโชค ซื้อ "หวย"-ไม่เชื่อรัฐบาลแก้หวยแพงได้
https://www.bangkokbiznews.com/politics/997180
"สวนดุสิตโพล" เผยผลสำรวจประชาชนล่าสุด พบคนไทยส่วน 61.78% ชอบเสี่ยงโชค ซื้อหวย นิยมซื้อ "หวย" สลากกินแบ่งรัฐบาลมากที่สุด ขณะที่ 66.08% คิดว่ารัฐบาลไม่น่าจะแก้ปัญหาหวยแพงได้สำเร็จ
เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2565 “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,081 คน (สำรวจทางออนไลน์) ระหว่างวันที่ 29-31 มีนาคม 2565 หัวข้อ “คนไทยกับหวย” เพื่อสะท้อนความคิดเห็นกรณีคนไทยกับ “หวย” อยู่คู่กันมาช้านาน หลายคนนิยมเสี่ยงโชคเพื่อความสนุกสนาน หลายคนก็หวังร่ำรวย ในภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่หรือรายได้ลดน้อยลงแต่คนไทยก็ยังนิยมซื้อหวยกันเหมือนเดิม
โดยพบว่า ประชาชนชอบเสี่ยงโชค ซื้อหวย ร้อยละ 61.78 นิยมซื้อหวยบนดิน (สลากกินแบ่งรัฐบาล) มากที่สุด ร้อยละ 54.05 รองลงมาคือ หวยใต้ดิน ร้อยละ 31.44 โดยซื้อทุกงวด ร้อยละ 28.49 ซื้อนาน ๆ ครั้ง ร้อยละ 26.46
สาเหตุที่ซื้อ คือ หวังถูกรางวัล หวังรวย ร้อยละ 54.60 ปัญหาที่พบจากการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล คือ ผู้ขายขายเกินราคา ร้อยละ 87.38 สิ่งที่อยากให้รัฐบาลดำเนินการคือ แก้ปัญหายี่ปั๊ว ซาปั๊ว ร้อยละ 64.00 รองลงมาคือ เพิ่มบทลงโทษให้หนักกรณีขายเกินราคา ร้อยละ 60.09 ประชาชนร้อยละ 64.07 เห็นด้วยหากมีการขายสลาก 80 บาท ผ่านแอปเป๋าตัง ในภาพรวมคิดว่ารัฐบาลไม่น่าจะแก้ปัญหาหวยแพงได้สำเร็จ ร้อยละ 66.08
นางสาวพรพรรณ บัวทอง นักวิจัย สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เปิดเผยว่า ปัญหา “หวยแพง” มีมาช้านานและยังไม่มีรัฐบาลใดแก้ได้ ประชาชนจึงมองว่ารัฐบาลปัจจุบันก็ไม่น่าจะแก้ปัญหาหวยแพงได้สำเร็จเช่นกัน จะเห็นได้จากผลโพลที่ประชาชนสะท้อนว่า “มีการขายสลากเกินราคา” จากความหวังที่อยากจะรวยข้ามคืนในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด กลับต้องเจอปัญหาหวยแพงซ้ำเติม จึงอยากให้รัฐบาลแก้ปัญหาอย่างจริงจังมิใช่เพียงการไล่จับกุมปิดเว็บไซต์ขายหวยออนไลน์เพียงอย่างเดียว
ด้านผู้ช่วยศาสตราจารย์นิศารัตน์ อิสระมโนรส รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เปิดเผยว่า จากผลการสำรวจของสวนดุสิตโพลจะพบว่าคนไทยมีความต้องการในการเสี่ยงโชคค่อนข้างสูงถึงแม้ว่าเศรษฐกิจจะไม่ค่อยดีก็ตาม แต่ยังอยากมีรายได้ที่ได้มาโดยง่าย จำนวนมาก และรวดเร็ว ทำให้หวยหรือสลากกินแบ่งรัฐบาลจึงเป็นที่นิยมของนักเสี่ยงโชค ซึ่งเราจะพบปัญหาของการขายหวยหรือสลากกินแบ่งรัฐบาลที่เกินราคาอยู่บ่อยครั้งและไม่สามารถที่จะแก้ปัญหานี้ได้อย่างถาวร เนื่องจากระบบในการจัดการการขายต่อเป็นทอดหรือยี่ปั๊ว ซาปั๊ว มีการทำกำไรจากส่วนต่างของต้นทุน ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะมีบทลงโทษในการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคาแล้วก็ตาม แต่การเสี่ยงที่จะขายก็ยังคงสร้างรายได้ให้กับคนขายลอตเตอรี่ได้ดีกว่าการไม่ได้ขาย
“การที่รัฐบาลจะเปลี่ยนรูปแบบการขายเป็นระบบออนไลน์อาจช่วยลดปัญหาของการขายเกินราคาได้แต่จะส่งผลกระทบต่ออาชีพคนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ทำเป็นอาชีพหลักในการดำรงชีวิต จึงคิดว่าการแก้ปัญหานี้อาจไม่ประสบความสำเร็จในระยะยาว” ผู้ช่วยศาสตราจารย์นิศารัตน์ กล่าว