สวัสดีเราอายุ25 ปี
ทำงานที่องค์กรแห่งหนึ่ง เราเริ่มฝึกงานเป็นอาสามาตั้งแต่อายุ16 เรารักที่นี่มาก เรารักหัวหน้างานมากเป็นเหมือนพ่อและแม่ให้กับเรา เขาเรียกตัวเองกับเราว่าพ่อแม่ เราสนิทกันมากกว่าเรื่องงาน เราปรึกษากันทุกเรื่อง เราขอเรียกเขาว่าบอสละกัน (หัวหน้างานผู้หญิง) เราสนิทกันมากๆ บอสบอกว่าเขาคิดกับเราเหมือนเพื่อน เราทำงานด้วยกันตั้งแต่ 10.00-17.00 บางวันอาจจะดึกทุ่มหรือสองทุ่ม เเต่เราอยู่กับเขามากกว่าครอบครัวของเราซะอีก เราก็บ้างาน ชอบทำงาน และบางทีต้องออกต่างจังหวัด ไปเดือนละ2-3ครั้ง ซึ่งก็ไปกับบอสอ่ะนะ
เราทำงานวันอังคาร-อาทิตย์ วันจันทร์คือวันหยุด วันหยุดวันเดียวของเราาาาาทุกคนนนนนนนนนนนน มันคือวันเดียวที่เราจะนอนตื่นสาย ซักผ้า เล่นกับแมว กินข้าวกับครอบครัว
...........................................................
ขณะที่เรากำลังนอนเขี่ยมือถือนั้น สายโทรศัพท์ก็เข้า บอกให้เราไปทำงาน มีงานด่วนต้องทำ ซึ่งมันเป็นงานที่ไม่ด่วนเลย เราบอกว่าแต่นี่คือวันหยุด บอสบอกว่าทำงานจนกว่าวันหยุดมันจะมาหาเราเอง จะไม่มีวันหยุดอีกต่อไป วันจันทร์คือวันทำงาน บอสบอกกับเราว่า "ให้เราใส่ใจกับการทำงานมากกว่านี้" วันนั้นเป็นวันที่เราร้องไห้หนักมาก ไม่ใช่เสียใจที่เสียวันหยุดไป แต่ เราเสียใจที่บอกว่าเราไม่ใส่ใตเรื่องงาน แก!!! เราที่

ทุ่มเททุกอย่าง เรายอมกลับบ้านดึก ยอมไม่ได้เจอพ่อแม่ ยอมไม่มีเวลาส่วนตัว ก็เพราะงานมั้ย เราส่งงานตรงเวลาตลอด เพื่อนร่วมงานไม่ทำเราก็ทำแทน นี่คือเราไม่ใส่ใจหรอ ???
โอเค... หลังจากนั้นเราก็บ้างานมากกว่าเดิมอีก2เท่า เราได้ให้ย้ายออกจากสาขาใหญ่และให้ไปดูแลสาขาย่อย เราต้องออกบ้าน8โมง กลับถึงบ้าน1ทุ่ม ไปและกลับรวม 60 กิโลเมตร มีค่าน้ำมันรถให้เราวันละ100 บาท ซึ่งทุกคนรู้ใช่มั้ยว่ามันไม่พอ! 5555555555555555 5555 เราไม่แต่งหน้า ไม่ดูแลตัวเองเพราะมันเหนื่อยมากๆ กลับถึงบ้านแทบจะไม่อาบน้ำ เราทำแบบนั้นเกือบๆ2เดือน เราดำมาก โทรมมาก สิวเต็มหน้า เราเครียด เราไม่มีความสุขเลย
...........................................................
จนมาถึงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เราติดโควิดจ้า
ติดจากสำนักงานใหญ่ และทั้งสำนักงานก็ติดหมดเลย ทุกคนไปรวมกันอยู่ที่ รพ. รวมทั้งบอสด้วย เพราะเราแทบจะไม่เจอครอบครัวเลยจึงทำให้ครอบครัวเราไม่มีใครติด เราถูกรักษาใน รพ.ประจำอำเภอ 8 วัน อาการหนัก ปอดมีฝ่าขึ้นต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ มีไข้สูงถึง 40 ถึงส่งด่วนไป รพ.ประจำจังหวัด เรากลายเป็นคนไข้วิกฤต ใส่เครื่องช่วยหายใจตัวใหญ่ๆอ่ะ ที่ยัดเข้าไปจนเต็มรูจมูก เราไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย เราเบลอหนักมากๆ 3 วันแรก ร่างกายของเราไม่ตอบสนองยาเลย เราเหมือนคนบ้าเราเอาแต่ร้องไห้ กินข้าวไม่ได้ คนรอบข้างเริ่มเสียชีวิตไปทีละคน เตียงข้างๆเริ่มเสียชีวิต เราได้ยินเสียงความเจ็บปวดของเรา เราเข้าใจในความโดดเดี่ยวทุกคืนเราจะตื่นมาละร้องไห้ ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ร้องเรียกหาแม่ หาพี่สาว พยาบาลต้องรีบวิ่งมาหาเรา พยาบาลบางคนกอดเรา หมอบอกให้ญาติทำใจไว้ด้วย เรามีอาการแบบนั้นอยู่ 5 วัน หมอต้องให้ยานอนหลับ พี่สาวเราเป็นหมอโภชนาการ ร่วมมือกับหมอที่ดูแลเรา เรากินวิตตามินเยอะมาก นม อาหารเสริมกินจนเราท้อ มันเลยทำให้เรามีแรง มีกำลัง ปอดเราถูกทำลายหนักมาก
.. ตลอด5วันที่เราอยู่ในภาวะระหว่างความเป็นความตาย สิ่งที่เราคิดเราเสียดายเวลามากๆที่เราแทบจะไม่ได้อยู่กับครอบครัวเลย เรามีอีกหลายอยากมากที่อยากจะทำ อยากใช้ชีวิต อยากกิน อยากเที่ยว อยากแต่งตัวสวยๆ เราคิดถึงแม่ คิดถึงครอบครัว เราอยากดูแลเขา มันจึงทำให้เราสู้ เราต้องอดทนและต่อสู้กับความกลัวให้ได้
เราอยู่ รพ 1 เดือน อาการหลังโควิดทำให้เราไม่สามารถอยู่คนเดียวได้เลย เสียงเครื่องวัดค่าต่างๆดังในหูตลอดเวลา เราลุกเดินรอบบ้านตอนตีสองตีสาม เราควบคุมมันไม่ได้ เราอยู่กับคนเยอะๆไม่ได้ เรากลัว เราตกใจ จนเราต้องหาหมอจิตแพทย์ เราพักฟื้นจนถึงมกราคม เราเริ่มเข้างานหลังปีใหม่ และขอวันจันทร์คือวันหยุด ขอเลิกงาน 17.00 บอสเขาเสียใจมาก เขากลัวจะเสียเราไป เราสัมผัสได้ถึงความรักที่เขามีต่อเรามากๆนะ และเราก็รักเขามากๆ
...........................................................
เราเริ่มทำงานมาเรื่อยๆ หลายอย่างในชีวิตเราเปลี่ยนไป คิดงานไม่ออก ทำงานได้ไม่เท่าเดิม แค่นี้เราก็ต้องต่อสู้กับตัวเองแล้วป้ะ..
และ.. หนังม้วนเดิมกำลังจะฉายอีกรอบ..
หลายอย่างเราทำเหมือนเดิมไม่ได้ เราทำช้ากว่าเดิม เเต่บอสกลับเรียกร้องให้เราทำเหมือนเดิม
-เราทำงานค้างไว้ และบอสมาทำต่อ ก็บอกว่าเราควรเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่
-ออฟฟิศรก ก็ถ่ายรูปส่งมาให้เราว่าช่วยเก็บให้เข้าที่ด้วย คือ! ชั้นไม่ได้เป็นคนทำ ทำอย่างกะเราเป็นคนทำอย่างงั้นอ่ะ
-ตัวเองลืมปิดคอม พอมาเจอก็ถ่ายรูปส่งมาให้เรา ว่ามีใครมาเปิดมั้ย เพราะเราเข้าออฟฟิศวันสุดท้าย
คือเราอ่ะ ไม่ใช่ว่าเราจะดื้อ ไม่เชื่อฟัง ไม่รับการสอน เราพร้อมทำทุกอย่าง เพราะเรารักเขา เราทำงานกับเขามาเกือบ10ปี
เวลาที่เขาไม่สบาย เขาก็ไม่เข้าออฟฟิต ไม่มีงานด่วนก็ไม่เข้า เราไม่ได้ว่าอะไรเลย
แต่พอเราป่วย เราขอพัก เราลา ก็ยังโทรหาเรา เราไม่สบายเรายังต้องนอนฟังเขาบ่นเรื่องงานเรื่องครอบครัว ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากฟังนะ แต่คือเราไม่สบาย เราลาเพื่อใช้เวลากับครอบครัว มั้ย??
ถ้าไม่เจอกันประมาณ 3-4 วัน บอสจะเริ่มนิ่ง ขึม สั่งงานด้วยน้ำเสียงโมโห ตามงานด้วยอารมณ์ ซึ่งอันนี้เป็นมาตลอด เราพยายามมองข้าม และคิดว่าเขาคงเป็น ปจด หงุดหงิด ช่วยกินอะไรอร่อยๆ สรุปว่ามีเรื่องเครียดมาจากที่อื่นแล้วมาลงกับเรา พอเราถามว่าเป็นอะไรรึป่าว หลังจากนั้นก็เม้าได้ทั้งวัน หรือบางครั้งหิวข้าวแล้วไม่รู้ว่าตัวเองหิว โมโหลงอารมกับการตามงานของเราตลอด!!! ทุกคนมันไม่ใช่แค่ครั้งเดียว เขาเป็นบ่อยจนเรารู้
แต่การที่เรารู้ ก็ไม่ใช่ว่าเราจะไม่มีความรู้สึกนะ เรารู้สึกเริ่มมีบาดแผลกับเขาที่ละนิดจากคำพูดของเขา จากการใช้อารม
เขาเคยถามเราว่า "แม่มีอะไรที่ไม่น่ารักก็บอกแม่เลยนะ" เราก็เลยเปิดใจว่า "บางครั้งที่ทำงานไม่ต้องใส่อารมก็ได้หนูไม่ได้ดื้อ หนูเชื่อฟัง หนูพยามแก้ไข ถ้าเราคุยกันดีๆไม่ใช้อารมเราจะทำงานสนุกกว่านี้มากๆ" เขาก็ขอโทษ เขาเป็นคนน่ารักคนนึงเลยนะ เขาดีกับเรามากๆ แต่ที่เราไม่ไหววันนี้คือ..
เราเริ่มเจออารมที่บ่อยขึ้น เพราะเขามีเรื่องเครียดเยอะ เรากดดันที่ต้องโดนคนปะทะอารมณ์ เราเจ็บปวดที่เขาทำเหมือนว่าเราเป็นแค่คนนอก เป็นแค่ลูกจ้าง แต่เราก็เป็นจริง55555 อาจจะเป็นเพราะเรารักเขาหรอจึงทำให้เราเสียใจมากขนาดนี้
เราไม่เคยพูดเรื่องนี้เลยแม้แต่ครอบครัว เราเก็บมันไว้คนเดียว มันอึดอัดจนทำให้เราแย่ ยิ่งบวกกับอาการป่วยของเรามันยิ่งหนักกว่าเดิม ตอนนี้อย่าคาดหวังว่าเขาจะเข้าใจเรา ขอแค่อย่าใช้อารมณ์และคำพูดที่ประชดประชันเพื่อสร้างบาดแผลให้เรามากไปกว่านี้เลย..
........................................
ขอบคุณทุกคนนะที่อ่านจนจบ วันนี้เราไม่ไหวจริงๆ เราอยากจะระบายมันออกมา อยากจะร้องไห้ ไม่อยากเก็บไว้แล้ว
เรารักที่นี่
เรารักงานที่เราทำ
เราเหนื่อย กอดเราหน่อยได้มั้ย ??
ทำงานที่องค์กรแห่งหนึ่ง เราเริ่มฝึกงานเป็นอาสามาตั้งแต่อายุ16 เรารักที่นี่มาก เรารักหัวหน้างานมากเป็นเหมือนพ่อและแม่ให้กับเรา เขาเรียกตัวเองกับเราว่าพ่อแม่ เราสนิทกันมากกว่าเรื่องงาน เราปรึกษากันทุกเรื่อง เราขอเรียกเขาว่าบอสละกัน (หัวหน้างานผู้หญิง) เราสนิทกันมากๆ บอสบอกว่าเขาคิดกับเราเหมือนเพื่อน เราทำงานด้วยกันตั้งแต่ 10.00-17.00 บางวันอาจจะดึกทุ่มหรือสองทุ่ม เเต่เราอยู่กับเขามากกว่าครอบครัวของเราซะอีก เราก็บ้างาน ชอบทำงาน และบางทีต้องออกต่างจังหวัด ไปเดือนละ2-3ครั้ง ซึ่งก็ไปกับบอสอ่ะนะ
เราทำงานวันอังคาร-อาทิตย์ วันจันทร์คือวันหยุด วันหยุดวันเดียวของเราาาาาทุกคนนนนนนนนนนนน มันคือวันเดียวที่เราจะนอนตื่นสาย ซักผ้า เล่นกับแมว กินข้าวกับครอบครัว
...........................................................
ขณะที่เรากำลังนอนเขี่ยมือถือนั้น สายโทรศัพท์ก็เข้า บอกให้เราไปทำงาน มีงานด่วนต้องทำ ซึ่งมันเป็นงานที่ไม่ด่วนเลย เราบอกว่าแต่นี่คือวันหยุด บอสบอกว่าทำงานจนกว่าวันหยุดมันจะมาหาเราเอง จะไม่มีวันหยุดอีกต่อไป วันจันทร์คือวันทำงาน บอสบอกกับเราว่า "ให้เราใส่ใจกับการทำงานมากกว่านี้" วันนั้นเป็นวันที่เราร้องไห้หนักมาก ไม่ใช่เสียใจที่เสียวันหยุดไป แต่ เราเสียใจที่บอกว่าเราไม่ใส่ใตเรื่องงาน แก!!! เราที่
โอเค... หลังจากนั้นเราก็บ้างานมากกว่าเดิมอีก2เท่า เราได้ให้ย้ายออกจากสาขาใหญ่และให้ไปดูแลสาขาย่อย เราต้องออกบ้าน8โมง กลับถึงบ้าน1ทุ่ม ไปและกลับรวม 60 กิโลเมตร มีค่าน้ำมันรถให้เราวันละ100 บาท ซึ่งทุกคนรู้ใช่มั้ยว่ามันไม่พอ! 5555555555555555 5555 เราไม่แต่งหน้า ไม่ดูแลตัวเองเพราะมันเหนื่อยมากๆ กลับถึงบ้านแทบจะไม่อาบน้ำ เราทำแบบนั้นเกือบๆ2เดือน เราดำมาก โทรมมาก สิวเต็มหน้า เราเครียด เราไม่มีความสุขเลย
...........................................................
จนมาถึงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เราติดโควิดจ้า
ติดจากสำนักงานใหญ่ และทั้งสำนักงานก็ติดหมดเลย ทุกคนไปรวมกันอยู่ที่ รพ. รวมทั้งบอสด้วย เพราะเราแทบจะไม่เจอครอบครัวเลยจึงทำให้ครอบครัวเราไม่มีใครติด เราถูกรักษาใน รพ.ประจำอำเภอ 8 วัน อาการหนัก ปอดมีฝ่าขึ้นต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ มีไข้สูงถึง 40 ถึงส่งด่วนไป รพ.ประจำจังหวัด เรากลายเป็นคนไข้วิกฤต ใส่เครื่องช่วยหายใจตัวใหญ่ๆอ่ะ ที่ยัดเข้าไปจนเต็มรูจมูก เราไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย เราเบลอหนักมากๆ 3 วันแรก ร่างกายของเราไม่ตอบสนองยาเลย เราเหมือนคนบ้าเราเอาแต่ร้องไห้ กินข้าวไม่ได้ คนรอบข้างเริ่มเสียชีวิตไปทีละคน เตียงข้างๆเริ่มเสียชีวิต เราได้ยินเสียงความเจ็บปวดของเรา เราเข้าใจในความโดดเดี่ยวทุกคืนเราจะตื่นมาละร้องไห้ ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ร้องเรียกหาแม่ หาพี่สาว พยาบาลต้องรีบวิ่งมาหาเรา พยาบาลบางคนกอดเรา หมอบอกให้ญาติทำใจไว้ด้วย เรามีอาการแบบนั้นอยู่ 5 วัน หมอต้องให้ยานอนหลับ พี่สาวเราเป็นหมอโภชนาการ ร่วมมือกับหมอที่ดูแลเรา เรากินวิตตามินเยอะมาก นม อาหารเสริมกินจนเราท้อ มันเลยทำให้เรามีแรง มีกำลัง ปอดเราถูกทำลายหนักมาก
.. ตลอด5วันที่เราอยู่ในภาวะระหว่างความเป็นความตาย สิ่งที่เราคิดเราเสียดายเวลามากๆที่เราแทบจะไม่ได้อยู่กับครอบครัวเลย เรามีอีกหลายอยากมากที่อยากจะทำ อยากใช้ชีวิต อยากกิน อยากเที่ยว อยากแต่งตัวสวยๆ เราคิดถึงแม่ คิดถึงครอบครัว เราอยากดูแลเขา มันจึงทำให้เราสู้ เราต้องอดทนและต่อสู้กับความกลัวให้ได้
เราอยู่ รพ 1 เดือน อาการหลังโควิดทำให้เราไม่สามารถอยู่คนเดียวได้เลย เสียงเครื่องวัดค่าต่างๆดังในหูตลอดเวลา เราลุกเดินรอบบ้านตอนตีสองตีสาม เราควบคุมมันไม่ได้ เราอยู่กับคนเยอะๆไม่ได้ เรากลัว เราตกใจ จนเราต้องหาหมอจิตแพทย์ เราพักฟื้นจนถึงมกราคม เราเริ่มเข้างานหลังปีใหม่ และขอวันจันทร์คือวันหยุด ขอเลิกงาน 17.00 บอสเขาเสียใจมาก เขากลัวจะเสียเราไป เราสัมผัสได้ถึงความรักที่เขามีต่อเรามากๆนะ และเราก็รักเขามากๆ
...........................................................
เราเริ่มทำงานมาเรื่อยๆ หลายอย่างในชีวิตเราเปลี่ยนไป คิดงานไม่ออก ทำงานได้ไม่เท่าเดิม แค่นี้เราก็ต้องต่อสู้กับตัวเองแล้วป้ะ..
และ.. หนังม้วนเดิมกำลังจะฉายอีกรอบ..
หลายอย่างเราทำเหมือนเดิมไม่ได้ เราทำช้ากว่าเดิม เเต่บอสกลับเรียกร้องให้เราทำเหมือนเดิม
-เราทำงานค้างไว้ และบอสมาทำต่อ ก็บอกว่าเราควรเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่
-ออฟฟิศรก ก็ถ่ายรูปส่งมาให้เราว่าช่วยเก็บให้เข้าที่ด้วย คือ! ชั้นไม่ได้เป็นคนทำ ทำอย่างกะเราเป็นคนทำอย่างงั้นอ่ะ
-ตัวเองลืมปิดคอม พอมาเจอก็ถ่ายรูปส่งมาให้เรา ว่ามีใครมาเปิดมั้ย เพราะเราเข้าออฟฟิศวันสุดท้าย
คือเราอ่ะ ไม่ใช่ว่าเราจะดื้อ ไม่เชื่อฟัง ไม่รับการสอน เราพร้อมทำทุกอย่าง เพราะเรารักเขา เราทำงานกับเขามาเกือบ10ปี
เวลาที่เขาไม่สบาย เขาก็ไม่เข้าออฟฟิต ไม่มีงานด่วนก็ไม่เข้า เราไม่ได้ว่าอะไรเลย
แต่พอเราป่วย เราขอพัก เราลา ก็ยังโทรหาเรา เราไม่สบายเรายังต้องนอนฟังเขาบ่นเรื่องงานเรื่องครอบครัว ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากฟังนะ แต่คือเราไม่สบาย เราลาเพื่อใช้เวลากับครอบครัว มั้ย??
ถ้าไม่เจอกันประมาณ 3-4 วัน บอสจะเริ่มนิ่ง ขึม สั่งงานด้วยน้ำเสียงโมโห ตามงานด้วยอารมณ์ ซึ่งอันนี้เป็นมาตลอด เราพยายามมองข้าม และคิดว่าเขาคงเป็น ปจด หงุดหงิด ช่วยกินอะไรอร่อยๆ สรุปว่ามีเรื่องเครียดมาจากที่อื่นแล้วมาลงกับเรา พอเราถามว่าเป็นอะไรรึป่าว หลังจากนั้นก็เม้าได้ทั้งวัน หรือบางครั้งหิวข้าวแล้วไม่รู้ว่าตัวเองหิว โมโหลงอารมกับการตามงานของเราตลอด!!! ทุกคนมันไม่ใช่แค่ครั้งเดียว เขาเป็นบ่อยจนเรารู้
แต่การที่เรารู้ ก็ไม่ใช่ว่าเราจะไม่มีความรู้สึกนะ เรารู้สึกเริ่มมีบาดแผลกับเขาที่ละนิดจากคำพูดของเขา จากการใช้อารม
เขาเคยถามเราว่า "แม่มีอะไรที่ไม่น่ารักก็บอกแม่เลยนะ" เราก็เลยเปิดใจว่า "บางครั้งที่ทำงานไม่ต้องใส่อารมก็ได้หนูไม่ได้ดื้อ หนูเชื่อฟัง หนูพยามแก้ไข ถ้าเราคุยกันดีๆไม่ใช้อารมเราจะทำงานสนุกกว่านี้มากๆ" เขาก็ขอโทษ เขาเป็นคนน่ารักคนนึงเลยนะ เขาดีกับเรามากๆ แต่ที่เราไม่ไหววันนี้คือ..
เราเริ่มเจออารมที่บ่อยขึ้น เพราะเขามีเรื่องเครียดเยอะ เรากดดันที่ต้องโดนคนปะทะอารมณ์ เราเจ็บปวดที่เขาทำเหมือนว่าเราเป็นแค่คนนอก เป็นแค่ลูกจ้าง แต่เราก็เป็นจริง55555 อาจจะเป็นเพราะเรารักเขาหรอจึงทำให้เราเสียใจมากขนาดนี้
เราไม่เคยพูดเรื่องนี้เลยแม้แต่ครอบครัว เราเก็บมันไว้คนเดียว มันอึดอัดจนทำให้เราแย่ ยิ่งบวกกับอาการป่วยของเรามันยิ่งหนักกว่าเดิม ตอนนี้อย่าคาดหวังว่าเขาจะเข้าใจเรา ขอแค่อย่าใช้อารมณ์และคำพูดที่ประชดประชันเพื่อสร้างบาดแผลให้เรามากไปกว่านี้เลย..
........................................
ขอบคุณทุกคนนะที่อ่านจนจบ วันนี้เราไม่ไหวจริงๆ เราอยากจะระบายมันออกมา อยากจะร้องไห้ ไม่อยากเก็บไว้แล้ว
เรารักที่นี่
เรารักงานที่เราทำ