(มีการตีความเนื้อหาสำคัญของเรื่อง)
หากเปรียบ Don't Look Up เป็นแม่เหล็กขั้วบวกแล้ว The Power of the Dog คงเปรียบเป็นยางลบบนหัวดินสอที่เราใช้ถูกระดาษจนขาดสมัยเด็กๆ แม้จะถูกส่งประกวดจากสตรีมมิ่งค่ายเดียวกัน แต่ภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องนี้นับว่ามีวิธีการเล่าเรื่องและการให้อารมณ์ที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งความต่างที่ว่านี้เองที่เป็นสิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์แต่ละเรื่องมีคุณค่าด้วยตัวของมันเอง

The Power of the Dog ของผู้กำกับ Jane Campion (เคยชนะรางวัลออสการ์สาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจาก The Piano ในปี 1993) ดัดแปลงจากนิยายของ Thomas Savage ที่เขียนไว้เมื่อปี 1967 ว่าด้วยเรื่องของสองพี่น้อง Burbank เจ้าของฟาร์มผู้ร่ำรวยในรัฐมอนทาน่า ปี 1925 ประกอบด้วย Phil (รับบทโดย Benedict Cumberbatch) ชายผู้เป็นพี่ที่แม้จะเป็นผู้นำของฟาร์มแต่ก็มีมีนิสัยเสียที่ชอบดูถูกคนอื่น ใช้วาจาหยาบคาย เจ้าอารมณ์ สกปรก และ George คนน้อง (รับบทโดย Jesse Plemons) ที่เป็นขั้วตรงข้ามของพี่ชายของเขาทุกอย่าง อยู่มาวันหนึ่ง George ได้พบกับหญิงแม่ม่ายเจ้าของร้านอาหาร ชื่อว่า Rose (รับบทโดย Kirsten Dunst) และลูกชาย Peter (รับบทโดย Kodi Smit-McPhee) เด็กหนุ่มท่าทางติ๋มและอ้อนแอ้น ซึ่งต่อมา George และ Rose ได้แต่งงานกัน เมื่อ Rose ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของสามี ก็ต้องเจอการดูถูกและกลั่นแกล้งจาก Phil เพราะเขาคิดว่า Rose แต่งเข้ามาเพื่อหวังเงินของน้องชายของเขา ทำให้เกิดความตึงเครียดขึ้นภายในบ้าน จน Rose กลายเป็นโรคติดสุรา แต่ภายหลังก็ Phil ก็เกิดเห็นอะไรบางอย่างในตัวของ Peter จากที่เคยเหยียดหยามเขาก็เริ่มก่อมิตรภาพขึ้นกับ Peter และนำไปสู่บทสรุปที่น่าตกตะลึง
.
การเล่าเรื่องของ The Power of the Dog มาตามสูตรของหนังสายล่ารางวัลอย่างถ่องแท้ ทั้งการเดินเรื่องที่เต็มไปด้วยความเนิบนาบ ประณีตบรรจงในทุกๆฉาก แล้วก็เน้นความละเมียดละไม อาจจะไม่ช้าแล้วนิ่งขนาด Memoria ของคุณเจ้ย เพราะตัวกล้องยังมีการเคลื่อนไหวตามตัวละครและตัดไปตัดมาอยู่บ้าง และการใช้ตัวละครเป็นตัวผลักดันเรื่องแทนที่จะเป็นพล็อตก็เป็นสิ่งที่เป็นจุดเด่นของหนังแนวๆนี้ (จนนักแสดงนำ 4 คนได้ชิงออสการ์ทั้งหมด)

และแม้หนังเรื่องนี้จะพอมีเนื้อเรื่องให้เราได้ติดตามอยู่บ้าง (และตกตะลึงในตอนจบ) แต่สิ่งที่เป็นหัวใจหลักจริงๆ น่าจะเป็นตีความและทำความเข้าใจเพื่อตกผลึกสิ่งที่ผู้สร้างต้องการจะสื่อผ่านทั้งตัวละคร บทสนทนา แล้วก็สัญลักษณ์ต่างๆที่ปรากฏอยู่ตลอดทั้งเรื่อง

Jane Campion ใช้ลูกล่อลูกชนเล่นกับคนดูอย่างสนุกมือ โดยเธอเลือกจะ "เล่าเพียงบางส่วน" ซึ่งหลายๆครั้งเราจะรู้สึกว่ารายละเอียดบางอย่างถูกข้ามไป ทั้งเรื่องวันเวลา สถาณการณ์ของตัวละคร และถึงขั้น "ปิดบัง"ว่าแท้ที่จริงแล้วความสัมพันธ์ของฟิลกับปีเตอร์เป็นอย่างไร ทำไมจากที่ฟิลเป็นฝ่ายไม่ชอบหน้าปีเตอร์ถึงกลายเป็นว่า เขายอมสอนวิธีการเป็นคาวบอยให้กับปีเตอร์ทั้งการขี่ม้า การล่าสัตว์ จนถึงถักเชือกให้กับเขาด้วย นั่นก็เพื่อให้คนดูได้ปะติดปะต่อส่วนที่เหลือเอาเอง เป็นความน่าสนุกอย่างหนึ่งของหนังแนวนี้เลย

ถึงแม้หน้าหนังจะดูเป็นหนังคาวบอยก็จริง แต่ในเรื่องกลับไม่มีฉากขี่ม้าไล่ล่า หรือมีคาวบอยค่อยๆเดินหันหลังออกจากกันแล้วชักปืนยิงแต่อย่างใด จนเมื่อดูหนังเรื่องนี้จนจบแล้วมานั่งพิจารณาดูจะพบว่า หนังเรื่องนี้แท้จริงแล้ว คือ หนังที่ว่าด้วย "ภาวะความเป็นชายที่เป็นพิษ" (Toxic Masculinity) และถูกใช้เพื่อปิดบังรสนิยมทางเพศของชายคนหนึ่ง พอรู้แบบนี้แล้วทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเรื่องก็จะสมเหตุสมผลทั้งที ทั้งพฤติกรรมของฟิลที่ใช้ความเป็น "คาวบอย" แทนโล่เพื่อปิดบังความจริงที่เขาเป็นเกย์ ในยุคที่การรักเพศเดียวกันไม่สามารถเปิดเผยได้

ตรงนี้เป็นจุดที่น่าสนใจมาก เพราะเอาเข้าจริงเราจะรู้สึกตะหงิดๆในตัวเขาตลอดทั้งเรื่อง ทั้งการที่เขาไม่ยอมแต่งงาน หรือการที่เขารู้สึกไม่ดีที่น้องชายตัวเองแต่งงานและพาภรรยาเข้ามาอยู่ในบ้าน ทุกอย่างมันบ่งชี้ไปในทางที่เขาเป็นคนรักร่วมเพศ จนที่เห็นชัดแจ้งเลย คือ การที่เขาพกผ้าพันคอของ Bronco Henry ชายที่เขาเทิดทูนนักหนาว่าเป็นผู้มีพระคุณที่สอนให้เขาเข้ามายังวิถีของความเป็นลูกผู้ชายที่เรียกว่า "คาวบอย" และใช้ลูปไล้ไปตามตัวในสถานที่ส่วนตัวของเขา หรือการที่ปีเตอร์พบหนังสือภาพถ่ายชายเพาะกายที่ฟีลซ่อนไว้ในรังก็ทำให้ข้อสันนิษฐานนี้มัดตัวแน่นจนดิ้นไม่หลุด (ยังมีอีกหลายพฤติกรรมที่บ่งบอกถึงเรื่องนี้)

ความเป็นคาวบอยที่ตัวหนังใช้อธิบายภาวะ Toxic Masculinity ได้อย่างชาญฉลาด ผ่านตัวละครฟีลที่มีความขัดแย้งในตัวเองสูงมาก การที่เขาต้องทำตัวให้ดูเข้มแข็ง วางท่าเหนือกว่าคนอื่น พูดจาหยาบคาย แต่งตัวสกปรก และใช้มือเปล่าทำงาน นี่เป็นลักษณะของการแสดงความสมชายของเขาที่ใช้เพื่อปกป้องตัวเอง หนังทำให้เราเข้าใจความอัดอั้นเรื่องนี้ของเขาจากการที่เขาต้องแอบสร้าง "รัง" ลับๆ (แต่โดนหาเจอง่ายมากฮ่าๆ) ไว้ในป่าเพื่อใช้เป็นสถานที่เซฟโซน เราจะเห็นว่าตัวละครมาที่นี่เพื่ออาบน้ำกลางแจ้ง ตีความได้เลยว่า นี่คือการปลดปล่อยทั้งความสกปรก ความเป็นคาวบอย และรสนิยมทางเพศของเขา
.
มาถึงตัวละครเด็กติ๋มอ้อนแอ้นอย่างปีเตอร์ ที่เป็นอีกหนึ่งไม้ตายของเรื่องเลยก็ว่าได้ ปีเตอร์ถูกใช้เพื่อเบนความสนใจของคนดูออกจากฟีล เหมือนตั้งใจจะทำให้เป็นตัวแทนของฟีลและความแปลกแยกของคนที่รักร่วมเพศในสมัยนั้น ที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มคาวบอยชายแท้ทั้งหลาย แต่เรากลับถูกต้มเสียสนิท เพราะว่า แท้จริงแล้วหนังไม่ได้เปิดเผยรสนิยมทางเพศของปีเตอร์เลยแม้แต่น้อย เรารู้เพียงว่าเขาแค่ชอบงานฝีมืออย่างการพับดอกไม้ แล้วก็การแสดงออกที่อ้อนแอ้นของเขาเท่านั้น

ตัวหนังเผยให้เห็นว่าแท้จริงปีเตอร์มีความโหดและอำมหิตอยู่ไม่น้อย จากการที่เขาสามารถฆ่ากระต่ายที่เพิ่งจับมาเล่นได้อย่างเลือดเย็น ครั้งแรกเพื่อใช้ศึกษาอวัยวะภายใน ส่วนครั้งหลัง คือ ตอนอยู่กับฟีลในทุ่งเขาก็หักคอกระต่ายที่จับออกมาจากกองไม้ได้อย่างหน้าตาเฉย จนถึงขนาดชายอกสามศอกอย่างฟีลยังถึงกับอึ้ง นั่นจึงไม่แปลกใจกับการกระทำของเขาตอนท้ายเรื่องด้วย

สันนิษฐานว่า ปีเตอร์อาจจะมีภาวะของการหวงแม่ตัวเอง โดยจากคำบอกเล่าของตัวละครในเรื่องสาเหตุที่พ่อของเขาตาย คือ การผูกคอตาย และคนที่ไปพบศพคนแรกก็เป็นปีเตอร์นี่แหละ (จากย่อหน้าด้านบนก็พอจะเดาได้ว่าใครเป็นฆาตกร) จนมาถึงกรณีของฟีลที่ไปรังแกแม่ของเขาจนทำให้แม่ของเขากลายเป็นคนติดสุรา ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยดื่มเลย จึงกลายเป็นบทสรุปของหนังที่ชวนตะลึงงันมากๆ
.
ตัวชื่อเรื่องก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน The Power of the Dog ดูเผินๆอาจจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่อง แต่ในตอนท้ายของหนังเปิดเผยว่าแท้จริงแล้วประโยคนี้มาจากคัมภีร์ไบเบิล จากประโยคเต็มที่ว่า "Deliver my soul from the sword; my darling from the power of the dog.” (นำทางให้จิตวิญญาณของข้ารอดพ้นจากคมดาบ และที่รักของข้าจากคมเขี้ยวของสุนัข) แน่นอนว่าหลายคนตีความไปในลักษณะต่างๆกัน อาจจะหมายถึง สุนัขจริงๆก็ได้ เพราะถ้าอิงจากพฤติกรรมของฟีลแล้ว ทั้งการสร้างรังลับ การเป็นผู้นำคนงานในฟาร์ม(รวมถึงน้องของเขาอย่างจอร์จด้วย) และการมีฉากฟีลพาพวกคนงานไปเล่นน้ำในแม่น้ำก็เหมือนพฤติกรรมของฝูงสุนัข ซึ่งก็ไม่แปลกถ้าเราจะตีความว่า Dog ก็คือตัวฟีลนี่แหละ

แต่หากมองไปลึกกว่านั้น the power of the dog อาจจะเป็นอำนาจของความเป็นชายที่กดทับผู้ชายในยุคนั้นก็ได้(ความเป็นคาวบอย) ซึ่งผู้แต่งนิยายเรื่องนี้ Thomas Savage ตัวเขาเองก็เป็นเกย์ที่ต้องแต่งงานกับผู้หญิงทั้งๆที่ไม่ได้รักเพราะสภาพสังคมบีบบังคับ จะบอกว่านิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นจากตัวเขาก็ไม่ผิดเลย และอำนาจนั้นที่แม้แต่ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่ สมัยเด็กๆเรา(เด็กผู้ชาย)อาจจะเคยได้รับการสั่งสอนว่า "เป็นผู้ชายต้องเข้มแข็งสิ" "อย่าร้องไห้นะเป็นผู้ชายไม่ใช่หรอ" "อดทนหน่อยเป็นผู้ชายนะแค่นี้ทำไม่ได้รึไง" เป็นอำนาจที่ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนจะรู้สึกดี ทำไมผู้ชายร้องไห้ไม่ได้ละ ทำไมผู้ชายจะอ่อนแอไม่ได้ละทำนองนี้ ก็จะมีคำถามแบบนี้เกิดขึ้น หรืออีกนัยอาจจะหมายถึง บาป ของการเป็นคนรักร่วมเพศก็ได้ เป็นความชั่วร้ายที่กัดกินผู้คน ไม่มีใครอยากจะเป็นแบบนั้น power of the dog ก็แปลได้ว่า ความชั่วร้าย หรืออำนาจของซาตาน ตามคัมภีร์ไบเบิ้ลได้เช่นกั

ด้านการแสดงก็ไม่ต้องสาธยายความยอดเยี่ยมของ Benedict Cumberbatch สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาทั้งน้ำเสียงที่ดูนุ่มลึกและอยู่ในลำคอเวลาพูด หรือสายตาของคนที่เหมือนจะเก็บซ่อนความอ่อนแอไว้ภายใน ทำให้ตัวละครฟีลถูกถ่ายทอดออกมาได้สมบูรณ์แบบ อีกคนที่ต้องชม คือ Kodi Smit-McPhee กับคาแรกเตอร์ร้ายลึก ดวงตาที่ดูเจ้าเล่ห์ เดาทางไม่ออกว่าตัวละครนี้จะทำอะไรหรือคิดอะไรอยู่ กลายเป็นว่าจากต้นเรื่องเรารู้สึกกลัวฟีลและสงสารปีเตอร์ เมื่อถึงท้ายเรื่องเชื่อว่าความรู้สึกทุกคนจะกลับกันแน่นอน

ตัวละครที่เหลือแม้จะมีบทตอนต้นเรื่องอย่างจอร์จและโรส แต่น่าเสียดายที่ในช่วงกลางเรื่องเป็นต้นไป เป็นช่วงเวลาของฟีลและปีเตอร์ ทำให้สองคนนี้ห่างหายจากหน้าจอไปนานพอสมควร แต่กระนั้นคุณภาพการแสดงของทั้ง Jesse Plemons และ Kirsten Dunst ก็ยังดีพอที่จะทำให้ทั้งคู่มีชื่ออยู่บนเวทีออสการ์ในครั้งนี้

อีกหนึ่งองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้ของเรื่องนี้อย่างการถ่ายภาพ จะบอกว่าน่าเสียดายที่ The Power of the Dog ไม่ได้ฉายในโรงภาพยนตร์ เพราะทุกๆวินาทีของเรื่องคือ ความงามและสุนทรียภาพของการถ่ายภาพอย่างแท้จริง ทั้งสถานที่ที่รายล้อมไปด้วยเทือกเขาอันงดงาม และทุ่งหญ้าสุดลูกตา ที่ไปถ่ายกันที่นิวซีแลนด์ การใช้ภาษาภาพสื่อความหมาย โดยใช้ภาพระยะไกลเพื่อเสริมบรรยากาศและความรู้สึกเวิ้งว้าง โดดเดี่ยวของฟีลและตัวละครอื่นก็เป็นสิ่งที่เห็นได้บ่อยในเรื่องด้วย

.
สรุป The Power of the Dog เป็นภาพยนตร์ที่หนักไปในการตีความหมายซะเป็นส่วนใหญ่ และขับเคลื่อนไปด้วยการแสดงของยอดฝีมือ รวมถึงการถ่ายภาพสุดวิจิตร ออกมาเป็นภาพยนตร์ที่ให้ความรู้สึกทรงพลัง ลุ่มลึก และน่าตกตะลึง ซึ่งทุกองค์ประกอบล้วนแล้วแต่ไปได้สุดทางจริงๆ

ฝากเพจด้วยนะครับ
Story Decoder
[รีวิวหนัง] The Power of the Dog: กะเทาะเปลือกความเป็นชายที่กัดกร่อนมนุษย์เพศชายอย่างน่าเวทนา
หากเปรียบ Don't Look Up เป็นแม่เหล็กขั้วบวกแล้ว The Power of the Dog คงเปรียบเป็นยางลบบนหัวดินสอที่เราใช้ถูกระดาษจนขาดสมัยเด็กๆ แม้จะถูกส่งประกวดจากสตรีมมิ่งค่ายเดียวกัน แต่ภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องนี้นับว่ามีวิธีการเล่าเรื่องและการให้อารมณ์ที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งความต่างที่ว่านี้เองที่เป็นสิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์แต่ละเรื่องมีคุณค่าด้วยตัวของมันเอง
The Power of the Dog ของผู้กำกับ Jane Campion (เคยชนะรางวัลออสการ์สาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจาก The Piano ในปี 1993) ดัดแปลงจากนิยายของ Thomas Savage ที่เขียนไว้เมื่อปี 1967 ว่าด้วยเรื่องของสองพี่น้อง Burbank เจ้าของฟาร์มผู้ร่ำรวยในรัฐมอนทาน่า ปี 1925 ประกอบด้วย Phil (รับบทโดย Benedict Cumberbatch) ชายผู้เป็นพี่ที่แม้จะเป็นผู้นำของฟาร์มแต่ก็มีมีนิสัยเสียที่ชอบดูถูกคนอื่น ใช้วาจาหยาบคาย เจ้าอารมณ์ สกปรก และ George คนน้อง (รับบทโดย Jesse Plemons) ที่เป็นขั้วตรงข้ามของพี่ชายของเขาทุกอย่าง อยู่มาวันหนึ่ง George ได้พบกับหญิงแม่ม่ายเจ้าของร้านอาหาร ชื่อว่า Rose (รับบทโดย Kirsten Dunst) และลูกชาย Peter (รับบทโดย Kodi Smit-McPhee) เด็กหนุ่มท่าทางติ๋มและอ้อนแอ้น ซึ่งต่อมา George และ Rose ได้แต่งงานกัน เมื่อ Rose ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของสามี ก็ต้องเจอการดูถูกและกลั่นแกล้งจาก Phil เพราะเขาคิดว่า Rose แต่งเข้ามาเพื่อหวังเงินของน้องชายของเขา ทำให้เกิดความตึงเครียดขึ้นภายในบ้าน จน Rose กลายเป็นโรคติดสุรา แต่ภายหลังก็ Phil ก็เกิดเห็นอะไรบางอย่างในตัวของ Peter จากที่เคยเหยียดหยามเขาก็เริ่มก่อมิตรภาพขึ้นกับ Peter และนำไปสู่บทสรุปที่น่าตกตะลึง
.
การเล่าเรื่องของ The Power of the Dog มาตามสูตรของหนังสายล่ารางวัลอย่างถ่องแท้ ทั้งการเดินเรื่องที่เต็มไปด้วยความเนิบนาบ ประณีตบรรจงในทุกๆฉาก แล้วก็เน้นความละเมียดละไม อาจจะไม่ช้าแล้วนิ่งขนาด Memoria ของคุณเจ้ย เพราะตัวกล้องยังมีการเคลื่อนไหวตามตัวละครและตัดไปตัดมาอยู่บ้าง และการใช้ตัวละครเป็นตัวผลักดันเรื่องแทนที่จะเป็นพล็อตก็เป็นสิ่งที่เป็นจุดเด่นของหนังแนวๆนี้ (จนนักแสดงนำ 4 คนได้ชิงออสการ์ทั้งหมด)
และแม้หนังเรื่องนี้จะพอมีเนื้อเรื่องให้เราได้ติดตามอยู่บ้าง (และตกตะลึงในตอนจบ) แต่สิ่งที่เป็นหัวใจหลักจริงๆ น่าจะเป็นตีความและทำความเข้าใจเพื่อตกผลึกสิ่งที่ผู้สร้างต้องการจะสื่อผ่านทั้งตัวละคร บทสนทนา แล้วก็สัญลักษณ์ต่างๆที่ปรากฏอยู่ตลอดทั้งเรื่อง
Jane Campion ใช้ลูกล่อลูกชนเล่นกับคนดูอย่างสนุกมือ โดยเธอเลือกจะ "เล่าเพียงบางส่วน" ซึ่งหลายๆครั้งเราจะรู้สึกว่ารายละเอียดบางอย่างถูกข้ามไป ทั้งเรื่องวันเวลา สถาณการณ์ของตัวละคร และถึงขั้น "ปิดบัง"ว่าแท้ที่จริงแล้วความสัมพันธ์ของฟิลกับปีเตอร์เป็นอย่างไร ทำไมจากที่ฟิลเป็นฝ่ายไม่ชอบหน้าปีเตอร์ถึงกลายเป็นว่า เขายอมสอนวิธีการเป็นคาวบอยให้กับปีเตอร์ทั้งการขี่ม้า การล่าสัตว์ จนถึงถักเชือกให้กับเขาด้วย นั่นก็เพื่อให้คนดูได้ปะติดปะต่อส่วนที่เหลือเอาเอง เป็นความน่าสนุกอย่างหนึ่งของหนังแนวนี้เลย
ถึงแม้หน้าหนังจะดูเป็นหนังคาวบอยก็จริง แต่ในเรื่องกลับไม่มีฉากขี่ม้าไล่ล่า หรือมีคาวบอยค่อยๆเดินหันหลังออกจากกันแล้วชักปืนยิงแต่อย่างใด จนเมื่อดูหนังเรื่องนี้จนจบแล้วมานั่งพิจารณาดูจะพบว่า หนังเรื่องนี้แท้จริงแล้ว คือ หนังที่ว่าด้วย "ภาวะความเป็นชายที่เป็นพิษ" (Toxic Masculinity) และถูกใช้เพื่อปิดบังรสนิยมทางเพศของชายคนหนึ่ง พอรู้แบบนี้แล้วทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเรื่องก็จะสมเหตุสมผลทั้งที ทั้งพฤติกรรมของฟิลที่ใช้ความเป็น "คาวบอย" แทนโล่เพื่อปิดบังความจริงที่เขาเป็นเกย์ ในยุคที่การรักเพศเดียวกันไม่สามารถเปิดเผยได้
ตรงนี้เป็นจุดที่น่าสนใจมาก เพราะเอาเข้าจริงเราจะรู้สึกตะหงิดๆในตัวเขาตลอดทั้งเรื่อง ทั้งการที่เขาไม่ยอมแต่งงาน หรือการที่เขารู้สึกไม่ดีที่น้องชายตัวเองแต่งงานและพาภรรยาเข้ามาอยู่ในบ้าน ทุกอย่างมันบ่งชี้ไปในทางที่เขาเป็นคนรักร่วมเพศ จนที่เห็นชัดแจ้งเลย คือ การที่เขาพกผ้าพันคอของ Bronco Henry ชายที่เขาเทิดทูนนักหนาว่าเป็นผู้มีพระคุณที่สอนให้เขาเข้ามายังวิถีของความเป็นลูกผู้ชายที่เรียกว่า "คาวบอย" และใช้ลูปไล้ไปตามตัวในสถานที่ส่วนตัวของเขา หรือการที่ปีเตอร์พบหนังสือภาพถ่ายชายเพาะกายที่ฟีลซ่อนไว้ในรังก็ทำให้ข้อสันนิษฐานนี้มัดตัวแน่นจนดิ้นไม่หลุด (ยังมีอีกหลายพฤติกรรมที่บ่งบอกถึงเรื่องนี้)
ความเป็นคาวบอยที่ตัวหนังใช้อธิบายภาวะ Toxic Masculinity ได้อย่างชาญฉลาด ผ่านตัวละครฟีลที่มีความขัดแย้งในตัวเองสูงมาก การที่เขาต้องทำตัวให้ดูเข้มแข็ง วางท่าเหนือกว่าคนอื่น พูดจาหยาบคาย แต่งตัวสกปรก และใช้มือเปล่าทำงาน นี่เป็นลักษณะของการแสดงความสมชายของเขาที่ใช้เพื่อปกป้องตัวเอง หนังทำให้เราเข้าใจความอัดอั้นเรื่องนี้ของเขาจากการที่เขาต้องแอบสร้าง "รัง" ลับๆ (แต่โดนหาเจอง่ายมากฮ่าๆ) ไว้ในป่าเพื่อใช้เป็นสถานที่เซฟโซน เราจะเห็นว่าตัวละครมาที่นี่เพื่ออาบน้ำกลางแจ้ง ตีความได้เลยว่า นี่คือการปลดปล่อยทั้งความสกปรก ความเป็นคาวบอย และรสนิยมทางเพศของเขา
.
มาถึงตัวละครเด็กติ๋มอ้อนแอ้นอย่างปีเตอร์ ที่เป็นอีกหนึ่งไม้ตายของเรื่องเลยก็ว่าได้ ปีเตอร์ถูกใช้เพื่อเบนความสนใจของคนดูออกจากฟีล เหมือนตั้งใจจะทำให้เป็นตัวแทนของฟีลและความแปลกแยกของคนที่รักร่วมเพศในสมัยนั้น ที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มคาวบอยชายแท้ทั้งหลาย แต่เรากลับถูกต้มเสียสนิท เพราะว่า แท้จริงแล้วหนังไม่ได้เปิดเผยรสนิยมทางเพศของปีเตอร์เลยแม้แต่น้อย เรารู้เพียงว่าเขาแค่ชอบงานฝีมืออย่างการพับดอกไม้ แล้วก็การแสดงออกที่อ้อนแอ้นของเขาเท่านั้น
ตัวหนังเผยให้เห็นว่าแท้จริงปีเตอร์มีความโหดและอำมหิตอยู่ไม่น้อย จากการที่เขาสามารถฆ่ากระต่ายที่เพิ่งจับมาเล่นได้อย่างเลือดเย็น ครั้งแรกเพื่อใช้ศึกษาอวัยวะภายใน ส่วนครั้งหลัง คือ ตอนอยู่กับฟีลในทุ่งเขาก็หักคอกระต่ายที่จับออกมาจากกองไม้ได้อย่างหน้าตาเฉย จนถึงขนาดชายอกสามศอกอย่างฟีลยังถึงกับอึ้ง นั่นจึงไม่แปลกใจกับการกระทำของเขาตอนท้ายเรื่องด้วย
สันนิษฐานว่า ปีเตอร์อาจจะมีภาวะของการหวงแม่ตัวเอง โดยจากคำบอกเล่าของตัวละครในเรื่องสาเหตุที่พ่อของเขาตาย คือ การผูกคอตาย และคนที่ไปพบศพคนแรกก็เป็นปีเตอร์นี่แหละ (จากย่อหน้าด้านบนก็พอจะเดาได้ว่าใครเป็นฆาตกร) จนมาถึงกรณีของฟีลที่ไปรังแกแม่ของเขาจนทำให้แม่ของเขากลายเป็นคนติดสุรา ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยดื่มเลย จึงกลายเป็นบทสรุปของหนังที่ชวนตะลึงงันมากๆ
.
ตัวชื่อเรื่องก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน The Power of the Dog ดูเผินๆอาจจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่อง แต่ในตอนท้ายของหนังเปิดเผยว่าแท้จริงแล้วประโยคนี้มาจากคัมภีร์ไบเบิล จากประโยคเต็มที่ว่า "Deliver my soul from the sword; my darling from the power of the dog.” (นำทางให้จิตวิญญาณของข้ารอดพ้นจากคมดาบ และที่รักของข้าจากคมเขี้ยวของสุนัข) แน่นอนว่าหลายคนตีความไปในลักษณะต่างๆกัน อาจจะหมายถึง สุนัขจริงๆก็ได้ เพราะถ้าอิงจากพฤติกรรมของฟีลแล้ว ทั้งการสร้างรังลับ การเป็นผู้นำคนงานในฟาร์ม(รวมถึงน้องของเขาอย่างจอร์จด้วย) และการมีฉากฟีลพาพวกคนงานไปเล่นน้ำในแม่น้ำก็เหมือนพฤติกรรมของฝูงสุนัข ซึ่งก็ไม่แปลกถ้าเราจะตีความว่า Dog ก็คือตัวฟีลนี่แหละ
แต่หากมองไปลึกกว่านั้น the power of the dog อาจจะเป็นอำนาจของความเป็นชายที่กดทับผู้ชายในยุคนั้นก็ได้(ความเป็นคาวบอย) ซึ่งผู้แต่งนิยายเรื่องนี้ Thomas Savage ตัวเขาเองก็เป็นเกย์ที่ต้องแต่งงานกับผู้หญิงทั้งๆที่ไม่ได้รักเพราะสภาพสังคมบีบบังคับ จะบอกว่านิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นจากตัวเขาก็ไม่ผิดเลย และอำนาจนั้นที่แม้แต่ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่ สมัยเด็กๆเรา(เด็กผู้ชาย)อาจจะเคยได้รับการสั่งสอนว่า "เป็นผู้ชายต้องเข้มแข็งสิ" "อย่าร้องไห้นะเป็นผู้ชายไม่ใช่หรอ" "อดทนหน่อยเป็นผู้ชายนะแค่นี้ทำไม่ได้รึไง" เป็นอำนาจที่ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนจะรู้สึกดี ทำไมผู้ชายร้องไห้ไม่ได้ละ ทำไมผู้ชายจะอ่อนแอไม่ได้ละทำนองนี้ ก็จะมีคำถามแบบนี้เกิดขึ้น หรืออีกนัยอาจจะหมายถึง บาป ของการเป็นคนรักร่วมเพศก็ได้ เป็นความชั่วร้ายที่กัดกินผู้คน ไม่มีใครอยากจะเป็นแบบนั้น power of the dog ก็แปลได้ว่า ความชั่วร้าย หรืออำนาจของซาตาน ตามคัมภีร์ไบเบิ้ลได้เช่นกั
ด้านการแสดงก็ไม่ต้องสาธยายความยอดเยี่ยมของ Benedict Cumberbatch สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาทั้งน้ำเสียงที่ดูนุ่มลึกและอยู่ในลำคอเวลาพูด หรือสายตาของคนที่เหมือนจะเก็บซ่อนความอ่อนแอไว้ภายใน ทำให้ตัวละครฟีลถูกถ่ายทอดออกมาได้สมบูรณ์แบบ อีกคนที่ต้องชม คือ Kodi Smit-McPhee กับคาแรกเตอร์ร้ายลึก ดวงตาที่ดูเจ้าเล่ห์ เดาทางไม่ออกว่าตัวละครนี้จะทำอะไรหรือคิดอะไรอยู่ กลายเป็นว่าจากต้นเรื่องเรารู้สึกกลัวฟีลและสงสารปีเตอร์ เมื่อถึงท้ายเรื่องเชื่อว่าความรู้สึกทุกคนจะกลับกันแน่นอน
ตัวละครที่เหลือแม้จะมีบทตอนต้นเรื่องอย่างจอร์จและโรส แต่น่าเสียดายที่ในช่วงกลางเรื่องเป็นต้นไป เป็นช่วงเวลาของฟีลและปีเตอร์ ทำให้สองคนนี้ห่างหายจากหน้าจอไปนานพอสมควร แต่กระนั้นคุณภาพการแสดงของทั้ง Jesse Plemons และ Kirsten Dunst ก็ยังดีพอที่จะทำให้ทั้งคู่มีชื่ออยู่บนเวทีออสการ์ในครั้งนี้
อีกหนึ่งองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้ของเรื่องนี้อย่างการถ่ายภาพ จะบอกว่าน่าเสียดายที่ The Power of the Dog ไม่ได้ฉายในโรงภาพยนตร์ เพราะทุกๆวินาทีของเรื่องคือ ความงามและสุนทรียภาพของการถ่ายภาพอย่างแท้จริง ทั้งสถานที่ที่รายล้อมไปด้วยเทือกเขาอันงดงาม และทุ่งหญ้าสุดลูกตา ที่ไปถ่ายกันที่นิวซีแลนด์ การใช้ภาษาภาพสื่อความหมาย โดยใช้ภาพระยะไกลเพื่อเสริมบรรยากาศและความรู้สึกเวิ้งว้าง โดดเดี่ยวของฟีลและตัวละครอื่นก็เป็นสิ่งที่เห็นได้บ่อยในเรื่องด้วย
.
สรุป The Power of the Dog เป็นภาพยนตร์ที่หนักไปในการตีความหมายซะเป็นส่วนใหญ่ และขับเคลื่อนไปด้วยการแสดงของยอดฝีมือ รวมถึงการถ่ายภาพสุดวิจิตร ออกมาเป็นภาพยนตร์ที่ให้ความรู้สึกทรงพลัง ลุ่มลึก และน่าตกตะลึง ซึ่งทุกองค์ประกอบล้วนแล้วแต่ไปได้สุดทางจริงๆ
ฝากเพจด้วยนะครับ Story Decoder