รับคำท้าฯ
ตอนที่ 55
ปริวัฒน์มองหน้าคนฟังที่นิ่งเงียบไปด้วยความตกใจไม่น้อย
“ตอนนี้เธอคบกับปริมในฐานะไหน?” เขาอยากรู้ว่า ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไปถึงขั้นไหนกันแล้ว
“เพื่อนครับ เธอเป็นเพื่อนของผม แต่ผมอยากเป็นแฟนของเธอครับ”
คำตอบของหนุ่มหน้าหวานทำให้คนฟังต้องทึ่งอีกครั้งในชัดเจนเหลือเกิน หนุ่มคนนี้ช่างกล้าพูดตรง ๆ กับเขา และดูมั่นใจในตัวเองกับทุกคำตอบที่พูดออกมา
“ฉันไม่ได้รังเกียจเธอหรอกนะ ถึงเธอจะเป็นลูกชายของปัณณวัตร์ก็ตาม ตรงกันข้ามฉันชื่นชมเธอ ที่เป็นคนตรงไปตรงมาดี แต่การที่สองครอบครัวจะเกี่ยวดองกัน ควรจะต้องมีความรู้สึกที่ดีต่อกันด้วย เธอคงเข้าใจนะ”
หนุ่มผมยาวนิ่งไปกับถ้อยคำที่ได้ยินนั้น มันยิ่งทำให้เขารู้สึกหนักใจเพิ่มขึ้นอีก แม้ว่า ตอนแรกจะยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่เมื่อมาคิดทบทวนดูแล้ว เขาเข้าใจความรักของคนเป็นพ่อที่รักลูกมาก จนมองถึงอนาคตของลูก ซึ่งการแต่งงานในความจริงไม่ได้มีแค่คนสองคน แต่ยังมีครอบครัวของอีกฝ่าย ซึ่งถ้าต่างคนต่างไม่ชอบกันแล้ว ครอบครัวจะมีความสุขจริง ได้อย่างไร และจะมีปัญหาตามมาอีกแน่นอน
เด็กสาวร่างเล็กกระทัดรัด หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสวิ่งผมกระจายมาหาชายหนุ่มที่กำลังเดินท่อม ๆ ผ่านมาทางโรงอาหารของมหาวิทยาลัย
“พี่การ สวัสดีค่ะ”
ปฏิการสะดุ้ง! ความคิดต้องหยุดชะงักลงกะทันหัน เมื่อเด็กสาวหน้าตาน่ารักเข้ามาทักทายอย่างใกล้ชิด จับมือของเขาบีบไว้แน่นอย่างดีอกดีใจสุดขีด
“สะ..หวัด..ดีครับ” หนุ่มหน้าหวานรีบก้าวถอยหลังให้ห่างจากตัวเด็กสาว ที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้
“วันก่อนที่พี่จัดดนดรีเพื่อการกุศล ปิงยังไปซื้อบัตรชมคอนเสริทของพี่เลยค่ะ จัดได้ดีมากนะคะ สนุกมากเลย โดยเฉพาะ พี่การค่ะ ร้องเพลงเพราะมาก ๆ เลย” น้ำเสียงใสแจ๋วที่แฝงความขี้อ้อนพร้อมกับรอยยิ้มหวานฉ่ำ อาจจะละลายหัวใจหนุ่ม ๆ ได้ แต่เขากลับรู้สึกว่า “น่ารำคาญ” มากกว่า
“ขอบคุณมากครับ เราก็ช่วย ๆ กันนะครับ” หนุ่มนักดนตรีมองมือเด็กสาวที่ยังเกาะแขนของเขาแจยังกับตังเม รู้สึกอึดอัดอยู่ในใจว่าจะทำอย่างไรดี ไม่อยากให้สาว ๆ สมัยนี้ทำกิริยาอย่างนี้เลย จะเตือนดีหรือเปล่า? จะทำให้เสียความรู้สึกไหม ถ้าปล่อยอย่างนี้ต่อไปจะดีหรือ และอดไม่ได้ที่จะชื่นชมคนที่เขาแสนคิดถึงที่ไม่เคยทำอะไรอย่างนี้เลย
มองการแต่งตัวของเด็กสาวหน้าสวยคนนี้แล้ว ต้องแอบลอบถอนหายใจ เกิดคำถามขึ้นกับตัวเองอย่างสงสัย ทำไมนักศึกษาสาวสมัยนี้ชอบใส่เสื้อนักศึกษาตัวเล็กรัดรูป บางคนกระดุมปริแล้วปริอีก ใส่กระโปรงสั้น แถมยังผ่า แหวกซ้ายแหวกขวา ผ่าหน้า ผ่าหลัง เป็นน้องนุ่ง เขาจะจับมาตีและอบรมสั่งสอนเสียให้เข็ด ไม่อยากจะคิดเลยว่าเธอเหล่านั้นคิดอย่างไรถึงกล้าแต่งตัวแบบนี้ แล้วบรรดาผู้ชายที่มองจะคิดอะไร? อย่างไร? กับเธอเหล่านั้นบ้าง?
“ขอโทษนะครับน้อง ยืนห่าง ๆ นิดหนึ่งนะครับ มือด้วยนะครับ พี่ไม่รับฝากครับ เดี๋ยวใคร ๆ จะเข้าใจผิด จะมองไม่ดีนะครับ” เขาพยายามดึงมือตัวเองออกจากการกุมไว้ของอีกฝ่าย ตัดสินใจเตือนมากกว่าที่จะปล่อยไป และเด็กสาวคนนี้ไม่ใช่คนแรกที่ถูกเขาเตือน
เด็กสาวหน้าจ๋อยลงไปทันที “แหม…พี่การก้อ…กลัวแฟนมาเห็นหรอคะ” เสียงหวานใสขี้อ้อนเปลี่ยนโทนเสียงเป็นเสียงสูงและแหลมขึ้นมาทันที
ปฏิการอึ้งไปชั่วขณะ เพราะคนที่เขาแสนคิดถึงกำลังเดินมาพอดี ช่างบังเอิญอะไรอย่างนี้ ความรู้สึกดีใจเป็นที่สุด ไม่ได้เห็นหน้าเธอ ไม่ได้คุยกันมาหลายวันแล้ว เขามองยัยตัวแสบก้มหน้าก้มตาเดินมา พร้อมกับค้นหาอะไรบางอย่างในถุงกระดาษที่หอบหนังสือแนบอกมาหนาปึ้ก ปริมาอยู่ในชุดนักศึกษาเรียบร้อยมาก เสื้อตัวโตพลางสายตาจากทรวดทรงองเอวที่แท้จริง กระโปรงทรงเอสีดำยาวคลุมเข่าเสมอ รองเท้าผ้าใบสีขาวคู่เก่งที่เธอใส่มาตลอดไม่เคยเปลี่ยน ถ้าไม่ขาดไม่พังกันไปข้างหนึ่งเสียก่อน
ถ้าเธอเห็นเขากับเด็กผู้หญิงคนนี้จะรู้สึกโกรธเขาบ้างรึเปล่า? จะรู้สึกอย่างไรบ้าง...? จะหึงเขาบ้างไหม?
เด็กสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มองตามสายตาชายหนุ่มที่ยืนตะลึงงันอยู่กับที่ มองไปยังหญิงสาวที่กำลังเดินตรงมา แววตาของชายหนุ่มเป็นประกายสดใส ริมฝีปากค่อย ๆ โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มหวานมาก แตกต่างจากที่มองเธอโดยสิ้นเชิง
“ปริม….”
เขารีบเรียกสาวบัญชี เมื่อเธอเดินเข้ามาใกล้
ปริมาเงยหน้าขึ้นมามองคนเรียกชื่อของเธอ
“คนนี้ไงแฟนพี่จ้ะ พี่ขอตัวก่อนนะครับ” หนุ่มหน้าหวานรีบแนะนำให้เด็กสาวรับทราบ แล้วคว้ามือปริมาเดินหนีไปทันที
สาวชาวสวนถูกเขาลากออกมาจนพ้นสายตาเด็กสาวคนนั้นด้วยความงุนงงสุดขีดกับคำแนะนำตัวระหว่างเขากับเธอต่อคนอื่นแบบนั้น เธอยอมรับเขาเป็นแฟนแล้วตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“นี่! นายปฏิการ ปล่อยมือเรานะ” เธอมองมือของตัวเองที่ตกอยู่ในมืออุ่นของชายหนุ่ม แล้วพยายามยื้อเอามือของตัวเองคืนมา
“แล้วนายพูดออกไปอย่างนั้นได้ยังไง ฉันเสียหายนะ” หญิงสาวเอาเรื่องกับการที่เขาอ้างชื่อเธอกับเขาเป็นแฟนกันหน้าตาเฉย
“ปริม…ฉันขอโทษ ช่วยเพื่อนซักครั้งเถอะนะ” เขายังไม่ยอมปล่อยมือ แถมยกมืออีกข้างมากุมมือของเธอไว้อย่างขอร้องและอ้อนวอน
“เพื่อนคนนี้ช่วยเหลือนายได้ทุกเรื่องนะ แต่ยกเว้นเรื่องนี้” น้ำเสียงนั้นชัดถ้อยชัดคำ เธอยังไม่ได้ยอมรับเขาเป็นแฟนเลย เขาจะเอาเธอไปเที่ยวบอกใครต่อใครว่าเป็นแฟนกันแบบนี้ไม่ได้
ปริมามองหน้าชายหนุ่มที่เงียบขรึมไม่พูดอะไรซักคำเดียวหลังจากสิ้นเสียงของเธอ ใจคอรู้สึกไม่ค่อยดี รู้สึกเป็นห่วงความรู้สึกของเขา ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยนึกแคร์ความรู้สึกของเขาเลย มองเขาค่อย ๆ ปล่อยมือของเธออย่างเสียไม่ได้
“ฉันขอโทษนะปริม…ต่อไป...จะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว...” พูดจบเขามองหน้าคนที่เขาแสนคิดถึง อดน้อยใจไม่ได้ เธอคงไม่เคยรู้สึกอะไรกับเขาเลย มีแต่เขาที่ละเมอไปเองอยู่ฝ่ายเดียว
“ฉันขอตัวก่อนนะ”
เขาตัดสินใจหันหลังเดินจากไปอย่างเศร้าสร้อย สีหน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด เขาคงเป็นได้แค่เพื่อนของเธอเท่านั้น...
“เดี๋ยว! ปฏิการ”
หนุ่มผมยาวหันกลับมาที่ต้นเสียง มองหน้าเธออีกครั้ง เขามองเห็นในแววตาเธอมีความเป็นห่วงเขาซ่อนอยู่
“ไม่เจอกันนานนะ นาย...สบายดีเหรอ” เธอรู้สึกไม่อยากให้เขาจากไปด้วยความรู้สึกไม่ค่อยดีแบบนี้เลย
“สบายดี ปริมล่ะเป็นไง” เขารู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง เมื่อได้ยินเธอถามไถ่
“ไม่เจ็บไม่ไข้จ้ะ งานดนตรีของนายจัดได้เยี่ยมมากเลย นายร้องเพลงได้เพราะเหมือนเดิมนะ” เธอพยายามชวนคุยเปลี่ยนบรรยากาศ
ปฏิการขมวดคิ้วเข้มอย่างแปลกใจ
“ปริมไปดูด้วยเหรอ ไหนบอกว่าไม่ไปไงล่ะ”
“ก็…มาคิดดูอีกที เพื่อนเราจัดทั้งที ไม่ไปดูได้ไง จริงมั้ย” ที่จริงเธอกลัวคนอื่นจะว่าเธอใจอ่อนสนใจเขา เลยต้องแอบไปดูคนเดียวต่างหาก
คำว่า “เพื่อน” ที่ได้ยิน ทำให้รู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจของคนหนุ่ม อยากบอกเธอเหลือเกินว่า เขาไม่ได้คิดเป็นเพื่อนกับเธอ เขาทำไม่ได้ เขาพยายามทำแล้วจริง ๆ แต่ไม่อาจโกหกตัวเอง ปฏิเสธความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองได้เลย เขาได้แต่เก็บคำพูดเหล่านั้นเอาไว้ในใจ เพราะรู้ดีว่า พูดออกไปคงไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว…ต่อไปนี้เขาจะไม่บอกเธออีก จะเก็บทุกความรู้สึกที่เกี่ยวกับเธอเอาไว้ในใจ…
“ปริม อยู่นี่เอง” เสียงหนุ่มหล่อดังออกมาจากหน้าต่างรถสีบลอนด์ป้ายแดงคันหรู ที่เข้ามาจอดอยู่ใกล้ ๆ
“อ้าว…หวัดดีค่ะพี่ป้อง”
ปฏิการมองหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา พี่รหัสที่ดูสนอกสนใจปริมาเหลือเกิน นัยต์ตาของชายหนุ่มเป็นประกายวิบวับอย่างที่ผู้ชายด้วยกันดูออกว่าหมายถึงอะไร
ข่าวลือนั้นเป็นความจริงหรือ? เพื่อนเคยบอกว่า สองคนนี้ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อย ๆ
หัวใจเริ่มเต้นแรงผิดปกติ ความร้อนภายในกำลังเพิ่มอุณหภูมิสูงขึ้น พอ ๆ กับความเครียด ความไม่พอใจที่เริ่มก่อร่างสร้างตัวอย่างรวดเร็ว แต่เขาทำได้เพียงยืนเงียบ ๆ ไม่แสดงอะไรออกทางสีหน้าและท่าทาง เพราะคำควณผลดูแล้วว่า ไม่มีอะไรดีเลยที่เขาจะแสดงความอึดอัดขัดเคือง ความหึงหวงเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ ความไม่พอใจเธอกับหมอนั่น!! และเขาคงมีแต่จะเสียคะแนน จึงต้องอดทนยืนฟังข้อความน่ารำคาญนั้น
“ปริมจะไปเยี่ยมพี่ปรามไหม ให้พี่ป้องไปส่งนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เผอิญปริมเจอเพื่อนเก่า” ปริมาบ้ายหน้าหันมาทางหนุ่มผมยาว
ปฏิการฝืนยิ้มให้เล็กน้อย
ปกป้องหันมาฝืนยิ้มให้เช่นกัน ก่อนจะละสายตาไปคุยปริมาต่อ
“ปริม ไม่เคยให้พี่ป้องได้ทำหน้าที่สารถีให้ซักทีเลยนะ”
“ก็เป็นสารถีให้คนอื่นก่อนสิคะ แล้วไงค่อยเจอกันที่คณะนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ งั้นพี่ป้องไปก่อนนะ” จบคำพูดนั้น หน้าต่างค่อย ๆ เลื่อนขึ้นจากด้านล่างของขอบประตูจนถึงด้านบน แล้วรถสีบลอนด์ก็ขับจากไป
ปฏิการมีสีหน้าดีขึ้น เมื่อรู้ว่าเธอไม่ไปกับหมอนั่น!! เธอไม่ได้เป็นตามข่าวลือที่เพื่อนของเขาโมเมเลย ที่สำคัญเธอเลือกเขาไม่ไปกับหมอนั่น! นึกในใจ คำว่า “เพื่อน” ก็มีประโยชน์เหมือนกันนะ
“ฉันขอโทษด้วยนะ ที่หายไปไม่ได้ติดต่อปริมเลย” หนุ่มหน้าหวานจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างรู้สึกผิดที่อยู่ ๆ ก็หายไปเฉย ๆ
“นายโกรธ...ฉัน...เหรอ...” เธอถามเขาด้วยน้ำเสียงเบามากจนเกือบไม่ได้ยิน
เขามองหน้าสาวบัญชี คำถามนี้หมายถึง เธอแคร์เขาอยู่ใช่ไหม...?
“เธอ...แคร์...ด้วยเหรอ...” เขาหลบตาอีกฝ่าย พลางก้มหน้าทำหน้างอเล็กน้อย
“แคร์สิ!” สาวชาวสวนมองหน้าชายหนุ่ม พบคนงอนหนึ่งอัตรา ทำหน้าตูมเชียว อยากหยิกแก้มคนงอนให้หายหมั่นเขี้ยวจริง ๆ
“ไม่เห็นโทรมาง้อเลย...รอ...ตั้งหลายวัน...”
ปริมาอดยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ขำคนหน้าตูมไม่ได้ ความรู้สึกบอกว่า ทำไมเขาน่ารักขนาดนี้
“ฉัน...ขอโทษน้า...ที่พูดไม่ดีกับนาย” เธอเอียงตัวลงต่ำให้คนก้มหน้ามองเห็นหน้าเธอ
ใบหน้างอ ๆ ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นอมยิ้มน้อย ๆ แบบนี้เรียกว่า ง้อกันใช่รึเปล่า? รู้สึกดีที่เธอแคร์เขาบ้าง แถมยอมง้อเขาอีกต่างหาก
"ขอบใจนะ"
“ก็...นาย...เป็นเพื่อนของฉัน ก็ต้องแคร์กันสิ” คนง้อพูดเน้นคำ
หนุ่มหน้าหวานถอนหายใจ เพื่อนอีกแล้ว!! เป็นอะไรก็ได้ตามใจเธอเลย เขายอมทุกอย่าง
“ปริม…หิวข้าวยัง ไปกินข้าวกันเถอะ เดี๋ยวฉันเป็นเจ้ามือเลี้ยงเองนะ”
“ได้เลย ระวังกระเป๋าฉีกล่ะ ฉันกินจุนะ”
“ไม่กลัวหรอก เดี๋ยวจะเลี้ยงให้อ้วนกลมเลย” เขาพูดพลางหัวเราะอย่างมีความสุข ไม่ว่าจะฐานะไหนก็ตาม ขอให้มีโอกาสได้อยู่ใกล้ ๆ เธอเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว…
*********************
รับคำท้า(หัวใจ)ยัยตัวแสบ ตอนที่ 55 แบบนี้เรียกว่าง้อกันใช่ไหม?
ตอนที่ 55
ปริวัฒน์มองหน้าคนฟังที่นิ่งเงียบไปด้วยความตกใจไม่น้อย
“ตอนนี้เธอคบกับปริมในฐานะไหน?” เขาอยากรู้ว่า ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไปถึงขั้นไหนกันแล้ว
“เพื่อนครับ เธอเป็นเพื่อนของผม แต่ผมอยากเป็นแฟนของเธอครับ”
คำตอบของหนุ่มหน้าหวานทำให้คนฟังต้องทึ่งอีกครั้งในชัดเจนเหลือเกิน หนุ่มคนนี้ช่างกล้าพูดตรง ๆ กับเขา และดูมั่นใจในตัวเองกับทุกคำตอบที่พูดออกมา
“ฉันไม่ได้รังเกียจเธอหรอกนะ ถึงเธอจะเป็นลูกชายของปัณณวัตร์ก็ตาม ตรงกันข้ามฉันชื่นชมเธอ ที่เป็นคนตรงไปตรงมาดี แต่การที่สองครอบครัวจะเกี่ยวดองกัน ควรจะต้องมีความรู้สึกที่ดีต่อกันด้วย เธอคงเข้าใจนะ”
หนุ่มผมยาวนิ่งไปกับถ้อยคำที่ได้ยินนั้น มันยิ่งทำให้เขารู้สึกหนักใจเพิ่มขึ้นอีก แม้ว่า ตอนแรกจะยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่เมื่อมาคิดทบทวนดูแล้ว เขาเข้าใจความรักของคนเป็นพ่อที่รักลูกมาก จนมองถึงอนาคตของลูก ซึ่งการแต่งงานในความจริงไม่ได้มีแค่คนสองคน แต่ยังมีครอบครัวของอีกฝ่าย ซึ่งถ้าต่างคนต่างไม่ชอบกันแล้ว ครอบครัวจะมีความสุขจริง ได้อย่างไร และจะมีปัญหาตามมาอีกแน่นอน
เด็กสาวร่างเล็กกระทัดรัด หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสวิ่งผมกระจายมาหาชายหนุ่มที่กำลังเดินท่อม ๆ ผ่านมาทางโรงอาหารของมหาวิทยาลัย
“พี่การ สวัสดีค่ะ”
ปฏิการสะดุ้ง! ความคิดต้องหยุดชะงักลงกะทันหัน เมื่อเด็กสาวหน้าตาน่ารักเข้ามาทักทายอย่างใกล้ชิด จับมือของเขาบีบไว้แน่นอย่างดีอกดีใจสุดขีด
“สะ..หวัด..ดีครับ” หนุ่มหน้าหวานรีบก้าวถอยหลังให้ห่างจากตัวเด็กสาว ที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้
“วันก่อนที่พี่จัดดนดรีเพื่อการกุศล ปิงยังไปซื้อบัตรชมคอนเสริทของพี่เลยค่ะ จัดได้ดีมากนะคะ สนุกมากเลย โดยเฉพาะ พี่การค่ะ ร้องเพลงเพราะมาก ๆ เลย” น้ำเสียงใสแจ๋วที่แฝงความขี้อ้อนพร้อมกับรอยยิ้มหวานฉ่ำ อาจจะละลายหัวใจหนุ่ม ๆ ได้ แต่เขากลับรู้สึกว่า “น่ารำคาญ” มากกว่า
“ขอบคุณมากครับ เราก็ช่วย ๆ กันนะครับ” หนุ่มนักดนตรีมองมือเด็กสาวที่ยังเกาะแขนของเขาแจยังกับตังเม รู้สึกอึดอัดอยู่ในใจว่าจะทำอย่างไรดี ไม่อยากให้สาว ๆ สมัยนี้ทำกิริยาอย่างนี้เลย จะเตือนดีหรือเปล่า? จะทำให้เสียความรู้สึกไหม ถ้าปล่อยอย่างนี้ต่อไปจะดีหรือ และอดไม่ได้ที่จะชื่นชมคนที่เขาแสนคิดถึงที่ไม่เคยทำอะไรอย่างนี้เลย
มองการแต่งตัวของเด็กสาวหน้าสวยคนนี้แล้ว ต้องแอบลอบถอนหายใจ เกิดคำถามขึ้นกับตัวเองอย่างสงสัย ทำไมนักศึกษาสาวสมัยนี้ชอบใส่เสื้อนักศึกษาตัวเล็กรัดรูป บางคนกระดุมปริแล้วปริอีก ใส่กระโปรงสั้น แถมยังผ่า แหวกซ้ายแหวกขวา ผ่าหน้า ผ่าหลัง เป็นน้องนุ่ง เขาจะจับมาตีและอบรมสั่งสอนเสียให้เข็ด ไม่อยากจะคิดเลยว่าเธอเหล่านั้นคิดอย่างไรถึงกล้าแต่งตัวแบบนี้ แล้วบรรดาผู้ชายที่มองจะคิดอะไร? อย่างไร? กับเธอเหล่านั้นบ้าง?
“ขอโทษนะครับน้อง ยืนห่าง ๆ นิดหนึ่งนะครับ มือด้วยนะครับ พี่ไม่รับฝากครับ เดี๋ยวใคร ๆ จะเข้าใจผิด จะมองไม่ดีนะครับ” เขาพยายามดึงมือตัวเองออกจากการกุมไว้ของอีกฝ่าย ตัดสินใจเตือนมากกว่าที่จะปล่อยไป และเด็กสาวคนนี้ไม่ใช่คนแรกที่ถูกเขาเตือน
เด็กสาวหน้าจ๋อยลงไปทันที “แหม…พี่การก้อ…กลัวแฟนมาเห็นหรอคะ” เสียงหวานใสขี้อ้อนเปลี่ยนโทนเสียงเป็นเสียงสูงและแหลมขึ้นมาทันที
ปฏิการอึ้งไปชั่วขณะ เพราะคนที่เขาแสนคิดถึงกำลังเดินมาพอดี ช่างบังเอิญอะไรอย่างนี้ ความรู้สึกดีใจเป็นที่สุด ไม่ได้เห็นหน้าเธอ ไม่ได้คุยกันมาหลายวันแล้ว เขามองยัยตัวแสบก้มหน้าก้มตาเดินมา พร้อมกับค้นหาอะไรบางอย่างในถุงกระดาษที่หอบหนังสือแนบอกมาหนาปึ้ก ปริมาอยู่ในชุดนักศึกษาเรียบร้อยมาก เสื้อตัวโตพลางสายตาจากทรวดทรงองเอวที่แท้จริง กระโปรงทรงเอสีดำยาวคลุมเข่าเสมอ รองเท้าผ้าใบสีขาวคู่เก่งที่เธอใส่มาตลอดไม่เคยเปลี่ยน ถ้าไม่ขาดไม่พังกันไปข้างหนึ่งเสียก่อน
ถ้าเธอเห็นเขากับเด็กผู้หญิงคนนี้จะรู้สึกโกรธเขาบ้างรึเปล่า? จะรู้สึกอย่างไรบ้าง...? จะหึงเขาบ้างไหม?
เด็กสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มองตามสายตาชายหนุ่มที่ยืนตะลึงงันอยู่กับที่ มองไปยังหญิงสาวที่กำลังเดินตรงมา แววตาของชายหนุ่มเป็นประกายสดใส ริมฝีปากค่อย ๆ โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มหวานมาก แตกต่างจากที่มองเธอโดยสิ้นเชิง
“ปริม….”
เขารีบเรียกสาวบัญชี เมื่อเธอเดินเข้ามาใกล้
ปริมาเงยหน้าขึ้นมามองคนเรียกชื่อของเธอ
“คนนี้ไงแฟนพี่จ้ะ พี่ขอตัวก่อนนะครับ” หนุ่มหน้าหวานรีบแนะนำให้เด็กสาวรับทราบ แล้วคว้ามือปริมาเดินหนีไปทันที
สาวชาวสวนถูกเขาลากออกมาจนพ้นสายตาเด็กสาวคนนั้นด้วยความงุนงงสุดขีดกับคำแนะนำตัวระหว่างเขากับเธอต่อคนอื่นแบบนั้น เธอยอมรับเขาเป็นแฟนแล้วตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“นี่! นายปฏิการ ปล่อยมือเรานะ” เธอมองมือของตัวเองที่ตกอยู่ในมืออุ่นของชายหนุ่ม แล้วพยายามยื้อเอามือของตัวเองคืนมา
“แล้วนายพูดออกไปอย่างนั้นได้ยังไง ฉันเสียหายนะ” หญิงสาวเอาเรื่องกับการที่เขาอ้างชื่อเธอกับเขาเป็นแฟนกันหน้าตาเฉย
“ปริม…ฉันขอโทษ ช่วยเพื่อนซักครั้งเถอะนะ” เขายังไม่ยอมปล่อยมือ แถมยกมืออีกข้างมากุมมือของเธอไว้อย่างขอร้องและอ้อนวอน
“เพื่อนคนนี้ช่วยเหลือนายได้ทุกเรื่องนะ แต่ยกเว้นเรื่องนี้” น้ำเสียงนั้นชัดถ้อยชัดคำ เธอยังไม่ได้ยอมรับเขาเป็นแฟนเลย เขาจะเอาเธอไปเที่ยวบอกใครต่อใครว่าเป็นแฟนกันแบบนี้ไม่ได้
ปริมามองหน้าชายหนุ่มที่เงียบขรึมไม่พูดอะไรซักคำเดียวหลังจากสิ้นเสียงของเธอ ใจคอรู้สึกไม่ค่อยดี รู้สึกเป็นห่วงความรู้สึกของเขา ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยนึกแคร์ความรู้สึกของเขาเลย มองเขาค่อย ๆ ปล่อยมือของเธออย่างเสียไม่ได้
“ฉันขอโทษนะปริม…ต่อไป...จะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว...” พูดจบเขามองหน้าคนที่เขาแสนคิดถึง อดน้อยใจไม่ได้ เธอคงไม่เคยรู้สึกอะไรกับเขาเลย มีแต่เขาที่ละเมอไปเองอยู่ฝ่ายเดียว
“ฉันขอตัวก่อนนะ”
เขาตัดสินใจหันหลังเดินจากไปอย่างเศร้าสร้อย สีหน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด เขาคงเป็นได้แค่เพื่อนของเธอเท่านั้น...
“เดี๋ยว! ปฏิการ”
หนุ่มผมยาวหันกลับมาที่ต้นเสียง มองหน้าเธออีกครั้ง เขามองเห็นในแววตาเธอมีความเป็นห่วงเขาซ่อนอยู่
“ไม่เจอกันนานนะ นาย...สบายดีเหรอ” เธอรู้สึกไม่อยากให้เขาจากไปด้วยความรู้สึกไม่ค่อยดีแบบนี้เลย
“สบายดี ปริมล่ะเป็นไง” เขารู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง เมื่อได้ยินเธอถามไถ่
“ไม่เจ็บไม่ไข้จ้ะ งานดนตรีของนายจัดได้เยี่ยมมากเลย นายร้องเพลงได้เพราะเหมือนเดิมนะ” เธอพยายามชวนคุยเปลี่ยนบรรยากาศ
ปฏิการขมวดคิ้วเข้มอย่างแปลกใจ
“ปริมไปดูด้วยเหรอ ไหนบอกว่าไม่ไปไงล่ะ”
“ก็…มาคิดดูอีกที เพื่อนเราจัดทั้งที ไม่ไปดูได้ไง จริงมั้ย” ที่จริงเธอกลัวคนอื่นจะว่าเธอใจอ่อนสนใจเขา เลยต้องแอบไปดูคนเดียวต่างหาก
คำว่า “เพื่อน” ที่ได้ยิน ทำให้รู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจของคนหนุ่ม อยากบอกเธอเหลือเกินว่า เขาไม่ได้คิดเป็นเพื่อนกับเธอ เขาทำไม่ได้ เขาพยายามทำแล้วจริง ๆ แต่ไม่อาจโกหกตัวเอง ปฏิเสธความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองได้เลย เขาได้แต่เก็บคำพูดเหล่านั้นเอาไว้ในใจ เพราะรู้ดีว่า พูดออกไปคงไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว…ต่อไปนี้เขาจะไม่บอกเธออีก จะเก็บทุกความรู้สึกที่เกี่ยวกับเธอเอาไว้ในใจ…
“ปริม อยู่นี่เอง” เสียงหนุ่มหล่อดังออกมาจากหน้าต่างรถสีบลอนด์ป้ายแดงคันหรู ที่เข้ามาจอดอยู่ใกล้ ๆ
“อ้าว…หวัดดีค่ะพี่ป้อง”
ปฏิการมองหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา พี่รหัสที่ดูสนอกสนใจปริมาเหลือเกิน นัยต์ตาของชายหนุ่มเป็นประกายวิบวับอย่างที่ผู้ชายด้วยกันดูออกว่าหมายถึงอะไร
ข่าวลือนั้นเป็นความจริงหรือ? เพื่อนเคยบอกว่า สองคนนี้ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อย ๆ
หัวใจเริ่มเต้นแรงผิดปกติ ความร้อนภายในกำลังเพิ่มอุณหภูมิสูงขึ้น พอ ๆ กับความเครียด ความไม่พอใจที่เริ่มก่อร่างสร้างตัวอย่างรวดเร็ว แต่เขาทำได้เพียงยืนเงียบ ๆ ไม่แสดงอะไรออกทางสีหน้าและท่าทาง เพราะคำควณผลดูแล้วว่า ไม่มีอะไรดีเลยที่เขาจะแสดงความอึดอัดขัดเคือง ความหึงหวงเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ ความไม่พอใจเธอกับหมอนั่น!! และเขาคงมีแต่จะเสียคะแนน จึงต้องอดทนยืนฟังข้อความน่ารำคาญนั้น
“ปริมจะไปเยี่ยมพี่ปรามไหม ให้พี่ป้องไปส่งนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เผอิญปริมเจอเพื่อนเก่า” ปริมาบ้ายหน้าหันมาทางหนุ่มผมยาว
ปฏิการฝืนยิ้มให้เล็กน้อย
ปกป้องหันมาฝืนยิ้มให้เช่นกัน ก่อนจะละสายตาไปคุยปริมาต่อ
“ปริม ไม่เคยให้พี่ป้องได้ทำหน้าที่สารถีให้ซักทีเลยนะ”
“ก็เป็นสารถีให้คนอื่นก่อนสิคะ แล้วไงค่อยเจอกันที่คณะนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ งั้นพี่ป้องไปก่อนนะ” จบคำพูดนั้น หน้าต่างค่อย ๆ เลื่อนขึ้นจากด้านล่างของขอบประตูจนถึงด้านบน แล้วรถสีบลอนด์ก็ขับจากไป
ปฏิการมีสีหน้าดีขึ้น เมื่อรู้ว่าเธอไม่ไปกับหมอนั่น!! เธอไม่ได้เป็นตามข่าวลือที่เพื่อนของเขาโมเมเลย ที่สำคัญเธอเลือกเขาไม่ไปกับหมอนั่น! นึกในใจ คำว่า “เพื่อน” ก็มีประโยชน์เหมือนกันนะ
“ฉันขอโทษด้วยนะ ที่หายไปไม่ได้ติดต่อปริมเลย” หนุ่มหน้าหวานจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างรู้สึกผิดที่อยู่ ๆ ก็หายไปเฉย ๆ
“นายโกรธ...ฉัน...เหรอ...” เธอถามเขาด้วยน้ำเสียงเบามากจนเกือบไม่ได้ยิน
เขามองหน้าสาวบัญชี คำถามนี้หมายถึง เธอแคร์เขาอยู่ใช่ไหม...?
“เธอ...แคร์...ด้วยเหรอ...” เขาหลบตาอีกฝ่าย พลางก้มหน้าทำหน้างอเล็กน้อย
“แคร์สิ!” สาวชาวสวนมองหน้าชายหนุ่ม พบคนงอนหนึ่งอัตรา ทำหน้าตูมเชียว อยากหยิกแก้มคนงอนให้หายหมั่นเขี้ยวจริง ๆ
“ไม่เห็นโทรมาง้อเลย...รอ...ตั้งหลายวัน...”
ปริมาอดยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ขำคนหน้าตูมไม่ได้ ความรู้สึกบอกว่า ทำไมเขาน่ารักขนาดนี้
“ฉัน...ขอโทษน้า...ที่พูดไม่ดีกับนาย” เธอเอียงตัวลงต่ำให้คนก้มหน้ามองเห็นหน้าเธอ
ใบหน้างอ ๆ ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นอมยิ้มน้อย ๆ แบบนี้เรียกว่า ง้อกันใช่รึเปล่า? รู้สึกดีที่เธอแคร์เขาบ้าง แถมยอมง้อเขาอีกต่างหาก
"ขอบใจนะ"
“ก็...นาย...เป็นเพื่อนของฉัน ก็ต้องแคร์กันสิ” คนง้อพูดเน้นคำ
หนุ่มหน้าหวานถอนหายใจ เพื่อนอีกแล้ว!! เป็นอะไรก็ได้ตามใจเธอเลย เขายอมทุกอย่าง
“ปริม…หิวข้าวยัง ไปกินข้าวกันเถอะ เดี๋ยวฉันเป็นเจ้ามือเลี้ยงเองนะ”
“ได้เลย ระวังกระเป๋าฉีกล่ะ ฉันกินจุนะ”
“ไม่กลัวหรอก เดี๋ยวจะเลี้ยงให้อ้วนกลมเลย” เขาพูดพลางหัวเราะอย่างมีความสุข ไม่ว่าจะฐานะไหนก็ตาม ขอให้มีโอกาสได้อยู่ใกล้ ๆ เธอเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว…
*********************