คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
PART 2
บทสนทนาที่คุยกันมีประมาณนี้ (คัดลอกจากบทสนทนาจริง แต่ขอใช้คำสรรพนามแทนชื่อ)
21/1/14 22:49
เธอ : (เรียกชื่อเล่นที่ตั้งให้ผม)
5555+
ผม : อย่าเรียกงี้จิ
ขอโทษนะ
ที่ทำให้เงินหมด
เธอ : ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณนะที่แนะนำอะไรดีๆหลายอย่าง
^^
ผม : ไม่เป็นอะไร เพื่อนกันนี่
(ส่งสติกเกอร์รูปยิ้ม)
เธอ : แค่เพื่อนเหรอๆ
ผม : เอ๋
เธอ : (ส่งสติกเกอร์แลบลิ้น)
ผม : ยังไงอยู่นะๆ
เธอ : 55556+
ถ้า ผู้หญิง จีบ ผู้ชาย ก่อนจะคิดยัฝไง
ยังไง**
แสดงความเห็นหน่อย
ผม : อืมมมม ก็ถ้าผู้หญิงเขารักผู้ชายมาก
คงไม่แปลกหรอก ถ้าเขาจะจีบอ่ะ
ดูอย่างคนอินเดียสิ
ผู้หญิงสามารถขอผู้ชายแต่งงานได้
เธอ : อ๋อ จ้า
ผม : ยุคนี้ ความรักเครื่องกั้นระหว่างชายหญิงแทบไม่มีแล้วมั้งนะ
ทุกคนเท่าเทียมกัน
เธอ : อ๋อ 0
ก็ดีสิ
เราว่าจะลองจีบใครก่อนดูบ้าง
ผม : เอ๋
จีบก่อน เอาจริงดิ
ตอนนี้ไลน์มีปัญหาน่ะ ขอโทษจริงๆ
เธอ : ไม่รู้สิ
ดีไหมอ่ะ
บางทีอาจจะทำให้มีประสบการณ์ใหม่แบบว่า...การโดนปฏิเสธเวลาเราสารภาพความรู้สึกเป็นยังไง แอบรักข้างเดียวเป็นยังไฝ
ไง**
คงเจ็บดี @.@
ผม : ก็.....ถ้าเธอคิดดีแล้วว่าถ้าคนนั้นคือคนที่ใช่
แล้วไม่คิดว่าเป็นอุปสรรคการเรียนก็ทำตามใจสั่งมาเถอะ
นี่...
ความเจ็บอ่ะ มันสอนเราก็จริง
แต่ว่าอย่าไปทำเป็นเรื่องเล่นๆนะ
เราไม่ดีใจด้วยหรอกนะ ถ้าเธอจะต้องเจ็บอ่ะ
เธอ : จ้าๆ
เราไม่ทำหรอก
แค่คิดๆไว้
ผม : อื้ม คิดเล่นไม่เป็นไรหรอก
เพราะเราไม่อยากเห็นพี่อนที่เรารักรักต้องเจ็บปวดหรอก
เธอ : เน้นคำว่าเพื่อนจังเลย
555555+
เราไม่คิดมากหรอก
ผม : รึไม่อยากให้เราเป็นเพื่อนหรอ???
เธอ : เป็นเพื่อนแหละ 5555
ผม : ชักจะน่าสงสัยละ เธอคนนี้
เธอ : 55555+
สงสัยไรเรา
ขอโทษนะ
ผม : หืมมม ขอโทษทำไม
เธอ : ทำอะไรแปลกไง
แปลกๆ**
ผม : ไม่ใช่หรอก
ที่ว่าแปลกน่ะ ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น
เราต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษเธอ
เธอ : ขอโทษทำไม
ไม่ได้ทำไรผิด
ผม : ผิดสิ ผิดมากด้วย
ขอบอกอะไรตรงๆนะ
เธอ : จ้าๆ
บอกมา
ผม : เราชอบเธอนะ
เมื่อตะกี้มันรู้สึกแบบนี้
เราเลยขอโทษ
เธอ : อ๋อ
จ้าๆ ไม่ได้ว่าไร
^^
ผม : เอ๋
อ๋อ คงชินล่ะสินะ
มีคนบอกชอบบ่อยนี่นา
เราคิดแบบนั้นกับเธอคงไม่ใช่เรื่องสมควรหรอก
เธอ : คิดว่าแบบนั้นเหรอ
เราคงดูแย่ล่ะสิ คำว่าชิน
เธอ : คิดแบบนั้นไม่ว่าหรอก
แต่ชอบเราตั้งแต่ตอนไหนอ่ะ 🙂
ผม : ไม่ใช่จริงๆๆๆๆๆ ขอโทษ
ตอนที่ทักมาเมื่อวานครั้งแรกเลยไง (อันนี้โกหก ความจริงคือชอบมานานแล้ว)
แต่ว่าเรื่องที่เล่าไปเราพูดจากใจจริงนะ
ไม่ใช่แผนอะไรเลยจริงๆ
เธอ : อ๋อจ้า เราเชื่อ
ไม่ต้องคิดมาก
ผม : อื้ม
เธอ : ^^
ดึกแล้ว นอนกันเถอะ
5555+
ผม : ยังรู้สึกผิดอยู่เลย แต่ก็ไม่อยากปิดไว้
เธอ : อย่าคิดมากนะ เราไม่ได้โกรธเลย
นอนหลับให้สบาย
🙂
พรุ่งนี้จะได้สดชื่น แจ่มใส >< 555
ผม : อื้ม
เธอ : ฝันดีจ้า
ผม : อื้ม ฝันดีเช่นกัน
เธอ : 🙂
ไปละ บ๊ายบาย
.....................................................................................
หลังจากนั้น เราก็ยังคงคุยกันปกติเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือตัวเธอนั้นรู้ความรู้สึกของผมที่มีต่อเธอแล้ว และก็ตามเคย ผมก็ไม่ได้ถามความรู้สึกของเธอกลับ ก็เลยไม่รู้ว่าเธอนั้นคิดยังไงกับผม และผมเองก็ป๊อดเกินกว่าจะคุยเรื่องนี้อีกครั้ง เพราะกลัวเธอจะโกรธและว่าผมเซ้าซี้จากนั้นก็จะหายไปอีก เพราะถึงยังไงความรู้สึกดีๆที่ผมมีให้เธอนั้นผมให้เธอด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ ผมไม่อยากให้ความสัมพันธ์ที่สร้างมาต้องจบลงด้วยความรู้สึกแย่ๆต่อกัน ผมยังคงเก็บความค้างคาใจนี้ไว้ แม้เธอจะถึงขั้นถ่ายภาพหรืออัดคลิปของเธอโพสแล้วตั้งค่าให้ผมเห็นคนเดียว
หรือแม้แต่
วันที่ 18 สิงหาคม 2557
พวกเราทั้งคู่เป็นนักศึกษาเฟรชชี่ปี1 และยังคงอยู่ต่างสถาบันกันเช่นเดิม เธอเลือกเรียนมหาลัยเอกชนใกล้บ้าน ส่วนผมเข้ามาเรียน ม.ราม (ทำให้มีความรู้สึกว่าใกล้ชิดกันขึ้นมาหน่อย)
.....วันนั้นผมตัดสินใจเดินทางไปหาเธอที่มหาวิทยาลัยของเธอ ทำให้เราสองคนก็ได้พบกันตัวจริงเป็นครั้งแรก เพื่อนำภาพวาดของผมที่วาดให้เธอทั้งหมดนำไปให้กับมือตามที่นัดกันไว้ (ใจจริงคือ อยากพบเธอนั่นแหละแต่เอาเรื่องรูปภาพมาอ้าง) ซึ่งพอได้เจอกันผมก็กลับเขินจนทำอะไรไม่ถูก พูดอะไรก็ไม่ค่อยออก จนเธอต้องเป็นฝ่ายชวนคุย แต่เหมือนเธอเองก็ดูเกรงใจผมอยู่เลยทำให้ต่างฝ่ายก็เหมือนจะทำตัวไม่ถูก แต่ก่อนที่ผมจะกลับเธอก็มีน้ำใจมารอส่งผมกลับจนขึ้นรถ แล้วโบกมือลากัน
เห็นแบบนี้เป็นใครคงคิดว่า คงยังสนิทสนมกันเหมือนเดิม
แต่ตัวผมกลับรู้สึกว่า ความสัมพันธ์ของผมกับเธอเหมือนจะห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากที่ผมทำบรรยากาศเฟลไปในการพบกันครั้งแรก ผมอยากจะแก้ตัวใหม่อีกครั้งจึงเดินทางไปหาเธออีกรอบ คราวนี้กะจะเซอร์ไพรซ์ให้ตกใจเล่น จึงไปโดยที่ไม่ได้บอกล่วงหน้า แต่ส่งข้อความว่ากำลังไปหาเมื่อใกล้จะถึง....
แต่กลายเป็นว่า เธอตอบกลับมาว่าไม่ให้มาเจอ และบอกอีกด้วยว่า ถ้ามาเธอจะโกรธและไม่คุยด้วยอีกต่อไป ผมที่นั่งอยู่ในรถตู้ที่อีกไม่ถึงกิโลเมตรก็จะถึงจุดหมาย พอได้อ่านข้อความที่เธอส่งมาถึงกับช็อคและทำอะไรไม่ถูกไปเลย แม้จะถึงป้ายแล้ว ผมก็ไม่มีแรงลุกออกจากเบาะที่ผมนั่งอยู่ ไม่มีแรงแม้จะเอ่ยเรียกรถให้จอด ตัวผมที่ไร้สติก็เลยได้นั่งรถตั้งแต่ต้นสายวนกลับมาที่เดิมจนโดนคนขับทักว่า “อ้าวไอ้หนุ่ม! ยังไม่ได้ลงหรอ”
และตั้งแต่วันนั้นสายโทรศัพท์ที่ผมโทรไปเธอก็รับมันน้อยลง ประโยคในแชทที่เคยพูดจาหยอกเย้ากันนั้นก็เริ่มไม่ค่อยมี พอผมพูดจริงจังเกี่ยวกับความเป็นเพื่อนของเรา บางครั้งเธอก็เปลี่ยนประเด็นไปพูดเรื่องอื่น จากนั้นช่องแชทของเราก็ค่อยๆร้าง ประโยคที่คุยกันก็เริ่มลงลง จากพูดคุยสารทุกข์สุขดิบกันได้ ก็กลับมาคุยกันแค่เรื่องเรียน เรื่องสอบ เหมือนกับตอนที่เริ่มคุยกันครั้งแรก และระยะเวลาที่ทักทายกันก็เริ่มห่างขึ้นทีละนิดๆ จากที่คุยกัน 2-3วัน/ครั้ง ก็เริ่มขยับเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์ก็เริ่มห่างเป็นเดือน ในที่สุดเธอก็ค่อยๆเริ่มปิดช่องทางการติดต่ออีกครั้ง (เปลี่ยนเบอร์,ไม่รู้เปลี่ยนไลน์ด้วยไหม เพราะทักไปก็ไม่ได้อ่าน)
วันที่ 11 ตุลาคม 2558
“จ้า เค้าอ่านหนังสือก่อนนะ พรุ่งนี้สอบจ้า”
นี่คือประโยคสุดท้ายที่เธอส่งมาในช่องแชท ก่อนที่ไม่กี่เดือนต่อมา Facebook อันใหม่นี้ที่เธอเคยแอดมาหาผม ก็ได้หายไป........
5 ปีต่อมา
วันที่ 29 ก.ย. 2563 ผมเกิดรู้สึกคิดถึงเธอขึ้นมา จึงลองเปิดช่องแชทดูข้อความเก่าๆเพื่อระลึกถึงความหลัง และความรู้สึกดีๆที่ผ่านมา
แต่ผมสังเกตว่า ตอนนี้บัญชีที่ถูกปิดไปนั้น มันกลับมาเปิดอีกครั้งหนึ่งแล้ว ผมรู้สึกดีใจมากๆ และอยากจะดูความเป็นไปที่ผ่านมาของเธอ แต่กลายเป็นว่า เหมือนเธอจะตั้งค่าและจำกัดการมองเห็นไทม์ไลน์และรูปภาพให้เฉพาะเพื่อนสนิทบางกลุ่มเท่านั้น ซึ่งสมัยก่อนผมคือเพื่อนบางกลุ่มที่ว่า แต่ปัจจุบันดูเหมือนจะไม่ใช่ผมแล้ว ภาพที่ผมเห็นเห็นปัจจุบันก็ถูกทำให้มองไม่เห็น คลิปที่เธอโพสไว้ ก็เหมือนจะลบไป แม้รูปภาพที่เธอถูกแท็ก ผมก็ไม่สามารถเห็นได้
ตรงจุดนี้ผมก็พอเข้าใจ ว่าวันเวลาผ่านไป เธอคงได้พบกับเพื่อนที่เข้าใจและพร้อมจะอยู่ข้างๆเธอมากกว่าเพื่อนที่ห่างไกล (จริงๆเรื่องนี้ผมควรรู้มาตั้งแต่คุยกันแรกๆแล้ว)
แต่เพราะความทรงจำและความรู้สึกดีๆที่ผ่านมายังคงอยู่ในใจผมมาตลอด บอกผมให้ทักหาเธออีกครั้ง ผมจึงลองส่งสติกเกอร์ไปหาเธอดู
ปรากฏว่าเธอก็ส่งสติกเกอร์ทักทายแบบเดียวกับที่ผมส่งให้เธอไปกลับมา
ผมรู้สึกดีใจมาก จึงพูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบของเธอจนรู้ว่าเธอนั้น กำลังเรียน ป.โทอยู่ที่ม.เดิม และพอพูดคุยถึงเรื่องเก่าๆที่ผ่านมา กลับกลายเป็นว่า........
“555”
“ขอโทษนะ จำไม่ได้แล้ว”
...........
ใช่ครับ เธอตอบผมกลับมาแบบนี้
รู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่าลงกลางกะบานอย่างจังเลย ครั้งนี้หนักว่าตอนที่ถูกปฏิเสธไม่ให้เจอกันเมื่อตอนอยู่ปี1เสียอีก
เธอให้เหตุผลต่อว่าตอนนี้เธอเป็นคนขี้ลืม และทำอะไรแปปเดียวก็ลืมแล้ว ทำเลยทำได้แค่ตีเนียนคุยต่อนิดๆหน่อยๆเหมือนไม่รู้สึกอะไร ทั้งที่ในใจมีความรู้สึกมากมายที่อธิบายเป็นคำพูดออกมาไม่ได้อยู่เต็มไปหมด ประกอบกับน้ำตาที่ค่อยๆรินลงบนแก้มของผม
ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องเสียใจกับเรื่องที่รู้ดีอยู่แก่ใจแล้วด้วย วันเวลาที่ผันผ่านไป ก็ต้องลบเลือนเรื่องราวในใจคนไปบ้าง ก็เป็นเรื่องปกติ การที่ตัวผมไม่ได้ติดต่อกับเธอมา5ปี ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เธอจะต้องลืมกันบ้าง แต่คำพูดของเธอที่ว่า จำไม่ได้แล้ว พร้อมกับการหัวเราะออกมาเป็นตัวอักษรเหมือนเป็นเรื่องสนุกสนาน มันจะทำให้ผมเสียใจถึงขนาดนี้
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาจนถึงทุกวันนี้ ผมก็ไม่ได้ติดต่อกับเธออีกเลย.......
.................................................................................
ปีนี้ (2565) ก็ประมาณ11 ปีพอดี ที่ผมและเธอได้รู้จักกัน
และก็ไม่รู้ว่าผมเป็นอะไร ทั้งที่เจอเรื่องแบบนั้นมาแท้ๆ
ผมยังกลับไม่ลืมเธอคนนั้น คนที่เป็นทั้งเพื่อนและเป็น Puppy love คนสำคัญของผม
และผมยอมรับครับ ว่าแม้ผ่านมา 10 ปีแล้ว ความรู้สึกดีๆที่ผมยังมีต่อเธอยังไม่จางหายไป
ตอนนี้ตัวผมก็อายุ 26 ปีแล้ว ก็โตเป็นผู้ใหญ่พอที่จะยอมรับเรื่องความรักอะไรทำนองนี้
ผมยังคงคิดถึงเธอครับ
อยากคุยกับเขาอีกครั้ง แต่ก็กลัวเหลือเกิน ว่าเธอจะพูดอะไรที่ทำร้ายความทรงจำที่ดีของผมอีก เธอคงไม่ได้ตั้งใจให้ผมรู้สึกแย่ แต่บางทีมันก็แอบน้อยใจจริงๆว่าที่ผ่านมา ผมกลับเป็นฝ่ายคิดถึงเธออย่างเดียว
ดังนั้นคำถามที่จะถามคือ ผมควรทักไปหาเธอดีไหมครับ? และถ้าทักไปแล้ว ผมควรชวนคุยเรื่องอะไรดี?
ขอบคุณที่อ่านเรื่องราวของผมมาจนถึงตรงนี้นะครับ
ผมหวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าจะได้รับคำแนะนำที่ดี
บทสนทนาที่คุยกันมีประมาณนี้ (คัดลอกจากบทสนทนาจริง แต่ขอใช้คำสรรพนามแทนชื่อ)
21/1/14 22:49
เธอ : (เรียกชื่อเล่นที่ตั้งให้ผม)
5555+
ผม : อย่าเรียกงี้จิ
ขอโทษนะ
ที่ทำให้เงินหมด
เธอ : ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณนะที่แนะนำอะไรดีๆหลายอย่าง
^^
ผม : ไม่เป็นอะไร เพื่อนกันนี่
(ส่งสติกเกอร์รูปยิ้ม)
เธอ : แค่เพื่อนเหรอๆ
ผม : เอ๋
เธอ : (ส่งสติกเกอร์แลบลิ้น)
ผม : ยังไงอยู่นะๆ
เธอ : 55556+
ถ้า ผู้หญิง จีบ ผู้ชาย ก่อนจะคิดยัฝไง
ยังไง**
แสดงความเห็นหน่อย
ผม : อืมมมม ก็ถ้าผู้หญิงเขารักผู้ชายมาก
คงไม่แปลกหรอก ถ้าเขาจะจีบอ่ะ
ดูอย่างคนอินเดียสิ
ผู้หญิงสามารถขอผู้ชายแต่งงานได้
เธอ : อ๋อ จ้า
ผม : ยุคนี้ ความรักเครื่องกั้นระหว่างชายหญิงแทบไม่มีแล้วมั้งนะ
ทุกคนเท่าเทียมกัน
เธอ : อ๋อ 0
ก็ดีสิ
เราว่าจะลองจีบใครก่อนดูบ้าง
ผม : เอ๋
จีบก่อน เอาจริงดิ
ตอนนี้ไลน์มีปัญหาน่ะ ขอโทษจริงๆ
เธอ : ไม่รู้สิ
ดีไหมอ่ะ
บางทีอาจจะทำให้มีประสบการณ์ใหม่แบบว่า...การโดนปฏิเสธเวลาเราสารภาพความรู้สึกเป็นยังไง แอบรักข้างเดียวเป็นยังไฝ
ไง**
คงเจ็บดี @.@
ผม : ก็.....ถ้าเธอคิดดีแล้วว่าถ้าคนนั้นคือคนที่ใช่
แล้วไม่คิดว่าเป็นอุปสรรคการเรียนก็ทำตามใจสั่งมาเถอะ
นี่...
ความเจ็บอ่ะ มันสอนเราก็จริง
แต่ว่าอย่าไปทำเป็นเรื่องเล่นๆนะ
เราไม่ดีใจด้วยหรอกนะ ถ้าเธอจะต้องเจ็บอ่ะ
เธอ : จ้าๆ
เราไม่ทำหรอก
แค่คิดๆไว้
ผม : อื้ม คิดเล่นไม่เป็นไรหรอก
เพราะเราไม่อยากเห็นพี่อนที่เรารักรักต้องเจ็บปวดหรอก
เธอ : เน้นคำว่าเพื่อนจังเลย
555555+
เราไม่คิดมากหรอก
ผม : รึไม่อยากให้เราเป็นเพื่อนหรอ???
เธอ : เป็นเพื่อนแหละ 5555
ผม : ชักจะน่าสงสัยละ เธอคนนี้
เธอ : 55555+
สงสัยไรเรา
ขอโทษนะ
ผม : หืมมม ขอโทษทำไม
เธอ : ทำอะไรแปลกไง
แปลกๆ**
ผม : ไม่ใช่หรอก
ที่ว่าแปลกน่ะ ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น
เราต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษเธอ
เธอ : ขอโทษทำไม
ไม่ได้ทำไรผิด
ผม : ผิดสิ ผิดมากด้วย
ขอบอกอะไรตรงๆนะ
เธอ : จ้าๆ
บอกมา
ผม : เราชอบเธอนะ
เมื่อตะกี้มันรู้สึกแบบนี้
เราเลยขอโทษ
เธอ : อ๋อ
จ้าๆ ไม่ได้ว่าไร
^^
ผม : เอ๋
อ๋อ คงชินล่ะสินะ
มีคนบอกชอบบ่อยนี่นา
เราคิดแบบนั้นกับเธอคงไม่ใช่เรื่องสมควรหรอก
เธอ : คิดว่าแบบนั้นเหรอ
เราคงดูแย่ล่ะสิ คำว่าชิน
เธอ : คิดแบบนั้นไม่ว่าหรอก
แต่ชอบเราตั้งแต่ตอนไหนอ่ะ 🙂
ผม : ไม่ใช่จริงๆๆๆๆๆ ขอโทษ
ตอนที่ทักมาเมื่อวานครั้งแรกเลยไง (อันนี้โกหก ความจริงคือชอบมานานแล้ว)
แต่ว่าเรื่องที่เล่าไปเราพูดจากใจจริงนะ
ไม่ใช่แผนอะไรเลยจริงๆ
เธอ : อ๋อจ้า เราเชื่อ
ไม่ต้องคิดมาก
ผม : อื้ม
เธอ : ^^
ดึกแล้ว นอนกันเถอะ
5555+
ผม : ยังรู้สึกผิดอยู่เลย แต่ก็ไม่อยากปิดไว้
เธอ : อย่าคิดมากนะ เราไม่ได้โกรธเลย
นอนหลับให้สบาย
🙂
พรุ่งนี้จะได้สดชื่น แจ่มใส >< 555
ผม : อื้ม
เธอ : ฝันดีจ้า
ผม : อื้ม ฝันดีเช่นกัน
เธอ : 🙂
ไปละ บ๊ายบาย
.....................................................................................
หลังจากนั้น เราก็ยังคงคุยกันปกติเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือตัวเธอนั้นรู้ความรู้สึกของผมที่มีต่อเธอแล้ว และก็ตามเคย ผมก็ไม่ได้ถามความรู้สึกของเธอกลับ ก็เลยไม่รู้ว่าเธอนั้นคิดยังไงกับผม และผมเองก็ป๊อดเกินกว่าจะคุยเรื่องนี้อีกครั้ง เพราะกลัวเธอจะโกรธและว่าผมเซ้าซี้จากนั้นก็จะหายไปอีก เพราะถึงยังไงความรู้สึกดีๆที่ผมมีให้เธอนั้นผมให้เธอด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ ผมไม่อยากให้ความสัมพันธ์ที่สร้างมาต้องจบลงด้วยความรู้สึกแย่ๆต่อกัน ผมยังคงเก็บความค้างคาใจนี้ไว้ แม้เธอจะถึงขั้นถ่ายภาพหรืออัดคลิปของเธอโพสแล้วตั้งค่าให้ผมเห็นคนเดียว
หรือแม้แต่
วันที่ 18 สิงหาคม 2557
พวกเราทั้งคู่เป็นนักศึกษาเฟรชชี่ปี1 และยังคงอยู่ต่างสถาบันกันเช่นเดิม เธอเลือกเรียนมหาลัยเอกชนใกล้บ้าน ส่วนผมเข้ามาเรียน ม.ราม (ทำให้มีความรู้สึกว่าใกล้ชิดกันขึ้นมาหน่อย)
.....วันนั้นผมตัดสินใจเดินทางไปหาเธอที่มหาวิทยาลัยของเธอ ทำให้เราสองคนก็ได้พบกันตัวจริงเป็นครั้งแรก เพื่อนำภาพวาดของผมที่วาดให้เธอทั้งหมดนำไปให้กับมือตามที่นัดกันไว้ (ใจจริงคือ อยากพบเธอนั่นแหละแต่เอาเรื่องรูปภาพมาอ้าง) ซึ่งพอได้เจอกันผมก็กลับเขินจนทำอะไรไม่ถูก พูดอะไรก็ไม่ค่อยออก จนเธอต้องเป็นฝ่ายชวนคุย แต่เหมือนเธอเองก็ดูเกรงใจผมอยู่เลยทำให้ต่างฝ่ายก็เหมือนจะทำตัวไม่ถูก แต่ก่อนที่ผมจะกลับเธอก็มีน้ำใจมารอส่งผมกลับจนขึ้นรถ แล้วโบกมือลากัน
เห็นแบบนี้เป็นใครคงคิดว่า คงยังสนิทสนมกันเหมือนเดิม
แต่ตัวผมกลับรู้สึกว่า ความสัมพันธ์ของผมกับเธอเหมือนจะห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากที่ผมทำบรรยากาศเฟลไปในการพบกันครั้งแรก ผมอยากจะแก้ตัวใหม่อีกครั้งจึงเดินทางไปหาเธออีกรอบ คราวนี้กะจะเซอร์ไพรซ์ให้ตกใจเล่น จึงไปโดยที่ไม่ได้บอกล่วงหน้า แต่ส่งข้อความว่ากำลังไปหาเมื่อใกล้จะถึง....
แต่กลายเป็นว่า เธอตอบกลับมาว่าไม่ให้มาเจอ และบอกอีกด้วยว่า ถ้ามาเธอจะโกรธและไม่คุยด้วยอีกต่อไป ผมที่นั่งอยู่ในรถตู้ที่อีกไม่ถึงกิโลเมตรก็จะถึงจุดหมาย พอได้อ่านข้อความที่เธอส่งมาถึงกับช็อคและทำอะไรไม่ถูกไปเลย แม้จะถึงป้ายแล้ว ผมก็ไม่มีแรงลุกออกจากเบาะที่ผมนั่งอยู่ ไม่มีแรงแม้จะเอ่ยเรียกรถให้จอด ตัวผมที่ไร้สติก็เลยได้นั่งรถตั้งแต่ต้นสายวนกลับมาที่เดิมจนโดนคนขับทักว่า “อ้าวไอ้หนุ่ม! ยังไม่ได้ลงหรอ”
และตั้งแต่วันนั้นสายโทรศัพท์ที่ผมโทรไปเธอก็รับมันน้อยลง ประโยคในแชทที่เคยพูดจาหยอกเย้ากันนั้นก็เริ่มไม่ค่อยมี พอผมพูดจริงจังเกี่ยวกับความเป็นเพื่อนของเรา บางครั้งเธอก็เปลี่ยนประเด็นไปพูดเรื่องอื่น จากนั้นช่องแชทของเราก็ค่อยๆร้าง ประโยคที่คุยกันก็เริ่มลงลง จากพูดคุยสารทุกข์สุขดิบกันได้ ก็กลับมาคุยกันแค่เรื่องเรียน เรื่องสอบ เหมือนกับตอนที่เริ่มคุยกันครั้งแรก และระยะเวลาที่ทักทายกันก็เริ่มห่างขึ้นทีละนิดๆ จากที่คุยกัน 2-3วัน/ครั้ง ก็เริ่มขยับเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์ก็เริ่มห่างเป็นเดือน ในที่สุดเธอก็ค่อยๆเริ่มปิดช่องทางการติดต่ออีกครั้ง (เปลี่ยนเบอร์,ไม่รู้เปลี่ยนไลน์ด้วยไหม เพราะทักไปก็ไม่ได้อ่าน)
วันที่ 11 ตุลาคม 2558
“จ้า เค้าอ่านหนังสือก่อนนะ พรุ่งนี้สอบจ้า”
นี่คือประโยคสุดท้ายที่เธอส่งมาในช่องแชท ก่อนที่ไม่กี่เดือนต่อมา Facebook อันใหม่นี้ที่เธอเคยแอดมาหาผม ก็ได้หายไป........
5 ปีต่อมา
วันที่ 29 ก.ย. 2563 ผมเกิดรู้สึกคิดถึงเธอขึ้นมา จึงลองเปิดช่องแชทดูข้อความเก่าๆเพื่อระลึกถึงความหลัง และความรู้สึกดีๆที่ผ่านมา
แต่ผมสังเกตว่า ตอนนี้บัญชีที่ถูกปิดไปนั้น มันกลับมาเปิดอีกครั้งหนึ่งแล้ว ผมรู้สึกดีใจมากๆ และอยากจะดูความเป็นไปที่ผ่านมาของเธอ แต่กลายเป็นว่า เหมือนเธอจะตั้งค่าและจำกัดการมองเห็นไทม์ไลน์และรูปภาพให้เฉพาะเพื่อนสนิทบางกลุ่มเท่านั้น ซึ่งสมัยก่อนผมคือเพื่อนบางกลุ่มที่ว่า แต่ปัจจุบันดูเหมือนจะไม่ใช่ผมแล้ว ภาพที่ผมเห็นเห็นปัจจุบันก็ถูกทำให้มองไม่เห็น คลิปที่เธอโพสไว้ ก็เหมือนจะลบไป แม้รูปภาพที่เธอถูกแท็ก ผมก็ไม่สามารถเห็นได้
ตรงจุดนี้ผมก็พอเข้าใจ ว่าวันเวลาผ่านไป เธอคงได้พบกับเพื่อนที่เข้าใจและพร้อมจะอยู่ข้างๆเธอมากกว่าเพื่อนที่ห่างไกล (จริงๆเรื่องนี้ผมควรรู้มาตั้งแต่คุยกันแรกๆแล้ว)
แต่เพราะความทรงจำและความรู้สึกดีๆที่ผ่านมายังคงอยู่ในใจผมมาตลอด บอกผมให้ทักหาเธออีกครั้ง ผมจึงลองส่งสติกเกอร์ไปหาเธอดู
ปรากฏว่าเธอก็ส่งสติกเกอร์ทักทายแบบเดียวกับที่ผมส่งให้เธอไปกลับมา
ผมรู้สึกดีใจมาก จึงพูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบของเธอจนรู้ว่าเธอนั้น กำลังเรียน ป.โทอยู่ที่ม.เดิม และพอพูดคุยถึงเรื่องเก่าๆที่ผ่านมา กลับกลายเป็นว่า........
“555”
“ขอโทษนะ จำไม่ได้แล้ว”
...........
ใช่ครับ เธอตอบผมกลับมาแบบนี้
รู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่าลงกลางกะบานอย่างจังเลย ครั้งนี้หนักว่าตอนที่ถูกปฏิเสธไม่ให้เจอกันเมื่อตอนอยู่ปี1เสียอีก
เธอให้เหตุผลต่อว่าตอนนี้เธอเป็นคนขี้ลืม และทำอะไรแปปเดียวก็ลืมแล้ว ทำเลยทำได้แค่ตีเนียนคุยต่อนิดๆหน่อยๆเหมือนไม่รู้สึกอะไร ทั้งที่ในใจมีความรู้สึกมากมายที่อธิบายเป็นคำพูดออกมาไม่ได้อยู่เต็มไปหมด ประกอบกับน้ำตาที่ค่อยๆรินลงบนแก้มของผม
ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องเสียใจกับเรื่องที่รู้ดีอยู่แก่ใจแล้วด้วย วันเวลาที่ผันผ่านไป ก็ต้องลบเลือนเรื่องราวในใจคนไปบ้าง ก็เป็นเรื่องปกติ การที่ตัวผมไม่ได้ติดต่อกับเธอมา5ปี ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เธอจะต้องลืมกันบ้าง แต่คำพูดของเธอที่ว่า จำไม่ได้แล้ว พร้อมกับการหัวเราะออกมาเป็นตัวอักษรเหมือนเป็นเรื่องสนุกสนาน มันจะทำให้ผมเสียใจถึงขนาดนี้
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาจนถึงทุกวันนี้ ผมก็ไม่ได้ติดต่อกับเธออีกเลย.......
.................................................................................
ปีนี้ (2565) ก็ประมาณ11 ปีพอดี ที่ผมและเธอได้รู้จักกัน
และก็ไม่รู้ว่าผมเป็นอะไร ทั้งที่เจอเรื่องแบบนั้นมาแท้ๆ
ผมยังกลับไม่ลืมเธอคนนั้น คนที่เป็นทั้งเพื่อนและเป็น Puppy love คนสำคัญของผม
และผมยอมรับครับ ว่าแม้ผ่านมา 10 ปีแล้ว ความรู้สึกดีๆที่ผมยังมีต่อเธอยังไม่จางหายไป
ตอนนี้ตัวผมก็อายุ 26 ปีแล้ว ก็โตเป็นผู้ใหญ่พอที่จะยอมรับเรื่องความรักอะไรทำนองนี้
ผมยังคงคิดถึงเธอครับ
อยากคุยกับเขาอีกครั้ง แต่ก็กลัวเหลือเกิน ว่าเธอจะพูดอะไรที่ทำร้ายความทรงจำที่ดีของผมอีก เธอคงไม่ได้ตั้งใจให้ผมรู้สึกแย่ แต่บางทีมันก็แอบน้อยใจจริงๆว่าที่ผ่านมา ผมกลับเป็นฝ่ายคิดถึงเธออย่างเดียว
ดังนั้นคำถามที่จะถามคือ ผมควรทักไปหาเธอดีไหมครับ? และถ้าทักไปแล้ว ผมควรชวนคุยเรื่องอะไรดี?
ขอบคุณที่อ่านเรื่องราวของผมมาจนถึงตรงนี้นะครับ
ผมหวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าจะได้รับคำแนะนำที่ดี
แสดงความคิดเห็น
ยังคงรักเพื่อนที่เป็นPuppyLoveมาตลอด10กว่าปี
แต่จะคำถาม อยากให้อ่านเรื่องที่ผมจะเล่าก่อนครับ (ยาวนิดนึงนะ ตัวอักษรไม่พอแบ่งเป็น 2 พาทย์นะครับ)
ผมนั้นตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่ง เธออยู่กรุงเทพฯ เราทั้งสองคนรู้จักกันผ่านเกมส์ออนไลน์ โดยมีเพื่อนคนหนึ่งแนะนำให้รู้จักกัน ซึ่งตอนแรกนั้น เพื่อนผมคนนี้กะจะให้ผมเป็นพ่อสื่อ เพื่อสานสัมพันธ์ให้กับทั้งสองคนได้มีโอกาสพูดคุยกันมากขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่า เมื่อเวลาผ่านไป ตัวผมเองกลับเป็นฝ่ายหลงรักเธอไปโดยที่ไม่รู้ตัว ประจวบกับที่ความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยลงรอยกันหลังจากที่พวกเขาคุยกันมาได้สักพัก
จนในที่สุดตอนม.6 เธอกับเพื่อนของผมก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังติดต่อและพูดคุยกับผมอย่างปกติ พวกเราลดเวลาเล่นเกมส์ลง เริ่มมีการติดต่อกันทาง SNS บ่อยขึ้น(ใช้โปรไฟล์ที่มีรูปจริงของแต่ละคนคุยกัน) ซึ่งตอนนั้นเนื้อหาที่เราคุยกันส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเรียน เพราะต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาลัย มีหลายครั้งที่เราต่างก็พูดให้กำลังใจซึ่งกันและกัน บางครั้งก็มีหยอกล้อกันด้วยถ้อยคำหวานๆบ้าง
ผมเลยบอกกับตัวเองว่าจะขอเป็น “เพื่อนที่ดี” ของเธอ โดยให้ความรักที่ผมมีต่อเธอนั้น มันเติบโตอยู่ในใจของผมคนเดียวก็พอ
ในช่วงแรกที่เราคุยกันผ่าน SNS ผมนั้นจะเป็นฝ่ายทักไปหาเธอก่อน แต่ต่อมาพักหลังๆ เธอเริ่มที่จะทักมาหาผมบ้าง ซึ่งทุกครั้งที่เห็นข้อความแจ้งเตือนของเธอ ผมจะรู้สึกดีใจมากๆ ยิ้มกรุ้มกริ่มทุกครั้ง แถมใจเต้นตุ้บๆอยู่ตลอดเลย ยอมรับเลยครับ ว่าในตอนนั้น การได้คุยกับคนที่เราชอบนั้น มันดีต่อใจจริงๆนะ รู้สึกได้รับพลังงานบวก มีเรี่ยวแรงกำลังใจที่จะทำสิ่งต่างๆได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย
พวกเราสัญญาว่าจะพยายามตั้งใจเรียนไปด้วยกัน แต่ว่าก็มีอยู่ช่วงหนึ่ง ที่จู่ๆเธอก็ขาดการติดต่อไปนานมากๆ
มารู้ตอนที่เธอทักมาผมเอง เหมือนว่าเธอพยายามหลบใครบางคนอยู่ ซึ่งแม้ผมจะสงสัยแต่ก็เกรงใจจึงไม่ได้รบเร้าถามเธอต่อ จากนั้นเธอก็บอกว่าที่หายไปเพราะอยากอยู่คนเดียว มีเรื่องให้เครียดเยอะมาก โดยเฉพาะเรื่องเรียนต่อ และที่เธอทักผมมา เพราะเธอเปิด Facebook อันใหม่ โดยจะปิดอันเก่าออก เธอให้เหตุผลเพิ่มเติมว่า บางทีมีเพื่อนในFacebookน้อยอาจจะดีกว่า อันเก่าของเธอมีเพื่อนเกือบพัน เธอเบื่อ
รอบนี้ที่เราคุยกัน เราคุยกันเรื่องคณะและมหาลัยที่จะเรียน เธอบอกว่าดีใจมากที่มีเพื่อนคุยเรื่องนี้ ครั้งนี้ที่เราคุยกัน เราคุยกันถึงเรื่องสถานที่สอบโอเน็ต และกลับมาพูดคุยหยอกล้อกันหวานๆกันเหมือนเดิมอยู่2รอบ ซึ่งความรู้สึกดีๆที่มีต่อเธอนั้นมันก็กลับมาอีกครั้ง..
.....จนครั้งต่อมาที่คุยกัน ก่อนหน้าที่เธอจะทักมาหาผม เราเพิ่งได้มีเบอร์โทรศัพท์ของกันและกันและ ก็คุยให้คำปรึกษากันมาพักหนึ่ง จนครั้งนี้ที่เธอต้องทักแชทมา เป็นเพราะเราคุยกันจนตังค์เธอหมด และการคุยครั้งนี้ เธอก็หยอกล้อเกี่ยวประเด็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเรา
เป็นเพราะความรักของผมคิดเกินเพื่อนกับเธอที่มันสั่งสมมานาน รวมกับได้มีโอกาสฟังน้ำเสียงอันไพเราะของเธออยู่บ่อยๆนั้น ความรู้สึกที่อัดอั้นมาทั้งหมดก็เลยระเบิดออกมา ผมทนเก็บความรู้สึกแบบนี้ต่อไปไม่ไหว เลยตัดสินใจที่จะขอทำตามความรู้สึกตัวเองด้วยการสารภาพรักกับเธอ