สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
เห็นด้วยกับความเห็นที่ 3 ค่ะ เพื่อให้ปกติสุขอย่างเดิมและตะวันตกเลิกแซงชั่น ปูตินต้องลงจากอำนาจเสียก่อน
ลองมามองภาพกว้างๆ จากหลายทิศทาง อย่างแรกสมมติว่ารัสเซียยึดยูเครนได้ทั้งประเทศนะคะ ไม่มีวันที่จะคงความเป็นผู้ชนะสงครามและเข้ายึดครองประเทศทั้งประเทศอยู่ได้นานหรอกค่ะ แซงชั่นทางเศรษฐกิจขนาดมโหฬารคราวนี้ รวมกับการต่อสู้แบบตายเป็นตายเพื่อรักษาบ้านเมืองของตัวเองไว้ของชาวยูเครนคราวนี้แสดงให้เห็นแล้วว่าจะยากแค่ไหนที่คงควบคุมประเทศนี้ไว้ได้ บทเรียนจากอัฟกานิสถานมีอยู่แล้ว ขนาดอัฟกานิสถานมีการต่อต้านแบบหลวมๆ ด้วยนักรบแบบสู้รบแบบกองโจร ไม่มีการแซงชั่นทางเศรษฐกิจนะคะ พอสงครามนั้นสิ้นสุดลง ฝ่ายโซเวียตพ่ายแพ้ยับเยิน ต้องถอยกองทัพกลับ ระบบเศรษฐกิจ ระบอบการปกครอง เรียกได้ว่าทั้งอาณาจักรนั่นเลยล่ม ยูเครนบวกการแซงชั่นซึ่งแสดงผลแล้วจะแค่ไหน ต้องใช้ทหารมากขนาดไหนถึงจะควบคุมประชากร 40+ล้านคนได้
เข้ายึดครองแต่ฝั่งตะวันออก (ด้วยกำลัง) ก็ไม่ต่างกัน อาจยิ่งแล้วเข้าไปใหญ่เพราะยูเครนยังคงอยู่เป็นประเทศ ยังมีกองทหาร มีอาวุธที่ได้รับความช่วยเหลือจากชาติตะวันตกอีกเยอะแยะ และแน่นอน การแซงชั่นต้องยังคงอยู่
ทางฝ่ายรัสเซียเอง ตอนนี้รู้กันแล้วว่าไม่มีความพร้อมทางทหาร สงครามคราวนี้จนถึงทุกวันนี้เสียทหารไปกว่าหมื่นแล้ว กำลังรบอย่างรถถัง เครื่องบินรบ อาวุธที่มี เสียไปเท่าไหร่แล้ว เศรษฐกิจก็แย่ลงเรื่อยๆ มีคำพูดของใครคนหนึ่ง จำไม่ได้แล้วค่ะว่าเป็นใคร แต่อ่านที่เขาเขียนไว้แล้วจำได้ขึ้นใจเลย เขาบอกว่า "Controlling the forces of coercion works when things are going well for the autocrat. When things are not - when a disastrous war is sapping the lfeblood of the military - their loyalty is far from assured." แปลได้ประมาณว่า การควบคุมพลังของการขู่เข็ญได้ผลเวลาที่อะไรๆ เป็นไปได้ด้วยดีสำหรับเผด็จการ เวลาที่อะไรๆ ไม่ค่อยดี เวลาที่สงครามซึ่งก่อให้เกิดความหายนะดูดเอาเลือดซึ่งเป็นพลังของชีวิตของกองทหารไปเสีย - ความจงรักภักดีของพวกเขาก็ห่างไกลจากความมั่นใจได้
ปูตินสร้างฐานอำนาจด้วยการมีกลุ่มคนใกล้ชิดห้อมล้อม สร้างกลไกความปลอดภัยให้ตัวเอง เขาคงความจงรักภักดีของคนเหล่านั้นด้วยการให้ตำแหน่งที่มีอำนาจในคณะรัฐบาล ให้เข้าถึงแหล่งที่มาของเงินเข้ารัฐ (ประชาชนชาวรัสเซียทั่วไปจะไม่กล้าต่อต้านปูตินแน่ๆ เพราะเหตุหนึ่งคนเหล่านั้นหลงเชื่อโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาล) แต่ความจงรักภักดีมีขอบเขตจำกัดเหมือนกันนะคะ ตราบใดที่เงินยังเข้ากระเป๋าตัวเอง และอำนาจยังคงอยู่ ความภักดีก็คงอยู่ แต่ถ้าไม่... เมื่อไหร่ก็ตามที่รัฐล้มเหลว เศรษฐกิจย่ำแย่ สงครามที่ดูเหมือนไม่มีจบสิ้น ทหารตายมากมายโดยไม่รู้ว่าเพื่ออะไรกันแน่ การถูกโดดเดี่ยวจากสังคมโลก การถูกตราหน้าว่าเป็นชาติที่สังคมโลกรังเกียจ ทางออกมีทางเดียวเท่านั้นค่ะ คือต้นเหตุของทั้งหมดนั้นสมควรออกไป ในประวัติศาสตร์มีมาแล้วค่ะ ที่นึกออกก็อย่าง Anastasio Somoza ของนิการากัว ชาร์ปาเลวีของอิหร่าน หรือของรัสเซียเองก็มีอย่างซาร์นิโคลัสที่ 2 หรือตอนที่ Nikita Khrushchev เจอรัฐประหาร ผู้นำเหล่านั้นเป็น autocrat เหมือนกัน ได้รับการสนับสนุนจากทหารและหน่วยงานความปลอดภัยเหมือนกัน แต่ท้ายที่สุดก็จบลงแบบเดียวกัน
นั่นเป็นทางเดียวที่โลกจะยอมรับรัสเซียอีกครั้ง แล้วเลิกแซงชั่นทางเศรษฐกิจอย่างนี้ค่ะ เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ได้มองว่าสงครามคราวนี้เป็นความต้องการของคนรัสเซีย เกิดขึ้นเพราะคนเพียงคนเดียวจริงๆ
ลองมามองภาพกว้างๆ จากหลายทิศทาง อย่างแรกสมมติว่ารัสเซียยึดยูเครนได้ทั้งประเทศนะคะ ไม่มีวันที่จะคงความเป็นผู้ชนะสงครามและเข้ายึดครองประเทศทั้งประเทศอยู่ได้นานหรอกค่ะ แซงชั่นทางเศรษฐกิจขนาดมโหฬารคราวนี้ รวมกับการต่อสู้แบบตายเป็นตายเพื่อรักษาบ้านเมืองของตัวเองไว้ของชาวยูเครนคราวนี้แสดงให้เห็นแล้วว่าจะยากแค่ไหนที่คงควบคุมประเทศนี้ไว้ได้ บทเรียนจากอัฟกานิสถานมีอยู่แล้ว ขนาดอัฟกานิสถานมีการต่อต้านแบบหลวมๆ ด้วยนักรบแบบสู้รบแบบกองโจร ไม่มีการแซงชั่นทางเศรษฐกิจนะคะ พอสงครามนั้นสิ้นสุดลง ฝ่ายโซเวียตพ่ายแพ้ยับเยิน ต้องถอยกองทัพกลับ ระบบเศรษฐกิจ ระบอบการปกครอง เรียกได้ว่าทั้งอาณาจักรนั่นเลยล่ม ยูเครนบวกการแซงชั่นซึ่งแสดงผลแล้วจะแค่ไหน ต้องใช้ทหารมากขนาดไหนถึงจะควบคุมประชากร 40+ล้านคนได้
เข้ายึดครองแต่ฝั่งตะวันออก (ด้วยกำลัง) ก็ไม่ต่างกัน อาจยิ่งแล้วเข้าไปใหญ่เพราะยูเครนยังคงอยู่เป็นประเทศ ยังมีกองทหาร มีอาวุธที่ได้รับความช่วยเหลือจากชาติตะวันตกอีกเยอะแยะ และแน่นอน การแซงชั่นต้องยังคงอยู่
ทางฝ่ายรัสเซียเอง ตอนนี้รู้กันแล้วว่าไม่มีความพร้อมทางทหาร สงครามคราวนี้จนถึงทุกวันนี้เสียทหารไปกว่าหมื่นแล้ว กำลังรบอย่างรถถัง เครื่องบินรบ อาวุธที่มี เสียไปเท่าไหร่แล้ว เศรษฐกิจก็แย่ลงเรื่อยๆ มีคำพูดของใครคนหนึ่ง จำไม่ได้แล้วค่ะว่าเป็นใคร แต่อ่านที่เขาเขียนไว้แล้วจำได้ขึ้นใจเลย เขาบอกว่า "Controlling the forces of coercion works when things are going well for the autocrat. When things are not - when a disastrous war is sapping the lfeblood of the military - their loyalty is far from assured." แปลได้ประมาณว่า การควบคุมพลังของการขู่เข็ญได้ผลเวลาที่อะไรๆ เป็นไปได้ด้วยดีสำหรับเผด็จการ เวลาที่อะไรๆ ไม่ค่อยดี เวลาที่สงครามซึ่งก่อให้เกิดความหายนะดูดเอาเลือดซึ่งเป็นพลังของชีวิตของกองทหารไปเสีย - ความจงรักภักดีของพวกเขาก็ห่างไกลจากความมั่นใจได้
ปูตินสร้างฐานอำนาจด้วยการมีกลุ่มคนใกล้ชิดห้อมล้อม สร้างกลไกความปลอดภัยให้ตัวเอง เขาคงความจงรักภักดีของคนเหล่านั้นด้วยการให้ตำแหน่งที่มีอำนาจในคณะรัฐบาล ให้เข้าถึงแหล่งที่มาของเงินเข้ารัฐ (ประชาชนชาวรัสเซียทั่วไปจะไม่กล้าต่อต้านปูตินแน่ๆ เพราะเหตุหนึ่งคนเหล่านั้นหลงเชื่อโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาล) แต่ความจงรักภักดีมีขอบเขตจำกัดเหมือนกันนะคะ ตราบใดที่เงินยังเข้ากระเป๋าตัวเอง และอำนาจยังคงอยู่ ความภักดีก็คงอยู่ แต่ถ้าไม่... เมื่อไหร่ก็ตามที่รัฐล้มเหลว เศรษฐกิจย่ำแย่ สงครามที่ดูเหมือนไม่มีจบสิ้น ทหารตายมากมายโดยไม่รู้ว่าเพื่ออะไรกันแน่ การถูกโดดเดี่ยวจากสังคมโลก การถูกตราหน้าว่าเป็นชาติที่สังคมโลกรังเกียจ ทางออกมีทางเดียวเท่านั้นค่ะ คือต้นเหตุของทั้งหมดนั้นสมควรออกไป ในประวัติศาสตร์มีมาแล้วค่ะ ที่นึกออกก็อย่าง Anastasio Somoza ของนิการากัว ชาร์ปาเลวีของอิหร่าน หรือของรัสเซียเองก็มีอย่างซาร์นิโคลัสที่ 2 หรือตอนที่ Nikita Khrushchev เจอรัฐประหาร ผู้นำเหล่านั้นเป็น autocrat เหมือนกัน ได้รับการสนับสนุนจากทหารและหน่วยงานความปลอดภัยเหมือนกัน แต่ท้ายที่สุดก็จบลงแบบเดียวกัน
นั่นเป็นทางเดียวที่โลกจะยอมรับรัสเซียอีกครั้ง แล้วเลิกแซงชั่นทางเศรษฐกิจอย่างนี้ค่ะ เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ได้มองว่าสงครามคราวนี้เป็นความต้องการของคนรัสเซีย เกิดขึ้นเพราะคนเพียงคนเดียวจริงๆ
แสดงความคิดเห็น
(พูดคุย) สงครามรัสเซีย - ยูเครน รัสเซียจะหาทางลงอย่างไรคะ เพื่อให้ประชาชนชาวรัสเซีย กลับมาอยู่อย่างปกติสุขดังเดิม
คิดว่าอย่างไรรัสเซียก็ต้องกลับมาเข้าร่วมกับสังคมโลกอยู่ดีน่ะค่ะ