🇹🇭มาลาริน💛28มี.ค.ไทยติดเชื้อใหม่อันดับ9โลก/ป่วย24,635คน หาย25,753คน ตาย81คน/น้อยคนติดเชื้อรอบ2ระยะสั้น ยันยามีเพียงพอ


https://www.bangkokbiznews.com/social/996065

เพี้ยนแคปเจอร์สธ.ชี้แจงติดเชื้อโควิดซ้ำรอบ 2 ยันยาฟาวิพิราเวียร์มีเพียงพอ


อธิบดีกรมควบคุมโรค ระบุ โอกาสเกิดติดเชื้อโควิด-19 ซ้ำรอบสอบในเวลาอันสั้น สามารถเกิดขึ้นได้แต่พบน้อย ส่วนใหญ่พบเป็นการติดเชื้อคนละสายพันธุ์ ยืนยันยาฟาวิพิราเวียร์มีเพียงพอ

วันนี้( 28 มี.ค.65) ที่กระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ระบุถึงกรณีการติดเชื้อโควิด-19 ซ้ำ 2 ครั้งในระยะเวลา 1 เดือน ว่า การติดเชื้อโควิด-19 ที่ต่างสายพันธุ์กันสามารถติดเชื้อซ้ำได้ เช่น คนที่หายจากโควิดสายพันธุ์เดลต้า ก็สามารถติดสายพันธุ์โอมิครอนซ้ำได้ ส่วนกรณีสายพันธุ์โอมิครอนเหมือนกัน แต่เป็นสายพันธุ์ย่อย เช่น BA.1 กับ BA.2 ยังเป็นความรู้ใหม่ ซึ่งต้องติดตามรายละเอียดข้อเท็จจริงอีกครั้ง ตามหลักแล้วก็มีโอกาส แต่จะ 1 ในแสนหรือ 1 ในล้าน ต้องดูข้อมูลประกอบรวมถึงดูระยะเวลาด้วย 

ทั้งนี้ คนที่ติดเชื้อ ซ้ำอาจต้องดูข้อมูลเรื่องความรุนแรงของอาการป่วย ประวัติ ข้อมูลทางระบาดวิทยารวมถึงระดับภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นหลังการติดเชื้อ เนื่องจากร่างกายของแต่ละคนมีการสร้างภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกัน และระดับภูมิคุ้มกันที่ลดลงก็ใช้ระยะเวลาแตกต่างกัน ด้วยรวมถึงตัองดูผลการตรวจจากห้องปฏิบัติเพื่อวินิจฉัยให้แน่ชัด 
 
ขณะที่เรื่องยาฟาวิพิราเวียร์ที่มีการระบุ ยามีไม่เพียงพอในหลายพื้นที่ นายแพทย์โอภาส ยืนยัน ยามีเพียงพอแต่อาจมีโรงพยาบาลบางแห่งที่สำรองยาไว้น้อย จึงเกิดความขัดข้องในการจ่ายยาให้ผู้ป่วย จึงขอให้โรงพยาบาลแต่ละแห่งแจ้งประสาน สาธารณสุขจังหวัดในการเบิกยาเพื่อสำรองจ่ายผู้ป่วย ทั้งนี้ยังพบว่า ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ไม่มีอาการป่วยหรืออาการไม่รุนแรงจึงไม่ขอรับยาฟาวิพิราเวียร์ แต่จะรับยาตามอาการป่วยมากกว่า ซึ่งยาฟาวิพิราเวียร์ไม่ใช่ยาหลักที่ใช่รักษาผู้ป่วยโควิดยังมียาอีกหลายชนิดที่ใช้ได้ 

ด้าน นายแพทย์ ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ระบุถึงกรณีโอกาสติดเชื้อโควิดซ้ำ ตามหลักมีความเป็นไปได้ในการติดเชื้อซ้ำ หากเป็นกรณีผู้ป่วยโควิด-19 เคยติดเชื้อโควิคสายพันธุ์ก่อนหน้านี้ไม่คุ้มครองสายพันธุ์โอมิครอน โดยที่ผ่านมาพบผู้ป่วยติดเชื้อจำนวนหนึ่งที่ติดสายพันธุ์เดลต้ามาก่อนและหลังจากนั้นติดเชื้อสายพันธุ์ โอมิครอน  ส่วนคนที่ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์ โอมิครอน ที่ไม่ได้ตรวจสายพันธุ์ย่อย ยังไม่มีข้อมูลว่าผู้ที่ติดเชื้อโอมิครอน BA.1 จะติดคุ้มครองสายพันธุ์  BA.2 หรือไม่ ซึ่งจะต้องรวบรวมข้อมูลในผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ในสายพันธุ์ย่อยช่วงแรกๆเพิ่ม ถึงโอกาสติดเชื้อซ้ำ 
 
ทั้งนี้ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ก็ยังตรวจพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลต้าอยู่จำนวนหนึ่งแต่ไม่มาก ซึ่งตอนนี้ก็ยังพบอยู่แต่เป็นจำนวนที่น้อยมาก 

ส่วน ค่า CT ของผู้ป่วยติดเชื้อห ากพบว่า เกิน 30 แสดงว่าปริมาณเชื้อน้อย แต่ถ้าค่า CT ต่ำ เช่น พบ ค่า CT19 แสดงว่าปริมาณเชื้อยังเยอะอยู่ 

ทั้งนี้ ค่าCT  คือ CycleTime ค่าการปั่นเชื้อต่อ1รอบ ยิ่งผลตรวจออกมาได้ค่า Ct น้อยๆ แสดงว่ามีเชื้อไวรัสเยอะ เพราะทำแค่ไม่กี่รอบก็สามารถเพิ่มสารพันธุกรรมจนตรวจเจอได้แล้ว หากเป็นจำนวนเชื้อปกติ ปั่นไม่เกิน 30 รอบ ก็เจอเชื้อ  หรือเข้าใจง่ายๆ หากค่าCT น้อยเท่ากับเชื้อมาก แต่ถ้าค่าCTมาก เท่ากับเชื้อน้อย

https://www.tnnthailand.com/news/covid19/109260/

เพี้ยนปักหมุดอนุทิน" ยันยาฟาวิพิราเวียร์ไม่ขาด กระจายทุก จว.ทั่วประเทศ หากหมดขอจาก สสจ.
เผยแพร่: 28 มี.ค. 2565 13:01   ปรับปรุง: 28 มี.ค. 2565 13:01   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


 
"อนุทิน" ยันยาฟาวิพิราเวียร์ไม่ขาดแคลน กระจายทั่วประเทศ อภ.ผลิตเองได้ มีการนำเข้าจากต่างประเทศด้วย พร้อมจัดหายาตัวอื่น มีแนวทางการใช้ตามอาการผู้ติดเชื้อ เผยกระจายไปที่จังหวัด หากขาดแจ้ง สสจ.ได้เลย

เมื่อวันที่ 28 มี.ค. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีชมรมแพทย์ชนบทออกมาระบุยาฟาวิพิราเวียร์ขาดแคลนในต่างจังหวัด ทำไม สธ.ไม่พูดความจริง ว่า องค์การเภสัชกรรม (อภ.) มีสารตั้งต้นในการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ได้เองในประเทศ พร้อมกับมีการนำเข้ามาจากต่างประเทศด้วย ซึ่ง นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัด สธ. รายงานว่าสามารถบริหารจัดการเรื่องยาได้อย่างดี ขณะนี้อาจมีข่าวในเชิงด้อยค่ายาฟาวิพิราเวียร์ โดยข้อมูลการใช้จริงในประเทศก็ใช้รักษาผู้ติดเชื้อมาโดยตลอด นอกจากนี้ กรมการแพทย์ก็จัดหายาอื่นๆ ทั้งยาเรมดิซิเวียร์ ยาโมลนูพิราเวียร์ และยาแพกซ์โลวิด ขณะที่ อภ.ก็ได้จัดหายาโมลนูพิราเวียร์จากแหล่งผลิตอื่นๆ เพิ่มเติมด้วย อย่างไรก็ตาม การใช้ยาต่างๆ จะมีแนวทางใช้ตามอาการของผู้ติดเชื้อ

เมื่อถามย้ำว่ายาฟาวิพิราเวียร์กระจายไปทั่วประเทศและไม่ขาดแคลน นายอนุทิน กล่าวว่า ยืนยันว่ามีการกระจายทั่วถึง เราไม่มีทางเก็บยาไว้ในสต๊อกโดยที่ยังมีความต้องการใช้ โดยตรรกะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ทางส่วนกลางจะส่งยาไปที่จังหวัด ทั้งนี้ การบริหารจัดการจะอยู่ในระดับจังหวัด สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) เป็นเรื่องของการประสานงานระดับพื้นที่

ด้าน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ขณะนี้ข้อมูลการรักษา พบว่า ผู้ติดเชื้อ 50% ไม่มีอาการ ไม่จำเป็นต้องใช้ยารักษา อีก 25% มีอาการบ้าง ใช้ยารักษาตามอาการ เช่น ลดน้ำมูก แก้ไอ และอีก 25% ใช้ยาต้านไวรัส เช่น ยาฟาวิพิราเวียร์ ยืนยันว่า ยามีเพียงพอ แต่ส่วนใหญ่ผู้ติดเชื้อก็จำเป็นต้องใช้ยาต้านไวรัสที่เฉพาะเจาะจง โดยเฉพาะคนที่รับวัคซีนแล้ว คนหนุ่มสาวที่อาการน้อย ทั้งนี้ รพ.ทั่วประเทศมีกว่าพันแห่ง บางแห่งอาจสำรองยาไว้น้อย ดังนั้น ถ้าขาดก็สามารถแจ้งที่ สสจ. เพื่อนำยาจากคลังสำรองในจังหวัดไปให้ได้ ตรงนี้ไม่มีปัญหา และภาพรวมประเทศไม่ขาดแน่นอน ปลัด สธ.ในฐานะประธานบอร์ด อภ.ก็แจ้งว่าเพียงพอและมีการจัดหาเพิ่มเติม

https://mgronline.com/qol/detail/9650000029984

 นานาเรียนติดตามข่าวโควิดวันนี้ค่ะ

.....พาพันไฟท์ติ้งพาพันไฟท์ติ้ง
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 14

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
"อว. เผยฉีดวัคซีนของไทย ณ วันที่ 27 มีนาคม 2565 ฉีดวัคซีนแล้ว 128,649,461 โดส และทั่วโลกแล้ว 11,191 ล้านโดส ใน 205 ประเทศ/เขตปกครอง ส่วนอาเซียนฉีดแล้วทุกประเทศ รวมกันกว่า 1,035.2 ล้านโดส

(27 มีนาคม 2565) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เผยข้อมูลสถิติการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลกแล้ว 11,191 ล้านโดส ใน 205 ประเทศ/เขตปกครอง โดยขณะนี้อัตราการฉีดล่าสุดรวมกันทั่วโลกที่ 21.6 ล้านโดสต่อวัน และมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่สหรัฐอเมริกามีจำนวนการฉีดวัคซีนสูงที่สุดที่ 559 ล้านโดส โดยมีชาวอเมริกันกว่า 217 ล้านคนได้รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว"

ด้านอาเซียนขณะนี้ทุกประเทศได้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แล้ว มียอดรวมกันที่ประมาณ 1,035.2 ล้านโดส โดยบรูไนฉีดวัคซีนในสัดส่วนประชากรมากที่สุดในภูมิภาค (95% ของประชากร) ในขณะที่อินโดนีเซียฉีดวัคซีนในจำนวนมากที่สุดที่ 373.6 ล้านโดส สำหรับประเทศไทยข้อมูล ณ วันที่ 27 มีนาคม 2565 ได้ฉีดวัคซีนแล้วกว่า  128,649,461 โดส

ในการฉีดวัคซีน จำนวน 11,184 ล้านโดสนี้ อว. ขอรายงานสถิติที่สำคัญ คือ

1) ข้อมูลการฉีดวัคซีนล่าสุดของประเทศไทย ณ วันที่ 27 มีนาคม 2565  
จำนวนการฉีดวัคซีนสะสม  128,649,461 โดส ใน 77 จังหวัด แบ่งเป็น
-เข็มแรก 55,292,140 โดส (83.5% ของประชากร)
-เข็มสอง 50,235,986 โดส (75.9% ของประชากร)
-เข็มสาม 23,121,335โดส (34.9% ของประชากร)

2) อัตราการฉีดวัคซีนตั้งแต่ 28 ก.พ. 64 – 27 มี.ค. 65 พบว่า ประเทศไทยฉีดวัคซีนแล้ว   128,649,461 โดส ฉีดเพิ่มขึ้น 250,033 โดส (อัตราการฉีดล่าสุดเฉลี่ย 3 วันย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. 64 ซึ่งเป็นการฉีดวัคซีนวาระแห่งชาติ 194,101โดส/วัน

3) อัตราการฉีดวัคซีน ประกอบด้วย
วัคซีน Sinovac
- เข็มที่ 1 22,915,177โดส
- เข็มที่ 2 3,602,360 โดส
- เข็มที่ 3 0 โดส

วัคซีน AstraZeneca
- เข็มที่ 1 13,977,027 โดส
- เข็มที่ 2 28,543,555 โดส
- เข็มที่ 3 5,431,585 โดส

วัคซีน Sinopharm
- เข็มที่ 1 7,562,424 โดส
- เข็มที่ 2 7,255,264 โดส
- เข็มที่ 3 0 โดส

วัคซีน Pfizer
- เข็มที่ 1 10,066,376โดส
- เข็มที่ 2 9,942,896 โดส
- เข็มที่ 3 14,089,499  โดส

วัคซีน Moderna
- เข็มที่ 1 711,136 โดส
- เข็มที่ 2 891,911 โดส
- เข็มที่ 3 3,600,251 โดส

4) ในภูมิภาคอาเซียน ได้ฉีดวัคซีนแล้วครบ 10 ประเทศ รวมจำนวน 1,035,253,151 โดส ได้แก่
1. อินโดนีเซีย จำนวน 373,693,814 โดส (71%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac, AstraZeneca, Moderna และ Sinopharm
2. เวียดนาม จำนวน 204,861,158 โดส (82%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca, Pfizer, Moderna และ Sinopharm
3. ฟิลิปปินส์ จำนวน 147,986,939 โดส (63.8%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac, Pfizer, Sputnik V, Moderna, J&J และ AstraZeneca  
4. ไทย จำนวน  128,649,461 โดส (83.5%* ของประชากร)  ฉีดวัคซีนของ Pfizer, Sinovac, AstraZeneca และ Sinopharm
5. มาเลเซีย จำนวน 68,675,263 โดส (84.1%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Pfizer, AstraZeneca และ Sinovac  
6. พม่า จำนวน 48,708,905 โดส (47.5%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca และ Sinopharm
7. กัมพูชา จำนวน 37,811,621 โดส (87.6%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinopharm, AstraZeneca, J&J และ Sinovac
8. สิงคโปร์ จำนวน 13,780,673 โดส (93%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Pfizer, Moderna และ Sinovac
9.  ลาว จำนวน 10,023,472 โดส (75.8%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinopharm, Sputnik V, Pfizer, J&J, Sinovac และ AstraZeneca
10. บรูไน จำนวน 1,061,845 โดส (95%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca และ Sinopharm
* คำนวณจากจำนวนฉีด/จำนวนประชากร อย่างน้อย 1 เข็ม

5) จำนวนการฉีดวัคซีนแยกตามภูมิภาค
1. เอเชียและตะวันออกกลาง 69.8%
2. ยุโรป 9.93%
3. อเมริกาเหนือ 8.48%
4. ลาตินอเมริกาและแคริบเบียน 7.21%
5. แอฟริกา 3.96%
6. โอเชียเนีย 0.62%

6) ประเทศที่ฉีดวัคซีนแล้วมากที่สุด 5 ประเทศลำดับแรกที่ฉีดวัคซีนมากกว่า 100 ล้านโดส รวมกันเกือบ 70% ของปริมาณการฉีดวัคซีนทั่วโลก
1. จีน จำนวน 3,247.62 ล้านโดส (229.6% ของจำนวนโดสที่ฉีดต่อประชากร)
2. อินเดีย จำนวน 1,830.29ล้านโดส (132.8%)
3. สหรัฐอเมริกา จำนวน 559.48 ล้านโดส (166.9%)
4. บราซิล จำนวน 410.18 ล้านโดส (193.7%)
5. อินโดนีเซีย  จำนวน 373.69 ล้านโดส (135.5%)

7) ประเทศที่ฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรมากที่สุด มี 10 ประเทศที่ฉีดวัคซีนให้กับประชากรอย่างน้อย 25% แล้ว ได้แก่ (เฉพาะประเทศที่มีประชากรมากกว่า 500,000 คน)
1. คิวบา (311.4%) (ฉีดวัคซีนของ  Abdala และ Soberana02)
2. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (263.5%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech, Sinopharm และ Gamaleya)
3. ชิลี (258.5%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, CanSino, Pfizer/BioNTech และ Sinovac)
4. กาตาร์ (245.7%) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer และ Moderma)
5. มัลดีฟส์ (241.6%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech และ Sinopharm)
6. บรูไน (240.8%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford และ Sinopharm)  
7. ฝรั่งเศส (236.2%) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech, Moderna, J&J และ AstraZeneca/Oxford)
8. เกาหลีใต้  (235.6%) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech J&J AstraZeneca/Oxford และ  Moderna)
9. สิงคโปร์ (234.1%) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech Moderna และ Sinovac)
10. ภูฏาน (233.3%) (ฉีดวัคซีนของ Sinopharm Pfizer/BioNTech AstraZeneca/Oxford และ  Sputnik V)  

แหล่งข้อมูล Bloomberg Vaccine Tracker, กระทรวงสาธารณสุข
ประมวลข้อมูลโดย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
https://web.facebook.com/nrctofficial/posts/285104243811015
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่